Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่​12 ออกเดินทางล่าสัตว์อสูร

Share

บทที่​12 ออกเดินทางล่าสัตว์อสูร

เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว

“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ

“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ

“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา

“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้ายกับลู่ซีเป็นอย่างดี! เพียงแต่ด้วยความสามารถและทักษะเชิงยุทธ์ของทั้งสองคนในตอนนี้ข้าคิดว่าคงไม่น่าห่วงสักเท่าไหร่นะขอรับ” หวังฮุ่ยรับคำพร้อมกับเอ่ยเสริมขึ้นตามความคิดของตน

“ผู้อาวุโสจะเดินทางในวันพรุ่งนี้เลยหรือไม่?”

“เป็นเช่นนั้นขอรับ” หวังฮุ่ยตอบกลับไป

“ท่านลุงฮุ่ยในวันพรุ่งนี้เราจะออกเดินทางยามใดดีขอรับ?” หนิงอ้ายได้สอบถามกับหวังฮุ่ยอีกเล็กน้อยเพื่อที่จะได้เตรียมตัวในการเดินทางวันพรุ่งนี้

“ข้าคิดว่าเริ่มออกเดินทางในต้นยามเฉินคุณชายคิดเห็นเป็นอย่างไร??” หวังฮุ่ยตอบกลับหนิงอ้ายไปพร้อมกับถามความเห็นของเด็กหนุ่ม

“ดีเหมือนกันขอรับออกเดินทางแต่เช้าอากาศคงจะดีไม่น้อย เช่นนั้นเจอกันพรุ่งนี้เช้านะขอรับ” หนิงอ้ายตอบกลับไปก่อนที่จะประสานมือโค้งคำนับอีกฝ่ายก่อนที่จะขอตัวกลับห้องพักของตน

หนิงอ้ายใช้เวลาตลอดทั้งคืนในการดูดซับพลังปราณฟ้าดินตามเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆา หลังจากที่เขาได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกอสูรอสรพิษบรรพกาลไปจนทำให้ในตอนนี้เขาเป็นผู้ฝึกตนขุนนางวิญญาณระดับที่29 แล้ว พลังวิญญาณในแต่ละเขตขั้นใหญ่นั้นกว้างใหญ่และต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่าที่จะสะสมให้เติมเต็มพร้อมที่จะทะลวงผ่านขึ้นไปเป็นระดับจักรพรรดิวิญญาณได้สำเร็จ แม้จะมีแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตที่เขาสวมใส่อยู่ก็จริงแต่หนิงอ้ายไม่ได้เร่งรีบในการทะลวงผ่านระดับจักรพรรดิมากถึงเพียงนั้น สิ่งที่เขาต้องการคือรากฐานของพลังวิญญาณที่มั่นคงหนักแน่น

ระยะเพียงหนึ่งปีที่ใช้ไปกับเส้นทางของการเป็นผู้ฝึกตนนี้ จากคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่อาจปลุกพลังวิญญาณได้แต่ในตอนนี้กล่าวได้ว่าเขานั้นเป็นผู้ฝึกตนขุนนางวิญญาณขั้นสูงผู้หนึ่งด้วยอายุเพียงสิบห้าปี แต่กลับพร้อมไปด้วยคุณสมบัติของผู้ฝึกตน สำหรับระดับพลังวิญญาณสามขั้นแรกนั้นไม่ใช่เรื่องยากที่จะเอื้อมถึงได้ ทว่าเขตขั้นของระดับจักรพรรดิวิญญาณถือว่าเป็นอีกหนึ่งคอขวดใหญ่ที่เป็นอุปสรรคใหญ่ของผู้ฝึกตนที่เลือกเข้าสู่เส้นทางสายนี้ เพราะด้วยปริมาณของพลังวิญญาณที่มหาศาลที่นอกจากจะต้องดูดซับปราณฟ้าดินเป็นจำนวนมากแล้ว ยังต้องใช้ทรัพยากรบ่มเพาะไม่น้อยเช่นกัน หรืออาจใช้เวลาไม่น้อยกว่าสิบปีในการดูดซับพลังลมปราณมาเติมเต็ม

แน่นอนว่าปัญหาเหล่านี้หนิงอ้ายคงไม่พบเจอเป็นแน่เพราะด้วยเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาอันขึ้นชื่อในเรื่องการดูดซับปราณฟ้าดินและขยายเส้นชีพจรลมปราณของผู้ใช้วิชาให้ขยายใหญ่เพิ่มขึ้นกว่าคนทั่วไปแล้ว จี้หยกสีโลหิตที่ได้รับมาจากกล่อมสมบัติของท่านบรรพบุรุษที่มีส่วนช่วยในการดึงดูดลมปราณฟ้าดินโดยรอบพร้อมกับหลอมกลั่นให้มีความบริสุทธิ์อย่างยิ่งยวดก่อนจะถูกดูดซับเข้าสู่ร่างกายกระจายไปทั่วจุดชีพจรทั้ง361จุดและจุดตันเถียรอันเป็นแหล่งกักเก็บพลังลมปราณของร่างกาย ขอเพียงอาศัยแรงกระตุ้นอีกเล็กน้อยสำหรับเขตขั้นจักรพรรดิวิญญาณหนิงอ้ายเชื่อมั่นว่าเขาย่อมสามารถก้าวถึงได้อย่างแน่นอน...

แสงแรกของอรุณรุ่งมาถึงเฉกเช่นทุกวัน เช้าวันนี้ลู่ซีได้เข้ามาจัดเตรียมข้าวของพร้อมกับจัดการความเรียบร้อย เมื่อถึงเวลานัดหมายแล้วทั้งสองคนได้มุ่งตรงไปยังหน้าเรือนในทันที

“ขออภัยท่านลุงฮุ่ยที่ทำให้ต้องรอขอรับ” หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับประสานมือโค้งคำนับเล็กน้อย

“ข้าเองก็พึ่งมาถึงก่อนหน้าคุณชายเพียงไม่นานเท่านั้น” หวังฮุ่ยตอบไปพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย

“ท่านแม่แน่ใจใช่ไหมขอรับว่าสามารถอยู่ที่เรือนนี้ได้ ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรู ข้าขอฝากทั้งสองท่านช่วยดูแลมารดาของข้าด้วยนะขอรับ” หนิงอ้ายถามารดาของตนไปด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหันไปพูดคุยกับบุรุษสตรีที่ยืนข้างมารดาตน

“คุณชายไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ/คุณชายไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ...” จางปินกับหรันหรูเอ่ยรับคำด้วยความหนักแน่น

“คุณชายไม่ต้องกังวล ข้าได้ให้องค์รักษ์สองคนคอยเฝ้าดูแลคุณหนูเยว่ซินพร้อมกับเรือนหลังนี้แล้วเช่นกัน...” หวังฮุ่ยเอ่ยเสริมขึ้น เพราะช่วงกลางคืนที่ผ่านมาเขาได้วางหมุดค่ายกลป้องกันระดับสูงไว้ล้อมรอบเรือนหลังนี้เรียบร้อย

“ได้ยินเช่นนั้นข้าก็สบายใจแล้วขอรับ”

“เมื่อพร้อมกันแล้วข้าว่าพวกเราเร่งออกเดินทางกันเถิด แม้ว่าเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณจะอยู่ห่างจากแคว้นหงส์แดงไม่กี่ชั่วยามก็จริง แต่หากไปถึงเวลาค่ำมืดแล้วคงไม่ดีสักเท่าไหร่นัก!!” เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาเริ่มออกเดินทางเสียที จากนั้นหวังฮุ่ย หนิงอ้าย ลู่ซีและองค์รักษ์ชุดดำอีกหนึ่งคนได้พุ่งทะยานตัวขึ้นบนอากาศด้วยเคล็ดวิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ ทั้งสี่คนได้มุ่งตรงไปยังทิศตะวันออก อันเป็นทิศที่ตั้งของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อเสาะหากระดูกวิญญาณและเพิ่มพูนทักษะประสบการณ์ที่มากขึ้น

การเดินทางของหนิงอ้ายได้เริ่มต้นขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหนิงอ้ายคนเก่าหรือตัวเขาที่เป็นนทีที่อยู่ในร่างนี้ไม่ถึงหนึ่งปีล้วนต่างไม่เคยเดินทางไกลจากเรือนนี้แม้เพียงครั้งเดียว มากสุดที่เคยไปก็เป็นเพียงตลาดนัดใจกลางเมืองหลวงที่อยู่ไม่ห่างไปจากจวนตระกูลจาง ความรู้สึกหนิงอ้ายในตอนนี้คือตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะนี่ไม่ต่างจากการลงสนามทดสอบในฐานะของผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ที่แท้จริง...

หนิงอ้ายกับลู่ซีใช้วิชาตัวเบากันอย่างคล่องแคล่ว ตรงด้านหน้ามีหวังฮุ่ยเป็นผู้นำทางในครั้งนี้ ตามมาด้วยหนิงอ้าย ลู่ซีและองครักษ์ชุดดำอีกหนึ่งคนปิดท้าย ด้วยเพราะหนิงอ้ายกับลู่ซีเป็นผู้ฝึกตนขุนนางวิญญาณแล้ว ดังนั้นในการใช้พลังลมปราณจึงเป็นไปอย่างราบรื่นไม่ติดขัด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหวังฮุ่ยกับองครักษ์ชุดดำคนนั้นที่เนตรแห่งสวรรค์ส่งข้อมูลให้หนิงอ้ายรับรู้ว่าทั้งสองคนเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสุด กลิ่นอายความแข็งแกร่งที่แผ่ซ่านออกมาอย่างบางเบานั้นได้ขับไล่สัตว์อสูรที่ต่ำกว่าระดับนภาได้ทั้งสิ้น ดูไปแล้วการไล่ล่าสัตว์อสูรเพื่อหาวงแหวนวิญญาณคงมีความสำเร็จไม่น้อยไปกว่าแปดส่วน

“พวกเราจะเดินทางโดยใช้วิชาตัวเบาหนึ่งชั่วยามและเดินเท้าอีกหนึ่งชั่วยามสลับกันไปจนกว่าจะถึงเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณนะขอรับ และหากถึงเขตป่าชั้นนอกแล้วค่อยหยุดพักสักครึ่งชั่วยามก่อนที่จะเดินทางอีกครั้ง” หวังฮุ่ยพูดกับเด็กหนุ่มตรงหน้าตน เพราะการเดินทางด้วยเคล็ดวิชาตัวเบานั้นสิ้นเปลืองพลังลมปราณในร่างกายเป็นอย่างมาก แม้ว่าเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้จะมีความพิศดารในการดูดซับปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาชดเชยพลังลมปราณในร่างกายที่เสียไปก็จริง แต่ถึงอย่างไรทั้งหนิงอ้ายกับลู่ซีก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับขุนนางวิญญาณเท่านั้น จึงสมควรที่ใช้การเดินทางสลับไปเช่นนี้เป็นการดีที่สุด

“ขอรับท่านลุงฮุ่ย!!” หนิงอ้ายพยักหน้าเห็นด้วยกับการเดินทางเช่นนี้

คณะเดินทางของหนิงอ้ายในครั้งนี้ทั้งสี่คนต่างมุ่งเดินทางไปยังเทือกเขาป่าอสูรที่อยู่ฝั่งทิศตะวันออกของแคว้นหงส์แดงได้ดำเนินไปเรื่อย ๆ คณะเดินทางทั้งสี่คนได้สลับไปมาตามวิธีการดังกล่าวที่ได้ตกลงกันไว้ จนเมื่อถึงยามเว่ยจึงหยุดพักทานอาหารที่เตรียมมา

“เขตป่าชั้นนอกคงมีแต่สัตว์อสูรระดับปฐพีหรือระดับนภาขั้นต่ำเพียงเท่านั้น พวกเราต้องเดินทางเข้าไปลึกกว่านี้ เช่นนั้นพักกันตรงนี้เสียก่อนแล้วกัน...”

“เหนื่อยมากหรือไม่ขอรับคุณชาย??” หวังฮุ่ยถามหนิงอ้ายด้วยความเป็นห่วง จริงอยู่ที่ว่าในตอนนี้อีกฝ่ายเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับขุนนางขั้นสูงแล้วร่างกายย่อมมีความแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างมากก็ตาม

“ไม่เลยขอรับท่านลุงฮุ่ย ได้เดินทางเช่นนี้ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย อีกทั้งลมปราณฟ้าดินยังหนาแน่นและบริสุทธิ์กว่าที่จวนตระกูลจางเป็นอย่างมาก” หนิงอ้ายตอบไปตามที่ตนคิดเพราะร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมมาก

แม้จะสิ้นเปลืองพลังลมปราณไปกับการใช้วิชาตัวเบาก็จริงแต่ก็ถูกทดแทนด้วยจี้หยกโลหิตที่เขาได้สวมใส่ไว้ตลอดเวลา อีกทั้งในตอนนี้เขาเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาเป็นอย่างมาก ดังนั้นแม้ไม่ได้บัญชาการหรือโคจรไปตามวิถีแต่ร่างกายของเขายังคงดูดซับปราณฟ้าดินที่อยู่โดยรอบตัวตลอดเวลาเช่นกัน

“แล้วเจ้าเล่าลู่ซีรู้สึกอย่างไร ไหวหรือไม่?” หวังฮุ่ยหันไปถามเด็กหนุ่มอีกคนที่เป็นดั่งลูกศิษย์ของตนอีกคน

“ข้ายังไหวอยู่ขอรับผู้อาวุโส แม้จะสิ้นเปลืองพลังลมปราณไปไม่น้อยแต่การเดินทางสลับเดินเท้าเช่นนี้ถือว่าดียิ่งแล้วขอรับ...” ลู่ซีตอบกลับไป

“เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว อย่างไรก่อนพระอาทิตย์ตกดินพวกเราคงถึงเขตป่าชั้นนอกของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ อย่างไรค่อยหาที่พักบริเวณนั้นเพราะการเดินทางในเขตป่าในยามค่ำคืนคงไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำสักเท่าไหร่นัก”

“ขอรับ!!” หนิงอ้ายกับลู่ซีพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยพวกเขาทั้งสี่คนจึงเริ่มเดินทางกันอีกครั้งด้วยวิธีการเดินทางเช่นเดิมสลับไปมาจนในที่สุดก็ถึงยามโหย่วแล้วพอดี

“ตรงหน้านี้คือทางเข้าเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณใช่หรือไม่ขอรับ??” หนิงอ้ายพูดขึ้นพร้อมกับมองไปโดยรอบ พบเห็นเป็นแนวเทือกเขาสูงใหญ่สลับกันซับซ้อนไปสุดสายตา

“เทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณมีอาณาเขตติดกับแคว้นมังกรเขียว กล่าวได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวนั้นไม่ต่างไปจากแคว้นหนึ่งเสียด้วยซ้ำ แม้จะเป็นในยามกลางวันแต่ทว่าภายในเขตพื้นที่ยังเต็มไปด้วยหมอกควันสีขาวปกคลุมไปทั่วทั่งผืนป่า อีกทั้งในยามกลางคืนยังมีสัตว์อสูรประหลาดมากมายหลายเผ่าพันธ์ที่คอยหลอกล่อชาวบ้านหรือผู้ฝึกตนระดับต่ำไปเป็นอาหาร ดังนั้นหากพ้นคืนนี้ไปแล้วพวกเราควรที่จะเร่งเดินทางไปยังเขตป่าชั้นกลางให้เร็วที่สุด เพราะเป้าหมายในครั้งนี้คือการเสาะหากระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรระดับนภาขั้นกลางเป็นต้นไป...”

“ความจริงแล้วเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณไม่ได้เป็นพื้นที่เดียวที่มีสัตว์อสูรอาศัยอยู่ เพราะในแต่ละเขตติดต่อของทั้งสี่แคว้นต่างมีเขตป่าผืนใหญ่อันเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์อสูรเหล่านี้ทั้งสิ้น แต่หากนับจากระยะทางที่ใกล้เคียงกับแคว้นหงส์แดงแล้ว เทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณนับว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่สามารถพบเจอสัตว์อสูรได้มาก แต่แน่นอนว่าย่อมแฝงไปด้วยอันตรายที่มองไม่เห็นด้วยเช่นกัน...” หวังฮุ่ยอธิบายออกมา เพราะโดยปกติแล้วผู้ฝึกตนต่างล้วนทราบกันดีถึงความลี้ลับของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณแห่งนี้

“คืนนี้พวกเราจะตั้งกระโจมพักกันที่นี่นะขอรับ” กล่าวจบลงหวังฮุ่ยได้เริ่มตั้งกระโจมที่ได้เตรียมมาเป็นจำนวนทั้งสิ้นสองหลัง โดยที่พวกเขาทั้งสี่คนนั้นเร่งตั้งกระโจมพักนี้ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด จากนั้นหวังฮุ่ยได้แยกตัวไปจัดการร่ายบทเวทย์เขตแดนป้องกันในรัศมี1ลี้

หนิงอ้ายที่สามารถเรียกใช้ความสามารถของเนตรแห่งสวรรค์ตามที่ใจต้องการแล้ว จึงรับรู้ได้ว่าบทเวทย์เขตแดนนี้มีนามว่า เขตแดนจตุรทิศศักดิ์สิทธิ์พิฆาตมาร อันเป็นหนึ่งในบทเวทย์เขตแดนป้องกันแข็งแกร่งที่สุดของตระกูลหวัง แม้อาจมีความยุ่งยากซับซ้อนเล็กน้อยในการเรียกใช้ แต่หนิงอ้ายเห็นว่านอกจากที่อีกฝ่ายจะร่ายบทเวทย์ดังกล่าวแล้ว ยังได้มีการวางสลักค่ายกลที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอักขระเวทย์ป้องกันทั้งแปดทิศอีกด้วย

“นับว่าเป็นบทเวทย์เขตแดนที่แข็งแกร่งเลยทีเดียวนะขอรับท่านลุงฮุ่ย!!”

“บทเวทย์เขตแดนจตุรทิศศักดิ์พิชิตมาร เป็นหนึ่งในสามของบทเวทย์เขตแดนป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกุลหวังที่อดีตบรรพชนผู้นำตระกูลท่านหนึ่งได้เขียนขึ้น นับว่าเป็นบทเวทย์เขตแดนที่มีประโยชน์และสามารถพลิกแพลงใช้งานได้อย่างหลากหลายยิ่งนัก หากคุณชายถึงเขตขั้นจักรพรรดิวิญญาณได้สำเร็จข้าจะสอนคุณชายได้เรียนรู้นะขอรับ...” ด้วยเพราะบทเวทย์เขตแดนนี้มีเพียงผู้อาวุโสสำคัญในตระกูลเท่านั้นที่มีสิทธิในการศึกษาเรียนรู้ เงื่อนไขข้อกำหนดต่าง ๆ ที่มากมายและความยุ่งยากซับซ้อน รวมไปถึงการใช้พลังลมปราณมากกว่าสามถึงสี่ส่วนในการเรียกใช้ในแต่ละครั้ง ดังนั้นผู้ที่จะเรียกใช้บทเวทย์เขตแดนดังกล่าวนอกจากจะมากไปด้วยพรสวรรค์แล้วยังต้องเป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณขึ้นไป

“ขอบคุณท่านลุงฮุ่ยมากขอรับ วันใดที่ข้าพร้อมไปด้วยคุณสมบัตินี้คงต้องรบกวนท่านแล้ว...” หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความถ่อมตนที่สร้างความประกับใจให้กับชายวัยกลางคนนี้อีกครั้ง

หลังจากจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วคณะเดินทางทั้งสี่คนจึงได้นั่งพักผ่อนพร้อมกับพูดคุยกันเล็กน้อยถึงแผนการหลังจากนี้ ก่อนที่จะตกลงกันว่าจะสลับกันเฝ้าเวรยามคนละหนึ่งชั่วยามโดยเริ่มจากลู่ซี หวังฮุ่ย หนิงอ้ายและองครักษ์ชุดดำจะเป็นผู้เฝ้ายามในช่วงใกล้เช้าเพื่อให้ทุกคนได้สลับกันพักผ่อนให้ได้มากที่สุด แต่ถึงอย่างไรพวกเขาทั้งสี่คนยังคงนั่งล้อมวงพูดคุยกันด้วยเพราะร่างกายของผู้ฝึกตนนั้นไม่จำเป็นต้องนอนหลับพักผ่อนเฉกเช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไปเช่นกัน

“คุณชายคิดไว้แล้วหรือยังขอรับว่าจะเลือกกระดูกวิญญาณสัตว์อสูรเผ่าพันธุ์ใดในการประสานเข้ากับร่างกาย??” ลู่ซีถามหนิงอ้ายขึ้น

“เพื่อให้ความสามารถจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลเพิ่มพูนประสิทธิภาพ ข้าคงเลือกสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษสักตัวในการดูดซับกระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้...”

“แล้วเจ้าเล่าลู่ซี คิดไว้แล้วบ้างหรือยังว่าจะเลือกสัตว์อสูรใดในการประสานเข้ากับกระดูกวิญญาณวิญญาณกัน...”

“วิญญาณยุทธ์ของข้ามีรากฐานจากปราณธาตุน้ำ ดังนั้นข้าคงเลือกสัตว์อสูรในสังกัดปราณธาตุเดียวกันขอรับ” ลู่ซีตอบกลับไป

“หรือหากได้กระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรที่มีความสามารถในการเพิ่มทักษะด้านการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วก็คงดีไปไม่น้อย...” หนิงอ้ายเอ่ยเสริมขึ้นโดยที่ลู่ซีนั้นพยักหน้าเห็นด้วย

เมื่อใดก็ตามที่ผู้ฝึกตนสามารถทะลุเขตขั้นเป็นผู้ฝึกตนขุนพลวิญญาณได้สำเร็จ หากต้องการแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นนอกจากจะต้องเชี่ยวชาญในเชิงยุทธิ์รวมไปถึงการใช้งานบทเวทย์ต่าง ๆ แล้ว ยังสามารถนำกระดูกวิญญาณที่เกิดจากการสังหารสัตว์อสูรระดับนภาเป็นต้นไปประสานเข้ากับร่างกายที่ของผู้ฝึกตน นอกจากที่กระดูกวิญญาณจะมีส่วนช่วยในการทะลวงระดับขึ้นไปแล้ว กระดูกวิญญาณเหล่านี้ยังคงมอบทักษะวิญญาณที่เป็นความสามารถให้อีกด้วย ซึ่งเป็นอีกส่วนสำคัญของความแข็งแกร่งในหมู่ผู้ฝึกตน

ดังนั้นสัตว์อสูรแต่ละเผ่าพันธุ์ แต่ละสังกัดปราณธาตุล้วนต่างมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป ทั้งในด้านการโจมตีระยะประชิดหรือระยะไกล บ้างก็มีความสามารถในการป้องกันที่โดดเด่นหรือการโจมตีที่เฉียบคม แน่นอนว่าการเลือกกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรในการดูดซับประสานเข้ากับร่างกายนั้นต้องส่งเสริมพลังปราณธาตุต้นกำเนิดของผู้ฝึกตนให้ได้มากที่สุดนั่นเอง...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status