เช้าวันรุ่งขึ้น หลูมู่หยานเดินทางไปที่สมาคมทหารรับจ้างก่อนเวลาเปิด ในเวลานั้นเย่ชิงหานและคนอื่น ๆ มาถึงกันแล้ว
“วันนี้แม่นางหลูตรงเวลาดีนะ” เย่ชิงหานเอ่ย พร้อมยกยิ้มที่มุมปาก ขณะมองไปที่หญิงสาวชุดสีม่วงที่เพิ่งมาถึง
หลูมู่หยานเดินเข้ามา ยักไหล่และเอ่ยว่า “ข้าเกรงว่าท่านจะไม่รอ หากข้าสาย”
“เจ้าคือหมอของเรา แม้ว่าเจ้าจะไม่รอคนอื่น แต่คนอื่นก็ยังรอเจ้าอยู่ดี” เย่ชิงหาน ยิ้ม
ทั้งสองคุยกันอีกสองสามคำ ตอนนี้ทีมก็พร้อมเดินทางแล้ว พวกเขาขี่มอนสเตอร์ระดับหนึ่งบนหลังม้า เพื่อลดระยะเวลาในการเดินทาง
เย่ชิงหานและพรรคพวกของเขามีทั้งหมดหกคน ยกเว้นเย่ชิงหาน ส่วนหลูมู่หยานรู้จักเพียงลู่เหล่าเท่านั้น เขายังคงติดตามหญิงสาวรูปงามและชายหนุ่มสามคน รวมไปถึงชายหนุ่มอีกสองคนที่ดูเหมือนทหารรับจ้าง
ทวีปที่หลูมู่หยานอยู่เรียกว่า ‘เทียนหลิง’ ประกอบไปด้วยสี่แคว้นทางตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ และแคว้นเล็ก ๆ อีกนับไม่ถ้วน โดยในแต่ละแคว้นก็จะมีประเทศน้อยใหญ่ตั้งอยู่ในนั้น ซึ่งโจวเหยียนนับเป็นอีกประเทศที่มีความแข็งแกร่งน้อยที่สุดในแถบภาคตะวันออก และหนึ่งในสิบสถานที่ที่อันตรายที่สุดของเทียนหลิงอยู่ในอณาเขตของโจวเหยียน นั่นก็คือเทือกเขาแห่งเพลิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังนั่นเอง
ทัพที่นำโดยเย่ชิงหานใช้เวลาห้าวันจากการขี่ม้าออกจากเมืองหลวงไปยังเทือกเขาจีฮั่ว ในช่วงนั้นหลูมู่หยานและคนอื่น ๆ ใช้เวลาพักอยู่ในโรงเตี๊ยมเพียงแค่สองคืนเท่านั้น อีกสามวันหลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดต้องพำนักอยู่กลางแจ้ง
เทือกเขาแห่งเพลิงเต็มไปด้วยทรัพยากรที่ใช้ในการฝึกตน แม้ว่าจะเป็นหนึ่งในสิบสถานที่ที่อันตรายที่สุด แต่ก็มีเหล่าทหารรับจ้างหรือนักดาบจำนวนมากที่เดินทางมาเช่นกัน โดยในทั่วไปแล้วตราบใดที่ไม่ได้เดินเข้าไปลึกมากนักก็จะไม่ได้อันตรายจนเกินไป
เมื่อมองไปยังเทือกเขาสีแดงเพลิงที่อยู่ไม่ไกล พวกเขารู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนที่แผ่กระจายออกมากระทบกับใบหน้า หลูมู่หยานดึงเชือกบังคับม้าที่นางกำลังขี่อยู่ให้ไปตามลมเมื่อเริ่มเข้าใกล้จุดมุ่งหมาย
“เทือกเขาแห่งเพลิงอยู่ที่นี่” เย่ชิงหาน กล่าวด้วยรอยยิ้มขณะมองออกไป
เป็นเพราะหลูมู่หยานเร่งรีบตลอดการเดินทาง ทำให้พลังวิญญาณของนางเริ่มหมดลงเพราะไม่ได้ดูแลร่างกายมาอย่างดี นางจึงรีบพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกายทันที ทำให้ไม่มีเวลาในการพูดคุยกับเย่ชิงหานมากนัก
“เจ้ามาที่นี่เพื่อจับสัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณหรือ?” หลูมู่หยานเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ
นอกจากนี้แล้วยังมีปรมาจารย์ด้านอสูรวิญญาณในโลกนี้ ที่แข็งแกร่งกว่าปรมาจารย์ดาบทั่วไปหลายเท่า สามารถทำเครื่องหมายลงในคลับข้อมูลของสัตว์ร้ายได้โดยตรง จากนั้นจึงทำสัญลักษณ์เป็นสัตว์เลี้ยงแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งเมื่อเปลี่ยนแล้วสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นจะไม่สามารถทรยศผู้เป็นนายได้ และยังสามารถช่วยเหลือผู้เป็นนายในการต่อสู้ได้ สุดท้ายยังใช้มันเพื่อเลื่อนระดับขั้นได้อีกด้วย
เย่ชิงหานไม่ได้ปิดบังอะไร เขาพยักหน้ารับและพูดว่า “น้องสาวของข้ากำลังจะอายุครบสิบห้าปีในไม่ช้า ข้าต้องการจับสัตว์ประหลาดระดับที่สาม เพื่อมอบให้เป็นสัตว์เลี้ยงแห่งจิตวิญญาณของนาง”
“ทำไมท่านไม่พานางมาที่นี่?” หลูมู่หยานขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามออกไป
“สุขภาพของนางไม่ค่อยดีนัก ข้าเลยต้องทำด้วยตัวข้าเอง” ดวงตาของเย่ชิงหานดูอ่อนโยนลงมากเมื่อเอ่ยถึงน้องสาวของเขา และในตอนนั้นเขาหันหน้าไปทางหลูมู่หยานพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า “แม่นางหลู ในฐานะที่เจ้าเชี่ยวชาญเรื่องการรักษา เจ้าสามารถรักษาทารกที่ครรภ์เป็นพิษได้หรือไม่?”
“ครรภ์เป็นพิษ? น้องสาวของท่านสุขภาพไม่ดีเพราะนางเกิดมาพร้อมกับพิษของทารกในครรภ์?” หลูมู่หยานถาม
เย่ชิงหานถอนหายใจ เขาพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ นางติดเชื้อพิษในครรภ์จากแม่ของนาง หมอหลายคนบอกว่านางจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงยี่สิบปี”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ข้าเองก็พูดได้ยาก พิษของทารกในครรภ์รักษาได้ยาก อาจจะต้องพบกับนางก่อนเพื่อตัดสินใจ” หลูมู่หยานยังคงมั่นใจในทักษะการรักษาของนาง หากนางสามารถสร้างฐานได้ นางก็จะสามารถใช้พลังวิญญาณและยาในร่างกาย ซึ่งการรักษาครรภ์เป็นพิษชนิดนั้นไม่ได้ยากเท่าไหร่
ดวงตาของเย่ชิงหานเริ่มเป็นประกาย หวังว่ามันจะเป็นการตัดสินที่ดีกว่าที่จะไม่รักษา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “หญิงที่อยู่บนชั้นนั้นสามารถไปหาหมอมารักษาน้องสาวข้าได้หรือไม่? ส่วนเรื่องค่าตอบแทนไม่ใช่ปัญหา”
“ต้องขออภัยท่าน ช่วงนี้ข้าไม่มีเวลามาก เดี๋ยวข้าจะใช้เวลาหลังจบการแข่งขันประจำปีของสถาบันจักรพรรดิดูให้อีกครั้ง” จุดประสงค์ของหลูมู่หยานในตอนนี้คือการปรับสภาพไขกระดูก ส่วนน้องสาวของเย่ชิงหานก็ล้มป่วยมาหลายปีแล้ว และการที่นางไม่มีพลังวิญญาณในร่างกายการรักษาก็จะไม่ได้ผลมากนัก
“เอาล่ะ ข้าคงต้องรบกวนแม่นางเสียหน่อย” เย่ชิงหานรับรู้เกี่ยวกับอาการของน้องสาวเขาทุกอย่าง แม้ว่านางจะอ่อนแอแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถรักษาให้หายได้ภายในหนึ่งหรือสองวัน
มีผู้คนจำนวนหนึ่งที่เดินมาด้วยกัน ใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงทางเข้าของเทือกเขา แต่ก็มีไม่มากนักที่จะเข้าไปในนั้น
“มีคนต้องการซื้อแผนที่ของเทือกเขา?” ชายหนุ่มคนหนึ่งในซิงยี่สังเกตเห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งสวมใส่ชุดที่ไม่ธรรมดา พร้อมกับส่งรอยยิ้มขณะเร่ขายของที่บ้างก็ยังพอมีประโยชน์
“แผนที่ของเทือกเขาแห่งเพลิงงั้นหรือ?” เย่ชิงหานยิ้มอย่างไม่เชื่อสายตา เพราะแม้แต่พื้นที่แหล่งกักเก็บพลังงานของนักดาบผู้ยิ่งใหญ่ที่ตั้งอยู่ตอนกลางของเทือกเขาก็ยังไม่มีผู้ใดเข้าไปได้ง่าย ๆ ชายเหล่านั้นมีแผนที่ได้อย่างไร?
ราวกับรู้ว่าเย่ชิงหานคิดอย่างไร เด็กหนุ่มในซิงยี่ยิ้มและเอ่ยขึ้นว่า “ไม่มีแผนที่สำหรับเทือกเขาจีฮั่วทั้งหมด แต่พวกข้ามีแผนที่รอบนอกทั้งหมด แผนที่พวกนี้เป็นข้อมูลที่พวกทหารรับจ้างนำมาแจ้งแก่นายของพวกข้าเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว และจะออกแค่เพียงบางช่วงเวลาเท่านั้น รวมถึงไม่อนุญาตให้มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง”
“เท่าไหร่หรือ?” หลูมู่หยานเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นแววตาที่บริสุทธิ์ของเด็กหนุ่มผู้นั้นที่ดูแล้วไม่น่าใช่คนพูดโป้ปด
“หนึ่งร้อยเหรียญทอง” เด็กชายเสนอราคา
ณ ทวีปอัคคีแดง มีสามสกุลเงิน ได้แก่ เหรียญทอง เหรียญทองหมึก และเหรียญทองม่วง สำหรับมูลค่าในการแลกเปลี่ยนคือหนึ่งถึงหนึ่งร้อย เช่น หนึ่งเหรียญทองหมึกจะเท่ากับหนึ่งร้อยเหรียญทอง และหนึ่งเหรียญทองม่วงจะเท่ากับหนึ่งร้อยเหรียญทองหมึก
“ราคาค่อนข้างสูงเลยทีเดียว” ชายหนุ่มหน้าละอ่อนที่ยืนอยู่ข้างเย่ชิงหานเอ่ยขึ้น
ชายหนุ่มในซิงยี่ยิ้มพร้อมกับส่ายหัวและตอบหลับไปว่า “ราคานี้แหละ แผนที่นี้ไม่ใช่แผนที่ที่เขียนขึ้นปลอม ๆ พวกข้าขายมันมามากกว่าหนึ่งปีแล้ว ถ้าท่านไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อ ไว้ค่อยกลับมาใหม่ก็ได้เมื่อได้รับอนุญาต”
“มีบันทึกถึงหญ้าแห่งจิตวิญญาณ และปีศาจในเทือกเขาหรือไม่?” หลูมู่หยานเอ่ยถามอยากสนใจ
“มีในรอบนอก และยังมีบันทึกที่วงรอบนอกและจุดตัดขอบ แต่ราคาจะแพงกว่า แต่ข้ารับประกันเรื่องความแม่นยำ” ชายหนุ่มจากซิงยี่เอ่ยด้วยใบหน้าที่ภาคภูมิใจ นี่คือสิ่งที่ได้จากการตกผลึกมาเป็นเวลากว่าสิบปี
หลูมู่หยานแสดงความสนใจผ่านดวงตา พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า “ตำแหน่งที่เติบโตของหญ้าจิตวิญญาณ และบริเวณการเคลื่อนไหวของปีศาจถูกต้องหรือไม่?”
“บันทึกเล่มนี้เป็นเพียงการบันทึกตำแหน่งโดยคาดการณ์ ไม่สามารถระบุเฉพาะได้ เจ้าสามารถดูได้เพียงตำแหน่งเท่านั้น ไม่สามารถดูระยะของหญ้าวิญญาณหรือปีศาจอสูรได้ เพราะในเขตวงแหวนรอบนอกจะมีทหารรับจ้างสักกี่นายกันที่จะเข้าไป” เด็กหนุ่มผู้นั้นตัดสินใจพูดความจริงกับหลูมู่หยาน หลังจากใช้เวลาขบคิดชั่วครู่
“งั้นข้าขอสำเนาบันทึกนั่น ทั้งหมดเท่าไหร่?” หลูมู่หยานไม่คุ้นชินกับเทือกเขาเพลิงอัคคี แม้นางจะติดตามเย่ชิงหานและคนอื่น ๆ อยู่แล้ว แต่ถ้ามีทางหนีทีไล่ก็อาจจะป้องกันอันตรายและการสูญเสียได้
เมื่อเห็นหญิงสาวรูปงามในชุดสีม่วงบนหลังม้า เด็กชายในซิงยี่ก็ระบายยิ้มออกมาอย่างเปิดเผย พร้อมกับหยิบบันทึกจำนวนสี่เล่มออกจากกระเป๋าผ้า
“บันทึกหญ้าแห่งจิตวิญญาณ สามร้อยเหรียญทองรวมทั้งหมด ห้าร้อยเหรียญทอง”
คลังเล็ก ๆ ของหลูมู่หยานยังคงมั่งคั่ง รวมไปถึงยังมีแหวนที่หลูมู่ไป๋มอบให้ช่วงที่ตื่นนอน ทำให้นางไม่ได้แยแสกับเงินจำนวนห้าร้อยเหรียญมากนัก
หลูมู่หยานมอบเงินให้กับชายหนุ่มคนนั้นตามที่ได้ตกลง
“เจ้าพร้อมแล้ว” ชายหนุ่มยื่นบันทึกให้แก่หลูมู่หยานจำนวนสี่เล่ม พร้อมกับเอ่ยเตือนด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นาง อย่าออกไปภายนอกล่ะ มันอันตรายเกินไป”
“เข้าใจแล้ว ข้าขอบคุณมาก” หลูมู่หยานพยักหน้ารับ ความประทับใจแรกที่มีต่อเด็กหนุ่มซิงยี่ มันค่อนข้างดีเลยทีเดียว
“ไปกันเถอะ” หลังจากที่การซื้อขายเป็นไปอย่างเรียบร้อย หลูมู่หยานก็เอ่ยบอกให้ทัพที่นางติดตามมาด้วยเคลื่อนตัวไปยังจุดมุ่งหมาย ตามจริง เย่ชิงหานมีข้อมูลเกี่ยวกับเทือกเขาแห่งเพลิงอัคคีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ห้ามหรือหยุดหลูมู่หยาน เขาพยักหน้ารับพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะพาทัพของตนเข้าไปยังเทือกเขา
หมิงซิ่วไม่ได้สนใจคนรอบข้างที่ลอบมองเขา หากแต่ดวงตาฟีนิกซ์ที่ยาวเรียวภายใต้หน้ากากทำให้หลูมู่หยานมองลึกลงไป แต่เพียงเสี้ยววินาทีมันก็หายวับอย่างรวดเร็วจนคนอื่นไม่สามารถสังเกตได้ทัน เขาหยุดพูด ก่อนจะหายตัวไปเหล่าเย่ที่รอให้หมิงซิ่วจากไป ค่อย ๆ เดินมาหาหลูมู่หยานด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน “แม่นางไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” “ขอบคุณท่านเหล่าเย่ที่เป็นห่วงข้า แต่ข้าไม่เป็นไร” หลูมู่หยานยิ้มตอบ พร้อมกับส่ายหัวไปมา หลูมู่หยานรู้สึกถึงแรงสั่นที่มาจากอสูรน้อยในมือของนางที่เริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาของนางกลับนิ่งเรียบ ก่อนจะเอ่ยกับเหล่าเย่ทั้งที่ยังยิ้มว่า “เหล่าเย่ ข้าคงต้องไปก่อน ข้ามีอะไรต้องทำต่อ” “ตกลง เจ้าทำเถิด” เหล่าเย่สังเกตเห็นอสูรร้ายตัวเล็กในมือของนางอยู่ในสภาพที่ไม่ดีนัก เขาจึงค่อย ๆ พรูลมหายใจออกมาด้วยความเสียดาย หลูมู่หยานพยักหน้า จากนั้นจึงหยิบนกหวีดที่คล้องคอไว้ขึ้นเป่า ใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ ม้าอาชาตัวสีขาวสว่างก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทุกคน นางกล่าวลาหยุนหลัน และคนอื่น ๆ ก่อนจะขึ้นไปที่หลังม้าพร้อมกับอสูรกลืนกินวิญญาณ และออกจากหอการค้าหมิงเหมิงเพื่อมุ่งหน้ากลับไปที่บ้าน ใบหน้
ทันใดนั้นก็มีพลังที่นุ่มนวลจำนวนหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้า ห่อหุ้มไปด้วยก้อนกรวดที่ถูกรัศมีดาบของชายชราในชุดดำบดขยี้ ก่อนจะรวมตัวกันอีกครั้งทีละชิ้น แค่เพียงครู่เดียวรอยแตกที่พื้นบลูสโตนใต้ดินก็เริ่มสมาน และกลับคืนสู่สภาพเดิม“แม่นาง เจ้าเป็นหนี้บุญคุณต่อเทพอีกแล้ว” เสียงของบุรุษที่ฟังแล้วเหมือนจะมีความเป็นผู้ใหญ่ดังแว่วผ่านโสตประสาทของหลูมู่หยานราวกับสายลม ความเฉยเมยระหว่างคิ้วและดวงตาของหลูมู่หยานเริ่มถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม แท้จริงแล้วมือนั้นเป็นฝ่ามือของบุรุษผู้มากไปด้วยเสน่ห์ … หมิงซิ่ว! เมื่อมองไปยังฝ่ามือใหญ่ที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิง นางรู้ได้ทันทีว่านี่เป็นคลื่นของการทำสมาธิ และความรู้สึกไว้วางใจก็เกิดขึ้นในใจของนางอย่างอธิบายไม่ได้ หลูมู่หยานหันกลับมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบุรุษผู้กล้าหาญรูปร่างสูงโปร่ง และสวมหน้ากากสีเงินที่กำลังเดินเหมือนกับอยู่ที่บ้านตัวเอง ชุดสีแดงของเขาพริ้วไหวไปตามสายลม และพลังที่แผ่กระจายออกมารอบตัวของเขาก็เผยให้เห็นโดยธรรมชาติ และเมื่อเทียบกับบุรุษทุกคนที่อยู่ตรงนั้น คนอื่น ๆ เปรียบเสมือนเป็นเกราะป้องกันของเขา เหมือนกับหิ่งห้อยที่ไม่สามารถเทียบกับเฮาเยว่ได้
ชายชราชุดดำก้าวไปด้านหน้าสองก้าว ก่อนจะยกฮั่วหยุนเตียวจากพื้นด้วยมือของเขา พร้อมกับแสยะรอยยิ้มแปลก ๆ ออกมา เขายังคงท่องคาถายอมจำนนอสูรร้ายอย่างเงียบ ๆ ในปากและหลังจากท่องเสร็จเขาก็ใช้ดาบลมของหยุนลี่กรีดไปที่นิ้วชี้ และหยดเลือดสีแดงลงที่ขนของเสี่ยวซูหลูมู่หยานคลี่ยิ้มเบา ๆ กอดอก พร้อมกับมองไปที่ชายชราที่กำลังทำการแสดงด้วยท่าทีเย้ยหยันชายชราผู้นี้ยังคงต้องการที่จะปราบอสูรร้ายกลืนกินวิญญาณด้วยวิธีนี้ ช่างเป็นความฝันที่เพ้อเจ้อเสียจริงหลังจากนั้นไม่นาน ชายชราก็พบว่าเลือดที่เขาหยดไปนั้น ไม่สามารถเข้ากับร่างกายของอสูรกลืนกินวิญญาณได้ เขาตกใจ และสายตาของเขาก็เริ่มนิ่ง ก่อนจะหยิบเครื่องรางสีแดงออกมาจากแหวนจักรวาล โดยที่ปากยังคงพึมพำท่องคาถาอย่างเงียบ ๆ และแตะเครื่องรางสีแดงด้วยมือของเขา ก่อนที่มันจะตกใส่ร่างของอสูรร้ายจากนั้นชายชราก็ได้สร้างผนึกที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งขึ้นในอากาศ พร้อมกับบังคับให้เข้าสู่ก้องสำนึกของสัตว์ร้าย จากนั้นก็ได้หยดเลือดลงบนหน้าผากของมันอีกสองสามหยด ดวงตาของมันประกายแสงราวกับมีดาวนับล้าน และนี่คือสัญญาณนักฆ่าในฐานะปรมจารย์อสูรวิญญาณ เขาไม่เชื่อว่าเขาจะยังสามารถจั
หลังจากที่หลูมู่หยานเสร็จสิ้นกับการพูดคุยกับเหล่าเย่ นางก็รีบไปพบหยุนหลันทันที และเมื่อนางออกจากประตูของหอการค้า นางสังเกตเห็นบุรุษวัยกลางคนร่างกายกำยำ และชายชราในชุดสีดำผอมแห้งหยุดอยู่ตรงหน้าหยุนหลัน ก่อนที่นางจะเกิดคำถามขึ้นในใจว่าสองคนนี้เป็นใคร?“มู่หยาน ข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่คฤหาสน์นายพล” หยุนหลันพูด ก่อนจะเดินมาหาหลูมู่หยานที่ยืนอยู่ย้อนหลับไปเมื่อครู่ ราชาแห่งเจิ้นซีได้เอ่ยถามพวกเขาถึงผู้ที่ครอบครองฮั่วหยุนเตียว พวกเขาจึงพยายามบ่ายเบี่ยงเพื่อเก็บมันไว้เป็นความลับ ทว่ากู่ยันรันกลับพูดออกไปเสียหมด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเขาจึงต้องไปส่งหลูมู่หยานที่คฤหาสน์นายพล“ตกลง” หลูมู่หยานยิ้ม และพยักหน้าแม้ว่าหลูมู่หยานจะตกลงออกไปแบบนั้น แต่นางสัมผัสได้ว่าการที่นางจะเดินทางกลับนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ๆ “ทำไมต้องกังวลขนาดนั้นด้วยเล่า” หวังเจิ้นซีเอ่ย ก่อนจะยื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อหยุดหยุนหลันเอาไว้ เขาจะปล่อยให้คน ๆ นั้นออกไปได้อย่างไรหวังเจิ้นซีมองไปยังหลูมู่หยานที่สวมใส่ชุดสีม่วง ผมยาวม้วนขึ้นเป็นมวยแบบธรรมชาติ ดวงตานิ่งเรียบ ประกอบกับใบหน้าที่สวยงามน่าเย้ายวนแม้ว่าอายุยังน้อยหลูมู่ห
ราคาของการประมูลของซีซุยตันทำให้คนที่อยู่ในห้องประมูลส่วนตัวหมายเลขเก้าต้องตกใจ สายตาที่เต็มไปด้วยความริษยาจับจ้องไปทางหลูมู่หยานแทบจะเป็นสายตาเดียว เพราะตอนนี้นางจะกลายเป็นสตรีผู้ร่ำรวย ต่อให้พวกเขากลับบ้านไปได้ช่วงหนึ่ง ก็ไม่สามารถหาเหรียญทองคำจำนวนมหาศาลนี้ได้หยุนจินเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ดูเหมือนจะทำกำไรถึงสามร้อยล้านเหรียญทองเลยนะ” เมื่อมองไปยังใบหน้าที่หล่อเหลาของหยุนจิน หยุนหลัวก็อดมองว่าเขางี่เง่าไม่ได้ เขาอิจฉาที่ลูกพี่ลูกน้องเขาผู้นี้ได้ยามูลค่าสามร้อยล้านเหรียญไปครอบครอง เสี่ยวเซียงเองก็อดไม่ได้ที่จะมองหยุนจินด้วยความไม่สบอารมณ์ เพราะเขาเองก็อยากจะได้ยาเม็ดไขกระดูกเหมือนกันหลังจากการประมูลซีซุยตันในวันนี้ จะสร้างความตื่นเต้นให้อาณาจักรแห่งอัคคี และประเทศอื่น ๆ ในทวีปวิญญาณสวรรค์ เพราะการจะได้มาซึ่งยาเม็ดนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากดวงตาของกู่ยันรันเต็มไปด้วยเจตนาปองร้ายและอาฆาตแค้น นางไม่เข้าใจว่าทำไมหลูมู่หยานถึงเปลี่ยนไปได้เพียงระยะเวลาแค่ไม่ถึงสามเดือน และนางก็ดีกว่าหลูมู่หยานทุกเรื่อง เว้นพื้นฐานครอบครัว แต่ทำไมนางถึงไม่ได้รับยาซีซุยนั่นนางเกลียด เกลียดหลูมู่หยานขณะ
หลังจากนั้นก็ยังคงมีการประมูลรายการสินค้าอีกหลายอย่างจากหอการค้าหมิงเหมิง ซึ่งซีซุยตันยังไม่ได้เข้าร่วมประมูลโดยตรงหลูมู่หยานยังได้เก็บภาพดอกไม้ลิงสีม่วงที่จำเป็นสำหรับการปรับแต่งจีตัน รวมไปถึงการฝึกฝนอื่น ๆ ทั้งเครื่องมือจิตวิญญาณ ชุดเกราะวิญญาณ แต่นางไม่ได้ต้องการ เพราะรวม ๆ แล้วนางเองได้ประโยชน์มากมายจากการประมูลในครั้งนี้ ณ ห้องประมูลส่วนตัว แขกที่เข้าร่วมการประชุมมักจะเก็บภาพรายการประมูลที่พวกเขาชื่นชอบ ขณะที่เม็ดยาซีซุยไม่ได้รับความสนใจมากนัก ซึ่งอาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ของมันที่ไม่ได้ดึงดูดอะไรหลังจากที่รายการสินค้าทั้งหมดถูกประมูลแล้ว หนี่จุนก็ได้คลี่ยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “การประมูลต่อไปคือรายการสุดท้ายที่ค่อนข้างหนักเป็นพิเศษของหอการค้าหมิงเหมิง และเราก็เพิ่งได้รับเกียรติจากเหล่าเย่ ผู้รับผิดชอบการประมูลโจวกั๋วขึ้นมาเป็นประธาน” เมื่อจบคำพูดของหนี่จุน ผู้เข้าร่วมการประมูลที่อยู่ข้างล่างก็ต่างพากันส่งเสียงวุ่นวายรายการประมูลใดกันที่จะสามารถรบกวนเหล่าเย่ได้ เพราะเขาไม่เพียงแต่เป็นราชาแห่งดาบที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้สะกัดระดับกลางอีกด้วย นั่นทำให้เป็นเรื่องยากที่เข