“เจ้าจะโกรธพี่อย่างไรก็ได้ แต่อย่าได้ปฏิเสธเรื่องที่เจ้าเป็นฮูหยินของพี่ได้หรือไม่”
“เฮ้อ...” นางได้แต่ทอดถอนใจ แรกเริ่มเดิมทีที่ช่วยเหลือเขาก็เพราะอยากพิสูจน์ความคิดของตน และอยากขอความช่วยเหลือเล็กน้อยจากเขาเป็นการตอบแทน
มิคิดว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้ หรือเป็นเพราะนางเลือกที่จะไม่เดินทางจากไปก่อนที่เขาตื่นดั่งเช่นชาติก่อน จึงไม่ทราบว่าแท้จริงบุรุษผู้นี้บาดเจ็บหนักถึงขั้นสติฟั่นเฟือนเช่นนี้
“ฮูหยิน...”
“ก็ได้เจ้าค่ะ” นางตอบรับพลางคิดว่าต่อจากนี้ คำว่า ‘ฮูหยิน’ คงจะหลอกหลอนนางไปอีกนาน
อาจเพราะชาติก่อนนางเคยปรนนิบัติอดีตสามีชั่วช้าผู้นั้นอยู่บ้าง การช่วยบุรุษแปลกหน้าผู้นี้แต่งกายจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนาง
“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ แล้วท่านหมอ...” นางกล่าวพลางจะเดินผ่านบุรุษชุดดำไปที่หน้าถ้ำ แต่กลับถูกมือใหญ่รั้งเอวคอดกิ่วเอาไว้
“ฮูหยิน เจ้าอย่าเข้าใกล้คนพวกนั้น” เขากล่าวพลางรั้งนางเข้าสู่อ้อมกอด ไม่สนใจท่าทีตกตะลึงของคนที่อ้างตัวว่าเป็นลูกน้องตน
“คุณหนู...” เจียวโจวกำลังจะกล่าวแต่กลับโดนคุณชายตวาดใส่
“ฮูหยิน!” เสียงตวาดดังลั่นทำให้คนที่น่าจะเป็นหัวหน้าบุรุษชุดดำรีบเปลี่ยนคำพูด
“ฮูหยินขอรับ หากเป็นเช่นนี้ พวกข้าคงต้องขอรบกวนท่านช่วยดูแลคุณชายได้หรือไม่ขอรับ” ท่าทางที่ไม่ไว้ใจใครเลยของคุณชายทำให้บรรดาบุรุษชุดดำคนอื่นรีบคุกเข่าลงบนพื้นเพื่อช่วยอ้อนวอนสตรีแปลกหน้าผู้นี้
“ฮูหยินโปรดเมตตาช่วยเหลือคุณชายของพวกเราด้วยขอรับ”
“รอท่านหมอมาก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ แล้วพวกเราค่อยมาตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อ” สิ้นเสียงนางบุรุษชุดดำผู้หนึ่งรีบร้อนลากบุรุษชุดขาวที่มีใบหน้างดงามไร้ที่ติไม่แพ้กันเข้ามาอีกคน
“ไหน คนเจ็บที่ต้องการให้ข้ารักษา”
“ชายผู้นี้คือใคร เหตุใดถึงได้หน้าตาน่าเกลียดเช่นนั้น ฮูหยินเจ้าอย่าได้จ้องมองหน้าเขา ประเดี๋ยวเจ้าจะฝันร้าย” เขาไม่เพียงกล่าวแต่กลับกดใบหน้านางให้ซุกกับอกแกร่ง นัยน์ตาดำจ้องมองบุรุษที่มีใบหน้างดงามราวกับเทพเซียนด้วยสายตาไม่เป็นมิตรแฝงข่มขู่
“ท่านปล่อยข้าก่อนเจ้าค่ะ เขาคงเป็นท่านหมอที่ผู้ติดตามของท่านพาเขามารักษาท่าน” นางกล่าวพลางดันตัวเองให้ออกห่าง
“แต่หน้าตาเขาไม่น่าไว้ใจ”
“ให้เขาได้ตรวจท่านเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะได้สบายใจ มิเช่นนั้นหากท่านล้มป่วยข้าคงปวดใจ” เมื่อเห็นท่าทางไม่ยินยอมของเขา นางจึงกล่าววาจาหว่านล้อมกึ่งออดอ้อนให้เขาคล้อยตาม
“หากฮูหยินกล่าวเช่นนั้น พี่จะยินยอมให้บุรุษหน้าตาไม่น่ามองผู้นี้ตรวจ”
“ข้ากลับเลยดีหรือไม่ เดี๋ยวก็น่าเกลียด เดี๋ยวก็ไม่น่ามอง อิจฉาข้าหรือไร” ตนเป็นถึงหมอเทวดารูปงามที่สุดในสามแคว้น เหตุใดบุรุษตาถั่วผู้นี้ถึงเอาแต่กล่าววาจาไม่น่าฟัง
“ใจเย็นๆ ขอรับท่านหมอ ได้โปรดตรวจร่างกายให้คุณชายของข้าด้วยขอรับ” เจียวโจวเกลี้ยกล่อมท่านหมอ
“ฮูหยินเหตุใดข้อเท้าเจ้าจึงได้บวมช้ำเช่นนั้น”
“เมื่อวานข้าเจ็บข้อเท้าเพียงเล็กน้อยเจ้าค่ะ มิเป็นอันใดมาก”
“มิได้ อย่างไรเจ้าตรวจกับท่านหมอผู้นี้ก่อน”
“แต่ท่านควร...” อย่างไรหมอผู้นี้ก็เป็นคนของเขาตามมา คุณชายของคนพวกนี้จึงควรได้รับการรักษาก่อนมิใช่หรือ
“หากเจ้าไม่ยอมให้หมอผู้นี้รักษา พี่ก็จะไม่รักษาเช่นกัน”
“ฮูหยิน ได้โปรดให้ท่านหมอรักษาเถิดขอรับ” สิ้นวาจาของบุรุษที่คล้ายจะเป็นหัวหน้า บุรุษชุดดำที่เหลือก็คุกเข่าลงบนพื้นอีกครั้งเพื่ออ้อนวอนนาง
“ฮูหยินได้โปรดรักษากับท่านหมอเถิดขอรับ
“ก็ได้เจ้าค่ะ พวกท่านลุกขึ้นเถิด” นางได้แต่ตอบรับพลางทอดถอนใจ รู้จักยังไม่ถึงวัน นางต้องเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้ หากต้องเดินทางไปด้วยกัน นางมิปวดหัวมากไปกว่านี้เลยหรือ
“เช่นนั้นแม่นางนั่งลงตรงนั้นเถิด” ท่านหมอเทวดากล่าวพลางชี้นิ้วไปที่หินก้อนใหญ่ที่สามารถนั่งได้
“เจ้าค่ะ” นางตอบรับพลางจะเดินไปที่โขดหิน แต่กลับถูกเขาโอบอุ้ม
“ให้พี่พาไป เจ้าต้องเจ็บมากถึงเพียงนี้ เป็นเพราะพี่ดูแลเจ้าไม่ดี” การกระทำของเขาทำให้ท่านหมอเทวดาเกือบจะอ้าปากค้าง ดวงตาของท่านหมอเบิกกว้างราวกับเพิ่งเคยพบเจอสิ่งแปลกประหลาดที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน
“ปล่อยข้าเถิดเจ้าค่ะ ข้าเดินเองได้” การถูกเข้าใจผิดว่าเป็นฮูหยินของบุรุษผู้นี้ ช่างเปลืองเนื้อเปลืองตัวยิ่งนัก
หรือแท้จริงเขาทำเช่นนี้กับฮูหยินของตนอยู่บ่อยครั้งจนเกิดเป็นความเคยชิน
“ฮูหยิน พี่รู้ว่าเจ้าโกรธพี่ แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงตัวเจ้าเอง เจ้าอย่าได้ดื้อรั้นได้หรือไม่” เขากล่าวหลังจากวางนางลงบนหินก้อนนั้น
“...” นางจนใจที่จะกล่าวอันใดออกมาอีก เหตุใดทางเลือกที่นางตั้งใจเลือกในครั้งนี้ถึงได้ชวนปวดหัวเช่นนี้
“ท่านหมอ ท่านควรรีบมาตรวจให้ฮูหยินข้า”
“นางปล่อยให้เจ็บมากเช่นนี้ หากข้าตรวจช้าไปเพียงครึ่งเค่อ ก็ใช้วิธีการรักษาไม่ต่างกันมากหรอก” ลู่จื้อกล่าวพลางทรุดตัวลงนั่งเพื่อตรวจข้อเท้านาง
ท่านหมอเทวดาตรวจเพียงไม่นานก็ใช้ยาทาและผ้าพันเอาไว้พร้อมกับสั่งให้นางลดการเดินเหินอย่างน้อยหนึ่งเดือน
นั่นหมายความว่านางควรกลับไปหาท่านตาท่านยายที่เมืองซานโจว
“มิต้องห่วงฮูหยิน เราจะเดินทางไปเมืองหลวงด้วยรถม้า เพียงเท่านี้เจ้าก็ไม่ต้องเดินเหินให้มาก”
...........................................
จะสงสารใครก่อนดี ลูกน้องหรือท่านหมอ
“เรื่องนั้นท่านอย่าได้ห่วงเลยเจ้าค่ะ พี่เหลียงอี้ เขาไปลาดตระเวนตรวจตราที่บริเวณจวนของนางอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นนางปลอดภัยไม่มีอันตรายแน่นอน” ‘สตรีโง่ ข้าอยากจะบอกเจ้าเหลือเกินว่า คู่หมั้นข้านางผู้นั้นมีของล้ำค่ามากกว่าปิ่นที่เจ้าจะซื้อให้อีก’ ยิ่งได้เห็นความใสซื่อของซูหนิงเซียน ความสนใจในตัวคู่หมั้นก็เริ่มลดลง หากไม่ติดที่ว่ามีบุญคุณช่วยชีวิตเขาก็คงไม่คิดสนใจไยดีแล้ว น่าแปลกที่เขาเชื่อวาจาที่ซูหนิงเซียนบอกกล่าวออกมามากกว่าที่ได้รับฟังจากหม่าลี่อิน “ข้าเลือกชิ้นนี้เจ้าค่ะ ลี่อินนางชอบไข่มุก ข้าว่านางต้องดีใจมากแน่นอนเจ้าค่ะที่ได้ปิ่นนี้” “อืม” รอยยิ้มจริงใจของคุณหนูซูทำให้เขาเอ่ยวาจาไม่ออก “คุณหนูซูท่านช่างโชคดีเหลือเกินขอรับ วันนี้นายท่านของร้านเราใจดี สั่งลดราคาเครื่องประดับให้กับลูกค้าคนที่สิบเก้า ซึ่งคือท่าน” “ลดราคาเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” “ใช่ขอรับ เพื่อเป็นการแสดงความยินดีที่ม้าตัวโปรดของนายท่านคลอดลูกม้า นายท่านสั่งลดราคาเครื่องประดับให้ลูกค้าคนที่สิบเก้าครึ่งราคา นั่นเท่ากับว่าวันนี้คุณหน
ดวงหน้าหวานที่โผล่ออกมาจากรถม้าทำให้ใจของเขาสั่นไหว เมื่อนางเผยรอยยิ้มเขาแทบจะกระโดดลงจากชั้นสองของโรงเตี๊ยมเพื่อไปหานาง “แม่นางหนิงเซียน” เสียงทุ้มของบุรุษที่ดังขึ้นดึงความสนใจของซูหนิงเซียนให้หันไปมอง “คารวะคุณชายซวนเจ้าค่ะ” ยามเห็นหน้ากากจึงจดจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคู่หมั้นของสหาย “ท่านมาคนเดียวหรือ” “เจ้าค่ะ วันนี้ข้าจะมาหาซื้อผ้าไปตัดชุดให้สาวใช้คนสนิท จึงตั้งใจมาด้วยตัวเองไม่ได้ชวนลี่อินมาด้วย” นางเข้าใจว่าเขาถามหาสตรีในดวงใจ “ข้ามีความรู้เรื่องผ้าไม่น้อย ให้ข้าช่วยเลือกดีหรือไม่ ไม่แน่เจ้าอาจจะได้ผ้าเนื้อดีที่ราคาถูก” “หากมิรบกวนคุณชายซวนเกินไป…” ซูหนิงเซียนยังกล่าวไม่ทันจบเขาก็รีบเอ่ยแทรกขึ้นก่อน “เรื่องนี้มิได้เหลือบ่ากว่าแรง จะถือว่ารบกวนข้าได้อย่างไร” “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” นางตอบรับแล้วยกยิ้มเล็กน้อย บุรุษสวมหน้ากากช่วยนางเลือกผ้าได้หลายพับ แต่เมื่อจ่ายเงินนางกลับพบว่านางได้ของดีแต่ราคาถูกอย่างเหลือเชื่อ “ท่านหลงจู๊ ลองคิดเงินใหม่อีกครั้งดีหรือไม่
ในกาลก่อนที่ข้ารักเจ้า บริเวณชั้นบนของโรงเตี๊ยมเลี่ยงจิน บุรุษสวมหน้ากากจ้องมองคู่หมั้นของตนที่กำลังเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน ดวงหน้าหวานแต่งแต้มรอยยิ้มสดใสพาลทำให้บุรุษรอบตัวต่างหันมามอง แต่เขากลับถูกสตรีนางหนึ่งดึงดูดสายตาให้จ้องมอง สตรีนางนั้นคล้ายจะเป็นสหายของคุณหนูหม่า แม้ดวงหน้านางจะแต่งแต้มรอยยิ้มบาง แต่ทว่ากลับดึงดูดเขาได้อย่างน่าประหลาด และดูเหมือนว่าแท้จริงบุรุษเหล่านั้นจะจ้องมองนางเสียมากกว่า พลันในอกรู้สึกไม่ชอบใจอย่างประหลาด ความรู้สึกหวงแหนก่อตัวขึ้นในใจของเขาอย่างไม่รู้ตัว เหตุใดกับคู่หมั้นตน เขาถึงไม่รู้สึกเช่นนี้ พรึ่บ ไวกว่าความคิดร่างสูงโปร่งของบุรุษรูปงามก็ปรากฏตัวด้านหลังสตรีทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยทักทาย “ลี่อินเจ้ามาเดินเที่ยวเล่นหรือ” เขาทราบว่ามันเป็นคำถามที่ดูโง่งม แต่เขาไม่รู้จะเอ่ยถามอันใดออกไป “คารวะคุณชายซวนเจ๋อเจ้าค่ะ” สายตาที่มีประกายรังเกียจพาดผ่านทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่คู่หมั้นจะแสดงความเคารพเขา หลายครั้งที่นางมองเขาเช่นนี้ คงเพราะหวาดกลัวหน้ากากที่ปกปิดบนใบหน้าเขา การเป
“คนของเจ้าสืบได้ละเอียดถึงเพียงนั้น” หมิงอี้เฉินหรี่ตามองอย่างจับผิด “เรื่องที่คิดกำจัดนางกับท่านพ่อตา คนของข้าได้ยินหม่าลี่อินวาดฝันกับกวางเหลียงอี้ เมื่อเห็นว่าเป็นภัยต่อนาง คนของข้าจึงนำมารายงานข้าด้วย” “...” “เบื้องต้นข้ามีหลักฐานที่กลุ่มนักเลงพวกนั้นสารภาพ เจ้าอยากดูหรือไม่” “อืม” เขายกชามสุราขึ้นจิบก่อนจะตอบรับ “นี่คือจดหมายรับสารภาพของนักเลงที่ดักปล้นรถม้าแต่ถูกข้าซ้อนแผนจับเป็นทั้งหมด ก่อนจะนำมาทรมานเพื่อเค้นความจริง” หยางซีซวนยื่นจดหมายที่เพิ่งนำออกมาจากอกเสื้อให้เขา “หม่าลี่อินชั่วช้ายิ่งนัก คิดจะให้พวกนักเลงข่มเหงนาง” จากคำสารภาพของนักเลง กวางเหลียงอี้เพียงแต่ตั้งใจทำให้นางตกใจ แต่หม่าลี่อินกลับซ้อนแผนให้นักเลงพวกนั้นข่มเหงนางก่อนที่กวางเหลียงอี้จะไปช่วย คงกลัวว่าหากเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ของตนได้พบเจอนางจะเปลี่ยนใจ จึงสร้างมลทินให้ซูหนิงเซียน “เพราะเหตุนี้ข้าจึงแสร้งสติฟั่นเฟือนเพื่อจะได้อยู่ในจวนตระกูลซูต่อไป เพื่อจะได้ปกป้องนางและบิดาด้วยตนเอง” “เรื่องนี้เจ้าสามารถใช้ผ
คุณชายหมิงอี้เฉิน เมื่อได้รับข่าวว่าสหายในวัยเด็กเดินทางกลับมาจากเมืองซานโจวแล้ว เขาจึงรีบไปหา แต่ใครจะคิดเล่าว่าการพบเจอครั้งนี้จะพ่วงบุรุษผู้นั้นมาด้วย ชายที่มองอย่างไรก็ไม่คล้ายคนสติฟั่นเฟือน ท่าทางออดอ้อนนั้นแลดูเหมือนบุรุษเจ้ามารยาเสียมากกว่า คุณชายหมิงเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืน แล้วยืนนิ่งราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง “คุณชายขอรับ นี่ก็เป็นปลายยามไฮ่ (21.00-22.59) แล้ว น้ำค้างก็ลงมากแล้วอย่างไร...” บ่าวรับใช้คนสนิทยังกล่าวไม่ทันจบ คุณชายเจ้าของจวนก็เอ่ยวาจาแทรกขึ้นก่อน “เจ้าไปนอนก่อนเถิด ข้าจะยืนชมดาวอีกสักหน่อยก็จะไปนอนแล้ว” “ขอรับ” เมื่อคุณชายกล่าวเช่นนั้น บ่าวรับใช้คนสนิทก็ได้แต่เดินจากไป พรึ่บ บุรุษชุดดำกระโดดลงมาตรงหน้าเขาหลังจากบ่าวรับใช้เดินหายไปไม่นาน “มาแล้วหรือ” คุณชายหมิงเอ่ยวาจาทักทายผู้มาเยือน “เจ้าอยากพบข้าด้วยเหตุใด” หากบุรุษผู้นี้ไม่ค้นพบการมีตัวตนของผู้ติดตาม เขาก็คงคิดว่า ซือเย่ผู้นี้เป็นเพียงบัณฑิตอ่อนปวกเปียกที่ไม่กล้าฆ่าแม้แต่ไก่ “ท่านควรแจ้งถึงจุดประสงค์ในก
“พี่ไม่ได้รังแกเจ้า พี่มอบความโปรดปรานให้เจ้า” “หน้าอกท่านแน่นเสียจริง” “หากเจ้าอยากลูบไล้ยามไร้อาภรณ์ ก็จงรีบกลับจวนกับพี่” “ไม่เอา ข้ายังไม่อยากกลับ กว่าจะได้ออกมาเที่ยวเช่นนี้ไม่ง่ายเลย ต้องขอบคุณท่านแม่นะเจ้าคะ ที่เมตตาข้า” “มิเป็นไรๆ เจ้าอยู่สนุกกับเหล่าชายงามต่อเถิด แม่ต้องกลับไปรับโทษ...ไม่ใช่ แม่ต้องรีบกลับแล้ว” กล่าวจบหยางฮูหยินก็หันไปมองใบหน้าบึ้งตึงของสามี ‘ครั้งนี้นางคงหยอกเย้าบุตรชายมากเกินไป จึงทำให้ฟูจวิน ของนางโกรธขึ้นมาจริงๆ’ ต่อจากนี้คงต้องทนปวดเอวเพื่อง้อท่านแม่ทัพใหญ่หลายคืนอีกแล้ว “ได้เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะสนุกกับพี่ชายคนงามแทนท่านแม่เองเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินโซซัดโซเซไปหากลุ่มชายงาม แต่กลับโดนสามีโอบรั้งเอวคอดกิ่วเอาไว้ “พี่ชายคนงามพวกนี้ อยากกลับไปพักผ่อนแล้ว เจ้าอย่าได้รบกวนพวกเขาเลย” น้ำเสียงที่เอ่ยกับฮูหยินตนช่างอ่อนโยนยิ่งนัก ต่างจากสายตาที่จ้องมองคล้ายจะเข้าขย้ำเหยื่อตรงหน้าของราชสีห์ “จริงหรือเจ้าคะพี่ชาย” “จริงขอรับ”