“หยุดนะ ทุบตีเด็กเช่นนี้ได้อย่างไร อยากถูกจับส่งทางการหรือ” หมิงยู่ ลี่อิน และเยว่ชิงรีบวิ่งเข้าไปห้ามปราม เห็นผู้คนกำลังเดือดร้อน จะให้นิ่งเฉยคงมิใช่บุตรสกุลลู่แล้ว
“พวกเจ้าไม่เกี่ยว หลีกไป เด็กคนนี้มันขโมยเงินข้า ข้าจะให้มันรู้สำนึกเสียบ้าง” ชายวัยกลางคนผู้นี้แม้จะแต่งกายดูดี แต่กลับมีสีหน้าและแววตาเจ้าเล่ห์ ผิดกับเด็กหนุ่มที่ดูมีแววตาที่แน่วแน่และซื่อตรง
“ข้ามิได้ขโมย เงินนี่เป็นค่าแรงที่ข้ามาช่วยท่านขนของเข้าร้าน แต่พอข้าทำงานเสร็จ ท่านกลับมิยอมให้ข้า” เด็กหนุ่มเถียงคอเป็นเอ็น น้ำสีใสร่วงหล่นออกมาจากตาเป็นสาย เยว่ชิงเห็นท่าทีมิยอมอ่อนของชายผู้นั้นนางจึงได้รีบตัดปัญหา
“เพียงแค่คืนเงินให้ ท่านก็จะไม่ทำร้ายเขาใช่หรือไม่”
“ใช่”
“นี่ ข้าไม่คืนนะ! เงินนี้สำคัญกับข้ามาก” เด็กหนุ่มตะโกนออกมาเสียงแข็ง
“เท่าใด เงินที่เจ้าถืออยู่นั้นมีเท่าใด” เยว่ชิงเอ่ยถาม
“ห้าสิบอีแปะ”
“เช่นนั้นเงินห้าสิบอีแปะนี่ข้าจะคืนให้ท่าน แต่…ข้าขอตีท่านคืนได้หรือไม่ ท่านจะได้รับรู้ว่าผู้ที่ถูกตีเขาเจ็บเพียงใด” เยว่ชิงยื่นเงินห้าสิบอีแปะให้ชายผู้นั้น ซึ่งเขาก็รับไปอย่างรวดเร็ว
“หากเป็นเจ้าที่ตี ข้าจะให้เจ้าตีข้าสักสิบทีเลยเป็นอย่างไร ฮ่าๆ” ชายวัยกลางคนหัวเราะร่า เด็กตัวเท่านี้จะเอาแรงจากที่ใดมาทุบตีเขา ต่อให้ตีถึงร้อยทีก็คงจะรู้สึกคันๆ เท่านั้น
“เยว่ชิง จะดีหรือ” ลี่อินและหมิงยู่ต่างหน้าซีดเป็นไก่ต้ม
“มิเป็นไร พี่รองกับพี่สามไปช่วยเด็กคนนั้นก่อนเถิด ดูเหมือนว่าเขาจะเจ็บมากเลยทีเดียว” ได้ยินคำน้องสาวแล้ว ทั้งหมิงยู่และลี่อินจึงรีบไปพยุงเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้น
“นี่ไม้ เจ้าตีมาเลย ที่ใดก็ได้” ชายผู้นั้นยื่นไม้ให้เยว่ชิง
“ทุกท่านที่เห็นเหตุการณ์ในครานี้ ช่วยเป็นพยานว่าชายผู้นี้จะให้ข้าตีเขาสิบครั้ง ข้ามิได้มีเจตนาทำร้ายผู้ใหญ่ เพียงแต่ต้องการให้ชายผู้นี้รับรู้ถึงความเจ็บที่ถูกตีบ้างเท่านั้นเจ้าค่ะ” เยว่ชิงเอ่ยขึ้นเสียงดัง พลางเหวี่ยงไม้ฟาดลงไปที่ขาของชายผู้นั้นอย่างแรง
ผลัวะ! เสียงไม้กระทบเนื้อดังลั่น จนหมิงยู่ ลี่อิน และผู้คนแถวนั้นถึงกับหน้าซีด ขนาดเสียงยังดังถึงเพียงนี้ มิอยากจะคิดว่าคนถูกตีจะเจ็บมากเพียงใด
“โอ๊ย!! ขาข้า! ขาข้าหักเสียแล้วกระมัง เจ้าเด็กบ้า” ชายหนุ่มผู้นั้นโวยวายเสียงดัง
“เหลืออีกเก้าครั้ง มิไหวแล้วหรือ” เยว่ชิงฟาดไม้เข้าที่เดิมซ้ำกันถึงสามรอบ จนชายผู้นั้นถึงกับคุกเข่าขอร้องเยว่ชิงหยุดเพียงเท่านั้น เยว่ชิงจึงได้ทิ้งไม้แล้วเดินมาช่วยพี่ชายพยุงเด็กหนุ่มกลับไปที่ร้านซิ่งฟู่
“สะใจข้ายิ่งนัก ยามถูกเยว่ชิงตีรอบที่สามชายผู้นั้นถึงกับต้องร้องขอชีวิต ฮ่าๆ” หมิงยู่เอ่ยเล่าเหตุการณ์ให้ท่านแม่และท่านพ่อที่พึ่งกลับมาจากทำงานฟัง หมิงยู่รู้ดีกว่าผู้ใดว่าแรงของเยว่ชิงนั้นมีมากเพียงใด หากใช้ดาบยิ่งแล้วใหญ่ เพราะนางเคยฝึกดาบจนต้นกล้วยหลังเรือนที่ปลูกไว้หักโค่นไปหลายต้น
“คราหน้าอย่าได้ใจร้อนเช่นนี้เข้าใจหรือไม่ หากพบพวกนักเลงที่มีกำลังวังชา อาจเกิดอันตรายกับพวกเจ้าได้ ส่วนเรื่องช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก พวกเจ้าทำได้ดีแล้ว พ่อชื่นชม” แม้ลู่หวังเหล่ยจะเห็นด้วยกับการเข้าไปช่วยเหลือผู้อื่น แต่เขาก็อดที่จะเอ่ยเตือนบุตรไม่ได้
“ขอรับ” / “เจ้าค่ะ”
“ข้ามีนามว่าลู่หวังเหล่ยเป็นขุนนางขั้นห้า นี่เป็นภรรยาและบุตรของข้า ว่าแต่เจ้าเป็นผู้ใด แล้วมีเรื่องเดือดร้อนอันใด”
“เอ่อ ข้าน้อยนามว่าเผิงจงขอรับ อาศัยอยู่ท้ายตลาดกับมารดาและน้องสาว ตอนนี้มารดาของข้าป่วยจึงต้องหาเงินทองมาซื้อยาขอรับ”
“แล้วบิดาของเจ้าเล่า”
“ท่านพ่อ…อึก ท่านพ่อของข้าหายตัวไปขอรับ เดิมทีท่านพ่อเป็นบ่าวในเรือนสกุลหม่า แต่ไม่นานมานี้ท่านพ่อพาพวกข้าย้ายมาอยู่ที่นี่จากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีก” เผิงจงตัดสินใจเล่าเรื่องราวของตนเองให้ผู้ที่ช่วยเหลือฟัง เพราะดูแล้วคนที่ช่วยเหลือเขาดูท่าทางใจดี คงจะไว้ใจได้กระมัง
ด้านเยว่ชิงที่ได้ยินคำพูดของเผิงจงก็รู้สึกตะขิดตะขวางใจไม่น้อย นางพยายามเค้นความจำเกี่ยวกับนิยายเรื่องชะตาร้ายที่นางเคยอ่าน
สกุลหม่างั้นหรือ สกุลหม่า…สกุลหม่า จริงสิ! สกุลหม่าเป็นพวกเดียวกับสกุลอู๋ คอยเก็บกวาดหลักฐานความผิดทุกอย่างของฝ่ายเสนาบดีอู๋ ทั้งยังเป็นผู้ร่วมลงมือใส่ร้ายบิดาของนางว่าลักขโมยของในพระคลังหลวง
“ท่านพ่อ เยว่ชิงว่าเรารับครอบครัวของเผิงจงมาทำงานที่ร้านดีหรือไม่เจ้าคะ”