แชร์

บทที่95 ความดำมืดในยุทธภพ

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-03-06 12:45:45

หนิงอ้ายเกือบลืมไปเเล้วว่าโลกยุทธภพนี้นอกจากจะเเบ่งการปกครองดูเเลเป็นเมืองน้อยใหญ่ที่อยู่ภายใต้การดูเเลของเเต่ละแคว้นในมหาทวีปทั้งหกแห่งนี้เเล้ว ประชากรส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนชาวยุทธภพรวมไปถึงชาวบ้านธรรมดาที่ตั้งรกรากอาศัยกันมาอย่างยาวนานนับร้อยนับพันปี ซึ่งเป็นพื้นที่ราบลุ่มหรือพื้นที่ติดเเม่น้ำสายใหญ่เกือบทั้งหมด

ตามแนวเทือกเขาสูงหรือตามมหาพงไพรต่าง ๆ ล้วนเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าหรือสัตว์อสูรกันทั้งสิ้น ได้เเบ่งเขตการปกครองไปไม่ต่างจากเมืองผู้ฝึกตนสักเท่าไหร่นัก อีกทั้งยังคงยึดตามหลักของธรรมชาติที่ว่าผู้ที่เเข็งแกร่งเท่านั้น จึงจะอยู่รอดถือได้ว่าเป็นการคัดสรรจากธรรมชาติอย่างเเท้จริง

ยังเชื่อกันว่าตรงพื้นที่สุดชายแดนทางใต้เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าปีศาจอสูรชั้นต่ำ เหล่าหมู่มารระดับสูง ได้มีบันทึกเอาไว้ว่าในครั้งอดีตกาลตั้งเเต่ยุคเเรกเริ่ม ว่าในครั้งนั้นผู้ฝึกตนและเหล่ามารปีศาจต่างได้อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกปรองดอง เเต่ด้วยสัญชาติญาณดั้งเดิมจึงหล่อหลอมให้เหล่ามารปีศาจได้เสพติดการฆ่าฟันเป็นอย่างมาก

แม้ว่าในช่วงเเรกจะเป็นเพียงการสังหารเหล่าสัตว์อสูรเพื่อนำมาเป็นอาหารหรือการต่อสู้แย่งชิงอาณาเขตปกครองก็จริง เเต่ในช่วงหลังเหล่ามารปีศาจต่างเริ่มที่จะเข่นฆ่าผู้ฝึกตนอย่างลับๆ เพราะมีความเชื่อจากผู้นำมารระดับสูงสุดว่าเลือดและร่างกายของผู้ฝึกตนที่เต็มไปด้วยพลังลมปราณจะสามารถเพิ่มขีดจำกัดในด้านต่างๆ มากกว่าสัตว์อสูรเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งร่างกายของผู้ฝึกตนที่ผ่านการเคี่ยวกรำอย่างยิ่งยวดในเเต่ละครั้งที่เลื่อนตัดผ่านระดับต่อไป หากเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงมากเท่าไหร่ความบริสุทธิ์ของพลังวิญญาณย่อมทวีเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

ช่วงเเรกเหล่าผู้ฝึกตนยังไม่ได้ระแคะระคายในความผิดปกติส่วนนี้ เนื่องจากเหล่ารุ่นเยาว์ชายหญิงมากฝีมือหรือบรรดาผู้อาวุโสประจำตระกูลที่ได้หายตัวไปอย่างลึกลับในการออกท่องยุทธภพหรือออกไปทำภารกิจต่าง ๆ ล้วนมีความเป็นได้ที่ว่าอาจจะตกตายไปด้วยเพราะความลึกลับในมหาพงไพรที่ได้ย่างกรายเข้าไปหรือระหว่างทางอาจจะโชคร้ายได้พบกับเหล่าสัตว์อสูรระดับสูง ทุกคนต่างรับรู้โดยทั่วกันว่าหากเทียบในเขตขั้นเดียวกันของระดับพลังวิญญาณเเล้วความเเข็งแกร่งของสัตว์อสูรย่อมเหนือกว่าผู้ฝึกตนไปถึงหนึ่งขั้น ดังนั้นเเล้วเหตุการณ์สูญเสียเช่นนี้หากมองด้วยความเป็นกลางเเล้วย่อมสามารถเป็นไปได้เช่นกัน

หลังจากนั้นไม่นานข่าวคราวที่ว่าได้มีสัตว์อสูรออกอาละวาดในเขตเมืองพื้นที่อาศัยของผู้ฝึกตนและชาวบ้านธรรมดาตามแนวรอยต่อของชายแดนต่าง ๆ เป็นที่น่าผิดสังเกต เมื่อมีสืบค้นความผิดปกตินี้ก็ได้พบว่าเหล่าสัตว์อสูรเหล่านี้คล้ายกับว่าได้มีบางสิ่งอย่างกระตุ้นจนมีความแตกตื่นไร้สติเช่นนี้เป็นที่น่าสงสัยยิ่ง

นอกจากนั้นเเล้วผู้ฝึกตนชายหญิงที่มีการแจ้งยืนยันตันตนก็ได้หายตัวไปอย่างลึกลับเป็นจำนวนที่มากขึ้นเป็นอย่างมาก สิ่งเหล่านี้ได้สร้างความหวาดกลัวและเป็นปัญหาที่ค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียวด้วยเพราะบรรดาผู้ที่สูญหายไปส่วนหนึ่งนั้นเป็นถึงเหล่าบรรดาสุดยอดรุ่นเยาว์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์อย่างเเท้จริงที่ทางตระกูลสังกัดเหล่านั้นต้องทุ่มเททรัพยากรไปเป็นอย่างมาก

ใช้เวลาไม่น้อยกว่าที่จะบ่มเพาะออกมาได้เเต่ละคนนั้นได้ อีกทั้งมีไม่น้อยเช่นกันที่มีตัวตนระดับสูงที่เป็นเชื้อสายราชวงศ์ปกครองของเเต่ละแคว้น บ้างก็เป็นศิษย์อันดับต้นๆ ของสำนักศึกษาที่มีชื่อเสียง บ้างก็เป็นตัวตนระดับสูงที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ยิ่งได้สืบลึกลงไปก็ได้พบว่าบรรดาผู้ที่หายตัวไปตลอดหลายสิบปีนี้เป็นฝีมือของเหล่ามารปีศาจทั้งสิ้น

ทว่าเรื่องราวของพิธีกรรมที่น่าสะอิดสะเอียนชวนให้ขนลุกนั่นคือเหล่ามารปีศาจพวกนี้หลังจากที่ได้มีการจับตัวผู้ฝึกตนที่ต้องการมาได้จะยังไม่ได้ทำการสังหารโดยทันทีเพราะต้องมีการเสพสังวาสถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้รับพลังปราณบริสุทธิ์ต้นกำเนิดมาจนหมดสิ้นเมื่อครบตามกำหนดวันผู้ฝึกตนเหล่านี้ก็ไม่ต่างไปจากหุ่นเชิดที่ไร้ซึ่งสติความนึกคิดก่อนที่จะถูกส่งตัวเข้าพิธีกรรมขั้นตอนต่อไป

ถึงยังลานกว้างพิธีกรรมนั้น ฟังว่าจะเป็นการสะกดจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตนี้ไว้ในการเพิ่มระดับพลังในขั้นที่สูงขึ้น จากนั้นร่างกายที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณและพลังวิญญาณนี้ปีศาจระดับต่ำจะเข้ามารุมกัดกินไปหมดทั้งสิ้น เพราะร่างกายของผู้ฝึกตนมีรสชาติที่ดีกว่าสัตว์อสูรทั่วไปเป็นอย่างมาก สามารถเพิ่มระดับพลังได้เช่นกันแม้จะต้องใช้ปริมาณรวมไปถึงระยะเวลาที่มากกว่าก็ตาม

เมื่อได้มีการถามไถ่ถึงเหตุผลในการกระทำที่อุกอาจเช่นนี้ เเต่ทางฝั่งของประมุขมารก็ได้ปฏิเสธไม่ยอมรับทั้งที่มีหลักฐานที่เเน่นหนา สิ่งนี้จึงทำให้บรรดาผู้ที่สูญเสียต่างไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งและออกมาเรียกร้องหาความยุติธรรมในเรื่องนี้

ท้ายที่สุดแล้วมหาสงครามครั้งใหญ่ที่สุดก็ได้เกิดขึ้นซึ่งกินเวลาเนิ่นนานหลายสิบปี ผลสรุปท้ายที่สุดนั่นคือการเสียสละชีวิตของผู้นำสูงสุดทั้งหกคนของเหล่าผู้ฝึกตนที่ตั้งใจผนึกผู้นำปีศาจให้หลับไหลไปชั่วกัปชั่วกัลป์ภายในมหาบรรพตลูกหนึ่ง ก่อนที่จะเรียกใช้วิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดสังเวยเป็นมหาค่ายกลเวทย์บทหนึ่งที่ไม่ธรรมดาสามัญ ด้วยเพราะระดับตัวตนของเทพบรรพกาลถึงหกคนที่ร่วมใจในครั้งนี้จึงทำให้มีความเเข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

เมื่อจบสิ้นมหาสงครามในครั้งนั้น บรรดาเหล่ามารรวมไปถึงพวกปีศาจได้ถูกขับไล่ลงไปทางทิศใต้ซึ่งว่ากันว่าเป็นพื้นที่แห้งแล้งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตายและความชั่วร้ายที่กัดกินพลังชีวิต ด้วยอำนาจของมหาค่ายกลได้ส่งผลให้ไม่สามารถก้าวล้ำเข้ามายังเขตแดนของเหล่าผู้ฝึกตนได้ตั้งเเต่นั้นสืบมาจนถึงทุกวันนี้...

เเต่หนิงอ้ายเชื่อว่าหากเปรียบเทียบกันเเล้วเหล่ามารปีศาจก็ไม่ต่างไปจากพวกคนชั่วเลวทรามในโลกเดิมของเขาสักเท่าไหร่นักที่สามารถพลิกลิ้นกลับดำเป็นขาวได้อย่างง่ายดาย อย่าลืมว่าเหล่ามารปีศาจยิ่งได้ดูดกลืนพลังชีวิตเหล่านี้ไปมากเท่าใดเอกลักษณ์เฉพาะของเผ่าพันธ์ก็จะถูกเเทนที่ด้วยรูปลักษณ์ของมนุษย์ผู้ฝึกตนที่ยากจะแยกออกได้โดยง่าย

หากว่าไม่ได้มีวิญญาณยุทธ์ เฉพาะสายตรวจจับหรือญาณสัมผัสอันลึกล้ำที่สืบทอดจากทางสายเลือดระดับสูง ดังนั้นเเล้วหนิงอ้ายจึงเชื่อว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ย่อมมีเหล่ามารปีศาจที่แฝงตัวอยู่ในเส้นเเบ่งนี้อยู่ไม่น้อยเป็นแน่ การหายตัวไปของเหล่าผู้ฝึกตนในช่วงหลายปีมานี้ย่อมเป็นไปได้ที่จะเป็นไปตามอดีตที่เคยเกิดขึ้น

"ข้าก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น เเต่ยังไม่สามารถสืบค้นเบื้องหลังได้มากนักในยามนี้..." เฟยหลงตอบกลับไป

"เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นกลุ่มมารปีศาจที่ยังเหลือรอดจากมหาสงครามในครั้งนั้นก็เป็นไปได้ หากให้ข้าคาดเดาเเล้วย่อมมีพวกเราผู้ฝึกตนที่คอยให้ความช่วยเหลืออยู่เป็นแน่ ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยความหงุดหงิด

"อาจารย์ของเจ้าและเจียงเฉิง เอ่อ...ท่านเจ้าสำนักกำลังคิดค้นโอสถที่สามารถคืนสติให้กับเหล่าศิษย์พวกนี้เพราะหากพวกเขาฟื้นขึ้นก็จะสามารถให้เบาะเเสเพิ่มเติมกับเราได้ เเต่ทว่าอาการของพวกเขานั้นมีความแตกต่างจากเรื่องราวที่ได้บันทึกไปมากจึงยังไม่สามารถปักใจว่าเป็นฝีมือของพวกมารปีศาจหรือไม่??" เฟยหลงเอ่ยขึ้นอย่างติดขัดก่อนที่จะเอ่ยจบประโยคอย่างไหลรื่นเช่นเดิมราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้มีสิ่งใดเกิดขึ้นซึ่งหนิงอ้ายก็ไม่ได้สังเกตในจุดนี้เนื่องจากกำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง

"ท่านไม่ต้องกังวล ข้าโดนมัดมือชกให้รับรู้เรื่องราวนี้จากท่านแล้วจะหาทางช่วยตามสืบเรื่องราวเหล่านี้ให้เเล้วกัน..." หนิงอ้ายเอ่ยก่อนที่จะถอนหายใจออกมา เขาไม่คิดเลยว่าชีวิตใหม่นี้ที่ต้องการใช้ชีวิตง่าย ๆ เเต่ในตอนนี้ถือว่าผิดแผนที่วางไว้ไปมากเลยทีเดียว

"ขอบใจเจ้ามากในเรื่องนี้ เเต่ถึงอย่างไรต้องคิดถึงความปลอดภัยของเจ้ามามาเป็นอย่างเเรกเข้าใจหรือไม่อย่าได้ผลีผามทำอะไรที่เกินกำลังเล่า" เฟยหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกับจับหัวของหนิงอ้ายโยกเบา ๆ ด้วยความรู้สึกหมั่นเขี้ยวอยู่ไม่น้อย ยอมรับว่าเขาชื่นชอบที่ร่างบางเเสดงหลากหลายอารมณ์ให้เห็นเช่นนี้ เพราะย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายไม่ได้เว้นระยะให้กับตนเหมือนกับทั่วไป

"อย่ามาทำเหมือนกับว่าข้าเป็นเด็กน้อยเช่นนี้นะ!! ความจริงเเล้วข้ามี...ช่างเถอะ!!นี่ก็ดึกมากเเล้ว ใจคอจะไม่กลับไปเรือนพักของตนหรืออย่างไร?" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับปัดมือหนาออกไป ยอมรับว่ารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากที่เขายอมให้อีกฝ่ายเข้าถึงตัวได้อย่างง่ายดายเช่นนี้

"ถ้าหากเสี่ยวไป๋ทู่ตัวน้อยไม่รังเกียจและยินยอมให้ข้านอนกับ..." เฟยหลงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางราวกับหนุ่มเจ้าสำราญ เเต่ยังไม่ทันเอ่ยจบนั้นก็มีเสียงจากร่างบางเอ่ยขัดขึ้น

"หากท่านฝันอยู่ก็ตื่นเสียเถอะ!!'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับดันตัวร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายไปทางหน้าต่างที่ถูกเปิดอยู่

"ล้วนตามใจเจ้า ข้าได้เพิ่มเขตแดนป้องกันเสริมทับให้เจ้าอีกชั้นแล้วจะได้ไม่มีสิ่งใดเข้ามารบกวน ข้าไปละ!!'' เฟยหลงเอ่ยทิ้งท้ายเอสไว้ก่อนที่หายตัวไปในความมืดมิดทันที...

หนิงอ้ายอดที่จะบ่นออกมาไม่ได้เมื่อสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของอีกฝ่ายได้เลือนหายไปเเล้ว จากนั้นจึงใช้เวลาในการอาบน้ำจัดการตัวเองเกือบถึงครึ่งชั่วยาม เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้วจึงเห็นว่าต้าเฮยได้มองมาด้วยหน้าตาที่น่ารักน่าชังยิ่ง อีกทั้งยังบ่นเขาว่าทำไมไม่พาอีกฝ่ายไปเที่ยวเล่นนอกสำนักด้วย จนหนิงอ้ายต้องสัญญาว่าหากอีกฝ่ายเป็นเด็กดีเขาก็จะพาอีกฝ่ายไปด้วยแน่นอน

ก่อนที่เจ้าตัวน้อยจะเอ่ยทิ้งท้ายว่าตื่นเต้นกับงานวันเกิดของอี้หลินในวันพรุ่งนี้เป็นอย่างมาก อีกทั้งไม่รู้ว่าของขวัญที่เตรียมไว้จะถูกใจอีกฝ่ายหรือไม่ จนหนิงอ้ายต้องช่วยพูดจนเจ้าตัวน้อยหายคิดมาก ก่อนที่จะบอกกับหนิงอ้ายอย่างหนักเเน่นว่าจะเข้านอนเเล้ว เพราะพรุ่งนี้ยังต้องตื่นเเต่เช้าและยังมีสิ่งอื่นให้ทำอีกมาก จากนั้นจึงหายเข้าไปในกองผ้าห่มในทันทีทิ้งให้หนิงอ้ายอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

ท่ามกลางบรรยากาศในยามค่ำคืนของเขตตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของลมปราณที่บริสุทธิ์เข้มข้น หนิงอ้ายยังคงดูดซับโอสถและหินปราณที่ตนได้รับจากอาคารส่วนกลางในก่อนหน้า ในใจนั้นคิดไม่ตกกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นหากข้องเกี่ยวกับมารก็จริงเเต่เขาเชื่อว่าหากเกิดสงครามอีกครั้งเหล่าผู้ฝึกตนย่อมเป็นฝ่ายที่ชนะเป็นแน่ เเต่ถึงอย่างไรนั้นควรที่จะตรวจสอบและวางเเผนรับมืออย่างรัดกุมมากที่สุด

สิ่งที่ตกค้างในใจตอนนี้คือเขายังไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าการที่ศิษย์พี่ใหญ่โจวเซิน ที่อีกฝ่ายมีหน้าตาเหมือนกับเเทนไทราวกับแกะ เเต่ทว่ายามที่อยู่ใกล้กลับรู้สึกได้ถึงบางสิ่งอย่างที่บอกว่าคนผู้นี้ไม่ควรที่จะอยู่ใกล้สักเท่าไหร่นัก...

เเต่กับเฟยหลงที่อยู่ในร่างหนังมนุษย์ของศิษย์พี่ตงหยางผู้เป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักนั้น เขากลับรู้สึกคุ้นเคยและไว้วางใจเป็นอย่างมากช่างเป็นความรู้สึกที่อธิบายออกมาไม่ถูก ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นเป็นไปได้หรือไม่ ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เสียเเล้วกัน...

หนิงอ้ายรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยเพราะสัมผัสความเย็นตรงบริเวณผิวหน้า เมื่อลืมตาขึ้นพบว่าเป็นต้าเฮยที่กำลังเลื้อยไปมาด้วยความตื่นเต้น อีกทั้งยังคงเร่งเร้าให้หนิงอ้ายรีบจัดการตนได้เเล้ว เช้านี้หนิงอ้ายต้องไปยังเรือนพักของเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์ของตนพร้อมกับเรียนรู้ในเรื่องของการหลอมสร้างปรุงโอสถ ด้วยเพราะในการสอบเลื่อนขั้นในเมื่อวานนี้ทำให้เด็กหนุ่มรับรู้ได้ว่ายังมีบางขั้นตอนที่ตนยังทำได้ไม่ดีนัก

อีกทั้งในยามนี้เขาก็เป็นนักปรุงโอสถระดับสองเเล้ว แม้จะเป็นการเลื่อนระดับที่รวดเร็วเป็นอย่างมาก เเต่หนิงอ้ายก็รู้ตัวดีว่าประสบการณ์ในเรื่องของการหลอมสร้างปรุงโอสถระดับสอง ตนยังถือว่าไร้ประสบการณ์เป็นอย่างมากดังนั่นเเล้วสมควรที่จะฝึกฝนให้ได้เชี่ยวชาญมากที่สุด

เเต่เมื่อไปถึงหน้าเรือนพักของอาจารย์ ผู้อาวุโสที่หนิงอ้ายคุ้นหน้าเนื่องจากอีกฝ่ายเป็นหนึ่งในผู้ที่ดูเเลความปลอดภัยรอบเรือนหลังนี้ เเต่แจ้งสารจากท่านอาจารย์ว่าวันนี้ให้ตนไปฝึกปรุงโอสถที่เรือนของตนเสีย เนื่องจากอีกฝ่ายมีธุระที่ต้องเร่งจัดการในช่วงนี้ ซึ่งหนิงอ้ายคาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นเรื่องราวที่เฟยหลงได้บอกกับตนเมื่อคืนเป็นแน่ จากนั้นหนิงอ้ายจึงกล่าวขอบคุณผู้อาวุโสท่านนั้นก่อนที่จะหันหลังกลับเรือนพักของตน

ถึงเรือนพักเเล้วหนิงอ้ายไม่ปล่อยให้เวลาได้ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์เช่นนี้แน่ จากนั้นเด็กหนุ่มได้ใช้เวลาสองชั่วยามในช่วงเช้านี้ให้การปรุงโอสถระดับสองขึ้นตามสมุนไพรที่ตนมี ครั้งเเรก ๆ อาจจะไม่ได้สมใจหวังเเต่เมื่อได้เริ่มปรุงโอสถระดับสองถัดมาก็คล้ายกับว่าเขาจะจับจุดสำคัญบางอย่างได้ ไม่รอช้าจึงลงมือปรุงซ้ำในทันที แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ออกมาก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมากเพราะโอสถระดับสองที่ได้มานั่นต่างมีความบริสุทธิ์มากกว่าแปดส่วนขึ้นไปทั้งสิ้น

เมื่อเห็นว่าได้เวลาเเล้ว หนิงอ้ายจึงจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกับแขวนป้ายหยกทั้งสองตรงข้างเอวเป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่จะมุ่งตรงไปยังซุ้มประตูทางเข้าของสำนัก เนื่องจากว่าลู่ซีได้เขียนจดหมายเวทย์ให้ได้ทราบว่าในตอนนี้อีกฝ่ายได้มายืนรอตนตรงหน้าทางเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเเล้ว

ทันทีที่ร่างบอบบางของเด็กหนุ่มที่มีชื่อเสียงในช่วงหลายวันมานี้ปรากฎตัวขึ้น เสียงพูดคุยจากเหล่าศิษย์สายในศิษย์สายนอกชายหญิงเท่านี้ได้ดังขึ้นไปทั่วบริเวณ บ้างก็ชี้นิ้วมายังเด็กด้วยความตกตะลึงอยู่ไม่น้อย เพราะในตอนเเรกลู่ซีได้ยืนอยู่ตรงนี้ก็นับว่าได้เรียกความสนใจอย่างมากเเล้วด้วยหน้าตาที่หล่อเหลาโดดเด่นของอีกฝ่าย บ้างก็มองมาด้วยความสนใจ

โดยเฉพาะคนที่มีสหายหรือคนรู้จักเป็นศิษย์ในตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลต่างทราบถึงความเชี่ยวชาญในเรื่องของค่ายกลที่มากเกินกว่าศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าศึกษาเพียงไม่กี่วันจะรับรู้ได้ของอีกฝ่าย อีกทั้งยังมีข่าวลือว่าเด็กหนุ่มนามว่าลู่ซีคนนี้ถึงกับถูกทาบทามเป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสสูงสุดในตำหนัก หากเป็นเช่นนั้นจริงตัวตนของอีกฝ่ายถือว่าด้อยกว่าศิษย์พี่โม่โฉวผู้เป็นศิษย์สืบทอดเพียงหนึ่งขั้นเท่านั้น ช่างน่าอิจฉาในวาสนาของอีกฝ่ายอย่างเเท้จริง

"เกอดีใจด้วยนะหนิงอ้าย ในที่สุดเจ้าก็ทำตามความฝันสำเร็จได้หนึ่งก้าวเเล้ว..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นเเต่คล้ายกับว่าหนิงอ้ายที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงไม่ใช่คนที่อยู่ตรงหน้านี้

"ข้าก็ดีใจที่ทำอีกหนึ่งความฝันของหนิงอ้ายสำเร็จไปแล้วก้าวหนึ่งเช่นกัน เเล้วนี่คนอื่น ๆ เล่าขอรับ?" หนิงอ้ายตอบกลับอีกฝ่ายไปเพราะเข้าใจได้ว่าเด็กหนุ่มนั้นหมายถึงหนิงอ้ายคนเก่า ก่อนเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างลื่นไหล

"จ้าวหลานเกอให้ช่วยศิษย์พี่โม่โฉวกับจินหั่วในการจัดเตรียมพวกเครื่องดื่ม ส่วนอู๋ฮั่นก็ให้อยู่เฝ้าอี้หลินเพราะอีกฝ่ายอยากที่จะมาช่วยทุกคนโดยที่ตัวเองไม่ได้ทำสิ่งใดเช่นนี้" ลู่ซีตอบกลับไปพร้อมกับเดินนำหนิงอ้ายไปยังทิศทางหนึ่งท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองมาอย่างสนใจ

"เช่นนั้นอู๋ฮั่นก็ได้งานหนักที่สุดแล้วขอรับ การรับมือกับอี้หลินไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นนั้นเเล้วข้าต้องเตรียมอาหารโปรดของเขาให้มากหน่อยเสียเเล้ว" หนิงอ้ายตอบกลับลู่ซี ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกันเพราะต่างเห็นตรงกันว่าการรับมือกับอี้หลินที่ซุกซนอยู่ไม่นิ่งราวกับลูกลิงนั่นช่างเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากเสียจริง...

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่96 งานเลี้ยงวันเกิด

    สายตาของศิษย์สายในศิษย์สายนอกชายหญิงโดยรอบต่างพากันจ้องมองเด็กหนุ่ม เนื่องจากในตอนนี้ข่าวลือที่ว่าศิษย์คนล่าสุดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาที่เพียงเข้าสำนักได้เพียงไม่กี่วันเเต่อีกฝ่ายกลับสามารถสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้สำเร็จครั้งเเรกข่าวคราวนี้ไม่ได้มีคนเชื่อเท่าไหร่นักเพราะถึงแม้พวกเขาจะยึดถือเส้นทางของผู้ฝึกตนเเต่ก็พอรับรู้อยู่บ้างว่าเส้นทางของนักปรุงโอสถนั้นหาได้ง่ายดาย และสำหรับที่ว่าอีกฝ่ายเป็นนักปรุงโอสถระดับสองก็คงเป็นเพียงเรื่องขบขันเท่านั้นทว่าการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มร่างบางที่นอกจากจะมีป้ายหยกเเสดงเเทนฐานะศิษย์ผู้สืบทอดเเล้ว อีกป้ายหยกที่แขวนคู่กันก็ดึงดูดสายตาไปไม่แพ้กันที่เมื่อพบเห็นต่างหลุดอาการกันทั้งสิ้น พึงทราบว่าขอเพียงเเต่ก้าวเท้าเข้ามากลายเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จ แม้จะเป็นเพียงระดับก่อเกิดเเต่ก็ทำให้ญาณสัมผัสทั้งห้าอยู่เหนือชั้นกว่าคนธรรมดาทั้งสิ้นดังนั้นแล้วจึงไม่ผิดแน่เด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายผู้นี้เป็นนักปรุงโอสถระดับสองอย่างเเท้จริง ด้วยเพราะมีป้ายหยกยืนยัน มีตราประทับของสมาคมสมาพันธ์นักปรุงโอสถเเห่งทวีปบูรพาอยู่นั่นเอง…ถึงอย่างไรก็ตามหนิงอ้ายกับลู่

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่97 เตาหลอมโอสถวิญญาณ

    เวลาได้หมุนเวียนเปลี่ยนผันไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้หนิงอ้ายถือได้ว่าเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ เป็นศิษย์ลำดับที่เจ็ดและศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาครบสามเดือนเต็มเเล้ว เเต่ละวันหนิงอ้ายได้จัดสรรเเบ่งเวลาอย่างเป็นระเบียบเเบบแผนช่วงเช้าหลังจากที่ดูเเลสวนสมุนไพรที่ข้างเรือนเสร็จก็จะฝึกฝนเชิงยุทธ์รวมไปถึงเคล็ดวิชาตให้ความคล่องแคล่วมากยิ่งขึ้นโดยใช้เวลาไปจนถึงช่วงเย็น ยามกลางคืนนอกจากดูดซับหินปราณที่ได้รับมาก่อนหน้าและโคจรลมปราณตามเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาเเล้ว อีกฝ่ายได้นำโอสถระดับหนึ่ง โอสถระดับสองที่ได้ปรุงขึ้น เเลกเป็นสมุนไพรจากอาคารส่วนกลางของตำหนักเพื่อนำสมุนไพรเหล่านี้กลับมาหลอมเป็นโอสถตามสูตรต่าง ๆ รวมไปถึงเด็กหนุ่มได้ฝากผู้อาวุโสซุนให้นำโอสถไปขายที่เมืองหมอกทมิฬอีกด้วยนอกจากนั้นหนิงอ้ายยังคงศึกษาเรียนรู้ในเรื่องของสมุนไพรต่าง ๆ รวมไปถึงฝึกฝนการหลอมสร้างปรุงโอสถอย่างสม่ำเสมอ กล่าวได้ว่ายิ่งลงมือฝึกฝนมากเท่าใด ตอนนี้อีกฝ่ายยิ่งมีความคุ้นเคยเชี่ยวชาญในการปรุงโอสถระดับสองมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถปรุงโอสถระดับสามบางชนิดได้แล้วเช่นกัน ถือได้ว่าด้วยระยะเวลาเ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่98 มังกรผีเสื้อจักรพรรดิจรัสแสงนิรันดร์

    "ภายในม่านมิติเต็มไปด้วยศาสตราวุธ เคล็ดวิชาล้ำค่า โอสถระดับสูงหายาก เตาหลอมโอสถระดับวิญญาณและสิ่งของวิเศษอีกมากมายยากที่จะคาดเดาได้ว่าท้ายที่สุดแล้วเขาจะได้ครอบครองสิ่งใด ด้วยระยะเวลาที่จำกัดเพียงหนึ่งชั่วยามในการเข้าไปในม่านมิติพิเศษนี้ หากมีโชควาสนามากเพียงพอ เขาย่อมได้รับการยอมรับจากเตาหลอมโอสถวิญญาณอย่างแน่นอน...""จะว่าไปข้าไม่คิดเลยว่าด้วยระยะเวลาเพียงสามเดือน ศิษย์ผู้นี้ก็ครบถ้วนด้วยคุณสมบัติของนักปรุงโอสถระดับสามได้เสียเเล้ว ความก้าวหน้าเช่นนี้กล่าวได้ว่าเหนือชั้นกว่าเจ้าโจวเซินศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าในช่วงอายุเดียวกันยิ่งนัก...." ซุนเกาเอ่ยขึ้นอย่างชื่นชมบรรดาลูกศิษย์ของเหวินหวู่เเต่ละคนล้วนมากไปด้วยความสามารถที่โดดเด่นแตกต่างกันออกไปและได้สร้างชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์ให้แก่ตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเป็นอย่างมาก หรือแม้กระทั่งกับหนิงอ้ายที่เป็นศิษย์คนล่าสุด ก่อนหน้าเด็กหนุ่มสามารถสอบเลื่อนระดับจากนักปรุงโอสถฝึกหัดเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่ง ภายในวันเดียวกันก็สามารถสอบเลื่อนขั้นเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้สำเร็จ กล่าวว่าครั้งนั้นชื่อเสียงของเด็กหนุ่มได้เป็นที่รู้จักอย่างมากในหมู่นัก

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่99 โอสถจัตุวสันต์

    ใช้เวลาเพียงไม่นานนักก็มาถึงพื้นที่ส่วนนอกในบริเวณชั้นหนึ่งของอาคารส่วนกลางหลังนี้เเล้ว หนิงอ้ายกับไป๋เหลียนฮวาประสานมือคำนับผู้อาวุโสซุนที่อีกฝ่ายเสียสละเวลาเป็นธุระให้กับพวกเขาทั้งสองในครั้งนี้ หนิงอ้ายไม่ลืมนำโอสถระดับหนึ่ง โอสถระดับสองและโอสถระดับสามบางชนิดที่ตนได้ปรุงขึ้นในช่วงก่อนหน้าออกมานอกจากจะนำไปฝากขายเเล้วยังได้เเบ่งโอสถส่วนหนึ่งสำหรับการเเลกเปลี่ยนเป็นสมุนไพรต่าง ๆ ตามสูตรโอสถระดับสามที่ตนต้องการฝึกฝนหลังจากนี้ เพราะเด็กหนุ่มตั้งใจว่าอีกไม่กี่เดือนหลังจากนี้เมื่อถึงกำหนดการณ์ของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาที่ศิษย์เเต่ละคนต้องออกไปทำภารกิจด้านนอกสำนักเพื่อช่วยเหลือผู้คนและฝึกฝนตนเองเป็นเวลาหนึ่งปีก่อนที่จะกลับคืนสำนักตามที่ได้ยึดถือปฏิบัติกันมาอย่างยาวนานหนิงอ้ายวางแผนเอาไว้ว่าในระหว่างการเดินทางครั้งนี้เขาจะไปสอบเลื่อนขั้นเป็นนักปรุงโอสถระดับสามให้สำเร็จ อีกทั้งยังตั้งใจว่าจะแวะกลับไปเยือนยังตระกูลหวังที่แคว้นเต่าดำอีกด้วย แม้ว่าในครั้งนี้ลู่ซีอาจจะไม่ได้กลับไปพร้อมกันก็ตาม เพราะตอนนี้อีกฝ่ายได้เป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสสูงสุดในตำหนักของค่ายกลฟังว่าหลังจากนี้ต้องเก็บตัวศึ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่100 เตรียมความพร้อม

    ทางฝั่งของเฟยหลงที่ได้ยินหนิงอ้ายตอบกลับมาคล้ายกับว่าอีกฝ่ายกำลังแง่งอนเสียอย่างนั้นในความรู้สึกที่สัมผัสได้ ชายหนุ่มจึงรู้สึกหมั่นเขี้ยวเด็กหนุ่มไปไม่น้อย ร่างกายสูงใหญ่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของบุรุษเพศอันมากล้นได้ค่อย ๆ ก้าวเท้ามุ่งเดินตรงมาพร้อมกับเอ่ยหยอกล้อร่างบางกลับไป"เพียงไม่กี่วันที่ไม่พบเจอกัน ไม่คิดว่าเสี่ยวอ้ายจะคิดถึงข้าเช่นนี้?" เฟยหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกับนั่งลงตรงที่นั่งที่อยู่ไม่ห่าง"ใครคิดถึงท่านกัน หึ!! ช่างหน้าหนาเสียจริง..." หนิงอ้ายตอบกลับอีกฝ่ายไปอย่างหงุดหงิด ยิ่งเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าได้เผยรอยยิ้มกว้างออกมา ช่างเป็นบุรุษที่มีความสามารถในการยั่วโมโหยิ่ง"เป็นข้าที่เข้าใจผิดเอง..." เป็นเฟยหลงที่ยอมแพ้ไปก่อนในท้ายที่สุด"ท่านมีสิ่งใดก็กล่าวออกมาได้แล้ว หวังว่าจะสำคัญมากพอเเล้วกัน..." หนิงอ้ายที่ได้ยินเสียงคล้ายกับสำนึกผิดของชายหนุ่ม จึงมองหน้าเพื่อพูดคุยกับอีกฝ่าย ด้วยเพราะเขาก็ต้องการทราบเช่นกันว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้างในช่วงนี้เป็นเวลาเกือบสองชั่วยามที่หนิงอ้ายกับเฟยหลงได้นั่งพูดคุยกันถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ต่างไปจากที่เด็กหนุ่มคาดการณ์เอาไว้ไปสั

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่101 ข่าวลือ

    ขบวนคาราวานรถม้านับสิบคันรถได้มุ่งตรงสู่ทางสายหลัก เพื่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างแคว้นอันเป็นจุดหมายปลายทางในครั้งนี้ ทว่าเมื่อออกจากเมืองหลวงของแคว้นได้เพียงไม่กี่ชั่วยาม นายกองผู้ควบคุมรวมไปถึงบรรดาผู้คุ้มกันนับครึ่งร้อยชีวิตต่างตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดอย่างเสียไม่ได้เส้นทางรถม้าที่เคยผ่านไปกลับนับร้อย นับพันครั้ง เพื่อขนส่งสินค้าไปยังหัวเมืองตามแคว้นต่าง ๆ ใกล้เคียง ครั้งนี้กลับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดแปลกไป หนึ่งชั่วยามให้หลังมานี้ผืนป่าในช่วงกลางวันอันเป็นช่วงเวลาแห่งการใช้ชีวิตของทุกสรรพสิ่งทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงขับขานดังกล่าว บรรยากาศโดยรอบถูกโอบล้อมด้วยหมอกควันสีขาวลอยต่ำ ความเย็นยะเยือกที่สายลมได้พัดพากระทบให้รู้สึกนั้นชวนให้หวาดกลัวยิ่ง"พวกเจ้าทุกคนเฝ้าระวังให้ดี อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด!!!" เสียงทุ้มต่ำจากชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าขบวนคาราวานรถม้าขนส่งสินค้า ได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง เพื่อเน้นย้ำว่าสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้หาใช่เรื่องปกติไม่อากาศที่ลดลงอย่างฉับพลัน พร้อมกับกลุ่มหมอกควันหนาสีขาวได้ลอยต่ำลงจนแสงสว่างใดก็ไม่อาจเล็ดลอดจากยอดไม้สูงทั้งสิ้น เสียง

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่102 ผู้ไม่ประสงค์ดี

    หนิงอ้ายในตอนนี้แม้จะถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติของผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นต้น ประกอบกับร่างกายนี้ได้ประสานไปกับกระดูกวิญญาณล้ำค่า ยิ่งส่งผลให้ยามออกท่าร่างเคล็ดวิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้จึงมีความรวดเร็วเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนระดับขั้นเดียวกันหลายเท่า เวลาที่ผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อตามกำหนด เงาร่างของเฟยหลงกลับพุ่งทะยานล้ำหน้าผ่านร่างบางไปด้วยความเร็วที่เหนือชั้นยิ่งกว่าเห็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายมอบให้ เขาชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าการแข่งขันครั้งนี้คุ้มค่ากับการลงแรงไปหรือไม่ ยิ่งเงื่อนไขที่ว่าผู้ชนะสามารถร้องขอสิ่งหนึ่งจากผู้แพ้แล้ว ครั้งนี้เป็นเขาเองที่ประมาทเสียท่าหลงเชื่อคำที่มากไปด้วยเล่ห์กลของอีกฝ่ายเข้าจนได้ เนตรแห่งสวรรค์ส่งข้อมูลให้รับรู้ว่าอีกฝ่ายได้ควบคุมพลังปราณให้เหลือเพียงเขตขั้นเทวะวิญญาณขั้นต้นเพียงเท่านั้น ย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดเคล็ดวิชาตัวเบาที่มีความรวดเร็วเป็นอันดับต้น ๆ ในมหาพิภพ ทว่าเคล็ดวิชาของอีกฝ่ายนั้นดูเหนือชั้นไปกว่ามาก เคล็ดวิชาก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตามรากฐานการบ่มเพาะก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เสริมให้เกิดความได้เปรียบเช่นนี้"แม้จะล

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่103 สังหาร

    กระบี่สีขาวบริสุทธิ์ในมือถูกกระชับให้มั่นคงพร้อมต้านรับกระบี่ที่โหมโรมรันเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง เสียงของคมกระบี่ปะทะกันดังขึ้นไปทั่วทั้งผืนป่าที่เงียบสงบ ชายชุดดำที่หนิงอ้ายกำลังรับมืออยู่นี้เป็นถึงราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นสูงผู้หนึ่ง ถือได้ว่าเหนือชั้นกว่าเขาไปถึงสองขั้นย่อยเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างไรเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายของหนิงอ้ายมีความเหนือชั้นกว่าเพลงกระบี่ของฝ่ายศัตรูเป็นอย่างมาก ดังนั้นความเสียเปรียบของระดับพลังวิญญาณนับว่าไม่ส่งผลสักเท่าไหร่นักการสับประยุทธ์ของเพลงกระบี่ได้ดำเนินผันผ่านเกินกว่าสองเค่อ ยิ่งเวลาผ่านไปดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงของเด็กหนุ่มนั้นหาได้ลดลงตามไม่ ผิดกับชายชุดดำที่มีร่างกายสูงใหญ่แข็งแกร่ง ที่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าความเหนื่อยล้าเริ่มปรากฏขึ้นมาบ้างแล้ว หนิงอ้ายที่แผ่ญาณสัมผัสออกไปโดยรอบจึงรับรู้ได้ทุกการเคลื่อนไหวเหล่านี้และสามารถส่งการโจมตีกลับพร้อมใช้ท่าร่างวิชาตัวเบาหลบออกมาด้านข้างเพื่อหลบหลีกการโจมตีโดยไม่พลาดพลั้ง"ไม่คิดว่าศิษย์ของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์จะมากไปด้วยฝีมือเช่นนี้ ช่างน่าชื่นชมเสียจริง..." ชายชุดดำที่รับมือกับหนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06

บทล่าสุด

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status