จวนสกุลจ้าง
เสียงร้องโหยหวน ราวสัตว์บาดเจ็บดังก้อง เรียกให้คนทั้งจวนตื่นจากการหลับใหล นายท่านจ้าง รีบวิ่งออกมายังหน้าเรือนใหญ่
“ท่านพ่อ...ท่านพ่อโปรดช่วยข้าด้วย”
นายท่านจ้าง พร้อมกับภรรยา และทุกคนในบ้าน ต่างมองไปยังต้นเสียง
“ลูกพ่อ!”
ชายชราถลาเข้าหาบุตรชาย สภาพที่เห็นในตอนนี้ ยากนักที่เขาจะทำใจยอมรับได้
“ใครทำเจ้า!”
แม้จะพอเดาได้ว่าใคร แต่ก็อยากได้ฟังจากปากบุตรชาย นิ้วสั่นระริก ค่อยๆ ชี้ไปยังร่างสูงในชุดสีดำทมิฬ ใบหน้าบุรุษร่างกำยำ ล้วนสวมหน้ากาก
“อำมหิตนัก! เขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของข้า แต่พวกเจ้าอาจหาญทำลายเขา”
“แล้วอย่างไร...ทายาทเพียงคนเดียว แล้วอย่างไร!”
คำถามในตอนท้าย ดุกร้าว จนคนฟังไหวสะท้านในอก บรรดาสตรีในจวน ต่างก้มหน้า หลบสายตาราวปีศาจ ในยามแสงจากคบไฟขยับไหวตกกระทบ
“เขาทำผิดอะไร พวกเจ้าถึงทำกับราวมิใช่คน”
“ไม่ถามเขาดูเล่า ถ้าฟังจากปากข้า มันจะน่าอับอายมากกว่ากระมัง”
“เป็นพวกเจ้าที่ต้องอับอาย น้องชายเจ้า!”
เมื่ออยู่ในอ้อนกอดของบิดา จ้างเสิ่นจึงปากกล้าขึ้นมาทันที ทว่า...
“หึๆ ข้ามีวิธีทำให้น้องข้า หายจากความอับอาย แต่เจ้าและสกุลจ้าง มั่นใจใช่ไหม ว่าจะแบกรับมันได้”
“เสิ่นเอ๋อร์...เจ้าทำสิ่งใดกัน”
นายท่านจ้างหันมาคาดคั้นบุตรชาย จ้างเสิ่น เสหลบสายตาบิดา ความเจ็บปวดบนกาย หาเท่าความอับอายที่อยู่เบื้องหน้า หากเขาบอกบิดาไป ผลที่ตามมา ไม่ใช่แค่เขาที่ต้องแบกรับ แต่รวมไปถึงมารดา ที่ไม่รู้เห็นสิ่งดับเขา จะต้องพลอยรับผลการกระทำนี้ไปด้วย
“ข้าแค่...แค่...”
“แค่อะไร!”
ชายชราถามบุตรชายเสียงกร้าว เขาที่เป็นบิดา มีหรือจะไม่รู้จักนิสัยของลูก อาการอ้ำอึ้ง ทั้งยังหลบสายตา ชัดเจนอยู่แล้วว่า เรื่องนี้ต้องร้ายแรง หาไม่แล้ว สภาพของบุตรชาย คงจะมิเป็นเยี่ยงนี้
“ท่านพ่อ ข้าเจ็บยิ่งนักขอรับ”
จ้างเสิ่นไม่อาจบอกบิดาได้ มิเช่นนั้นนับจากนี้ ทั้งชีวิตของเขา ต้องอยู่มิสู้ตาย หรืออาจต้องตายด้วยน้ำมือบิดา
“บุตรชายของท่าน กระทำการหมิ่นเกียรติ บุรุษด้วยกัน…”
สิ้นคำพูดของชายสวมหน้ากาก ราวสายฟ้าฟาด ลงกลางแสกหน้าของชายชรา แขนที่โอบประคองลูกในคราแรก พลันอ่อนแรงตกลงข้างกาย
เขามิใช่คนโง่ ที่จะตีความหมายในคำพูดไม่ออก ดวงตาหม่นแสงมองไปที่บุตรชาย ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา มันจุกในอก สำหรับคนเป็นพ่อ ที่วางทุกความหวัง ไว้ที่บุตรชายเพียงคนเดียว
“หากเป็นต่อยตี เยี่ยงบุรุษ ข้า...ข้าจะออกหน้าให้เจ้า ไม่สนว่าเจ้าผิดหรือถูก...แต่เรื่องอัปยศเช่นนี้ เจ้าทำมันได้อย่างไรกัน! หากเจ้าวิปริตเพียงนั้น ไยไม่เลือกหา ที่มินำพาความเดือดร้อนมาสู่ตัวเอง”
ชายชราพูดด้วยเสียงสั่นเทา ก่อนจะยกมือขึ้นกุมหน้าอก ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง เริ่มซีดเผือด เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นเต็มใบหน้า
“ท่านพ่อ/ท่านพี่/นายท่าน”
ภรรยาและลูกๆ ของชายชรา ต่างถลาเข้าหาร่างท้วม ที่สิ้นสติไปต่อหน้า ทว่ามันกลับไม่ได้ ทำให้บุรุษสวมหน้ากากทั้งหลาย รู้สึกเห็นใจ หรือแม้แต่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
“เจ้าจะรักชอบเพศใดนั้น ไม่ผิด...จ้างเสิ่น แต่ผิด...ที่เจ้าบังคับขืนใจผู้อื่น ที่มิได้มีใจเยี่ยงเจ้า น้ำใจที่ข้าและน้องสาว มอบให้เจ้าถือว่ามากแล้ว แต่ถ้าปากของเจ้ามิมีหูรูด เลือกเอา ระหว่างลิ้นและฟัน เจ้าจะให้สิ่งใดคงเหลืออยู่ หรือจะยอมให้มัน หายไปพร้อมๆกัน และเจ้ารู้ดี ว่าข้าไม่ชอบการข่มขู่ ที่เตือนก็ถือว่าเมตตาต่อสกุลจ้างมากพอแล้ว”
สิ้นคำพูดร่างสูง ได้หมุนกายเดินหายไปในความมืด พร้อมกับเหล่าผู้ติดตาม ปล่อยเบื้องหลัง ที่กำลังวิ่งวุ่น เพื่อปฐมพยาบาลสองพ่อลูกสกุลจ้าง
ยามเช้า ณ เรือนจ้านกง
ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวไปยังขอบเตียง คืนที่ผ่านมาเขาหลับลึกยิ่งนัก ซึ่งเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่เขานอนได้อย่างสุขใจ
“พี่รอง ตื่นแล้วรึเจ้าคะ”
เสียงหวานดังขึ้นจากด้านหน้าประตู หญิงสาวก้าวเข้ามาภายในห้อง โดยในมือถืออ่างน้ำมาด้วย ชูเหมยฮวา วางอ่างน้ำลงบนโต๊ะข้างเตียง
มือบาง ช่วยยกขาพี่ชายลงจากเตียง ก่อนจะรับอ่างอีกใบจากเสี่ยวเยี่ยน หญิงสาวบรรจงจับเท้าของพี่ชาย วางลงในอ่างน้ำที่แช่ด้วยสมุนไพร
เสี่ยวเยี่ยนจึงยกอ่าง ที่ผู้เป็นนายวางไว้ในคราแรก ไปให้คุณชายรองได้ล้างหน้า ชายหนุ่มเงยหน้ามองสาวใช้ของน้องสาว ก่อนจะหลบตาลงมองในอ่าง ที่มีดอกไม้ลอยอยู่
“เจ้ามิต้องนวดให้พี่ก็ได้ มันไม่รู้สึกอันใดมานานมากแล้ว”
ชายหนุ่มพูดกับน้องสาว ด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ทว่ามือบางยังคง ทำหน้าที่ต่อไปอย่างใจเย็น
“สมุนไพรที่ข้าใช้ เขาว่าดีนัก คนเราหากไม่ลอง แล้วจะรู้หรือเจ้าคะ ว่าผลมันจะเป็นเยี่ยงคำล่ำลือไหม”
ชายหนุ่มค่อยๆ ใช้มือกอบน้ำขึ้นมาล้างหน้า ความเย็นและกลิ่นหอมของดอกไม้ ทำให้เขารู้สึกสดชื่น และผ่อนคลายยิ่งนัก นับตั้งแต่พี่น้องต้องจากไป เขาอยู่ที่นี่ เพื่อเฝ้ารออย่างมีความหวังมาตลอด แม้ว่าหลายต่อหลายครั้ง เขาอยากที่จะ จบสิ้นลมหายใจนี้เสียก็ตามที
ยามค่ำคืน ณ เรือนท้ายจวนเหล่ยเสียงแมลงกลางคืน ร้องขับขาน สอดประสานกัน ประหนึ่งท่วงทำนองดนตรี ทำให้บรรยากาศที่หนาวเย็น ท่ามกลางแสงจันทร์นวลผ่อง ที่สาดส่องลงมากระทบเรือนหลังเก่าผุพังทำให้สายตาหลายคู่ ที่จับจ้องการเคลื่อนไหว ของคนภายในเรือนมากว่าสองชั่วยาม มีความรู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก ที่เป้าหมายของภารกิจนี้ อ่อนแอไม่คู่ควร กับการลงแรงสักนิดระดับยอดฝีมือ ต้องมาทำงานเล็กน้อยนี่! ผู้ว่าจ้างไยต้องให้มาถึงมือพวกเขาด้วยเล่า แต่เมื่อนายใหญ่รับงานมา หน้าที่ของพวกเขา ก็คือทำให้สำเร็จเท่านั้นเมื่อภายในเรือนไร้แสงส่องสว่าง การเคลื่อนไหวไม่มีแล้ว ทั้งหมดจึงเหินกายลงสู่ลานหน้าเรือน สภาพเยี่ยงนี้ ยังเรียกว่าที่พักอาศัยของคนอยู่อีกหรือ“ต้องได้หัวของนาง ส่งให้แก่นายท่าน”คำพูดของชายชุดดำ ทำให้ชายหนุ่มหน้าผี ขบกรามแน่นด้วยความกรุ่นโกรธ อาจหาญจะตัดหัวนายเขา ช่างมิเจียมตนเสียเลย เสือเฒ่าเจ้าเล่ห์ มีปัญญาจ้างได้แค่นักฆ่าระดับล่าง คิดจะผ่านเขาไป มันดูหยามกันชัดๆภายในห้องนอนอันมืดมิด ร่างระหงในชุดคลุมทีเข้ม นั่งจิบชาอย่างใจเย็น คล้ายกำลังรอการมา ของใครบางคน บนโต๊ะที่อยู่ข้างกาย มีหน้าไม้ขนาดพอดีมือ
“อีกหนึ่งเดือน ข้าจะจัดการให้เรียบร้อย”ท่านราชครูเผย ยังคงตั้งใจยืดเวลาออกไป เพื่อลดคำครหา ที่จะเกิดกับบุตรสาวคนรอง หากหย่าคนพี่ แต่งคนน้องต่อในทันที ผู้คนทั้งแผ่นดิน คงตราหน้าลูกรักของเขา ว่าช่วงชิงสามีพี่สาว ทำลายครอบครัวให้หลานเป็นกำพร้า “ก่อนตะวันตรงหัวพรุ่งนี้ หากพระราชโองการยังมาไม่ถึง หลักฐานการรับสินบน จะถึงสำนักตรวจการ ไม่ต้องห่วง...เรื่องนั้นมันแค่เล็กน้อย เพราะยังมีอีกหลายเรื่อง ที่ข้ามีในมือ” ท่านราชครูเผย กำหมัดแน่นด้วยความคับแค้นใจ เขาในตอนนี้ มิต่างอันใดกับสุนัขจนตรอก ทว่ากลับมิสามารถ ที่จะหันหลังกลับไปสู้ กับผู้ไล่ล่าได้ เพราะปลายอาวุธดันจ่ออยู่ที่คอหอย “ไม่บีบคั้นกันเกินไปหน่อยหรือ” “ไยท่านราชครูคิดเช่นนั้น เจ็ดปีเชียวนะ ที่บุตรสาวทั้งสองคนของท่าน ต้องทนทุกข์กับสิ่งที่ท่านทำ คนพี่ต้องอยู่เหมือนตายทั้งเป็น ส่วนคนเล็กต้องอยู่เฝ้ารอชายที่รัก ทั้งที่ล่วงเลยวัยออกเรือน มาไม่น้อย สิ่งที่ข้าเสนอไป ย่อมเป็นผลดี ต่อลูกของท่านทั้งสิ้น ไยจึงมองว่าเป็นการบีบคั้นเล่าขอรับ” “มีตรงไหนที่เหมาะสม พี่สาวหย่าสามี ให้น้องสาวแต่งเข้าไปแทนทันที
“ดียิ่งนัก ที่เขามิรู้ว่าที่นี่ เจ้าของแท้จริงเป็นใคร”ผู้ติดตามคนสนิท เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอก ว่าไม่ได้ชื่นชอบแขกผู้นั้นเลย“เขาได้รู้แน่ แต่ต้องหลังจากนายหญิง เป็นอิสระแล้ว”ฮั่วหลาง โบกมือเล็กน้อย เพื่อให้ผู้ติดตาม ไปจัดการเรื่องคนคุ้มกัน เพราะเวลานี้ นายหญิงได้มาร่วมฟังข้อต่อรอง ที่ท่านราชครูเผย มาเสนอการเจรจาเสือเฒ่าตัวนี้หรือ จะเดินเข้ามาในถิ่นผู้อื่น โดยไร้ผู้คุ้มกัน ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว สกุลเผยอยู่รอดมาจนถึงวันนี้ เพราะมีชีวิตของนายหญิงอยู่ในกำมือ อีกไม่ช้ามือที่คิดว่าเหนือชั้น จะไม่เหลือสิ่งใดให้จับภายในห้องรับรองพิเศษ มีร่างสูงสง่าของชายหนุ่มรูปงาม ในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ นั่งโบกพัดเบาๆ เพื่อคลายร้อนให้กับตนเอง โดยมีสาวใช้ใบหน้าจิ้มลิ้ม ชงชาชั้นดีอยู่ข้างๆเสียงฝีเท้าจากด้านนอก ทำให้สายตาเย็นเยียบ เหลือบมองไปเล็กน้อย ปึก! ก่อนจะหุบพัดในมือ แล้ววางลงบนโต๊ะ ด้วยตอนนี้แขกคนสำคัญ ได้เดินทางมาถึงแล้วนั่นเอง“เรียนนายท่าน แขกคนสำคัญ มาถึงแล้วขอรับ”“อืม...”ชายหนุ่มตอบรับในลำคอ ก่อนที่ประตูบานใหญ่ จะถูกเปิดออก พร้อมบุรุษสวมหมวกปีกกว้าง ก้าวเข้ามาด้านใน ถงเจี้ยนลุกขึ้น ก
“นางช่างเหิมเกริมนัก!” เป็นสะใภ้รอง ที่พูดขึ้นเพื่อสุมไฟในใจของพี่สามี ตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้น นางต้องอยู่อย่างเจียมตน เพื่อมิให้แม่สามีไม่พอใจ ที่สำคัญไปกว่านั้น นางมิอาจทนเห็นเผยอิงเถา กับลูกแฝดเหนือกว่าบุตรชายของนาง “เงียบปากเจ้าซะ! เจาเยียน” เหล่ยฮูหยิน จำต้องปรามลูกสะใภ้รอง เรื่องนี้เกี่ยวพันหลายอย่าง หากผลีผลามไป สกุลเหล่ยอาจตกที่นั่งลำบาก แม้มิจนทางการเงิน แต่ชื่อเสียงที่สั่งสมมานาน อาจด่างพร้อยได้ และนั่นจะเป็นจุดเริ่มต้น ของการล่มสลาย “ท่านป้า อย่าโมโหไปเลยเจ้าค่ะ พี่สาวของข้านาง...” “คุณหนูเผย พี่สาวเจ้าเป็นสะใภ้ข้า และเรื่องนี้คือเรื่องในบ้านเหล่ย คงไม่ต้องให้ข้าบอกนะ ว่าสิ่งใดควรไม่ควร” “เจ้าค่ะ” “ท่านแม่ จะใส่ใจทำไม ในเมื่อท่านแม่เป็นคนบอกข้าเอง ว่านางทำเสื่อมเกียรติ อย่างไรนางก็ต้องออกจากสกุลเหล่ย” แม่ทัพหนุ่ม รีบออกตัวปกป้องคนรัก ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจมารดา แต่มิว่าสิ่งที่นางพูดจะจริงเท็จ เขาก็ต้องทำให้เผยอิงเถา ออกจากสกุลเหล่ย และเขาต้องไร้ภรรยา เพื่อสตรีที่รัก “แต่มิใช่เจ้า ที่ทำเยี่ยงนั้นก่
ยามเช้า สามวันต่อมา ณ จวนสกุลเหล่ย รถม้าจากชายแดน ได้หยุดอยู่หน้าประตูจวน ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ ของแม่ทัพหนุ่ม จะก้าวลงมายืนอยู่เบื้องล่าง ใบหน้าหล่อเหลาไร้ซึ่งรอยยิ้ม ทว่ามันกลับเต็มไปด้วย ความกรุ่นโกรธเสียมากกว่า “พี่ฟู่เฉา” เสียงจากหน้าประตูรถม้า ทำให้ใบหน้าทะมึนตึง คลายลงไป เหมือนกับเมื่อครู่ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม่ทัพหนุ่มยื่นมือให้แก่หญิงสาว เพื่อประคองตัวลงจากรถม้า “ระวัง” แม่ทัพหนุ่ม เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เช่นเดียวกับสายตา ที่มองนางด้วยความรักเต็มเปี่ยม เจ็ดปีที่ผ่านมา นางยังคงรอเขาอย่างมั่นคง ไหนเลยเขาจะทำให้นางผิดหวัง “ขอบคุณเจ้าค่ะ” เผยอันหลิง ก้าวเคียงข้างแม่ทัพหนุ่มเข้าจวน นับว่าคนของบิดา ทำงานได้ดียิ่งนัก หาไม่แล้วนางคงไม่ได้พบเขาก่อน เพื่อขอความช่วยเหลือ เรื่องที่ครอบครัว กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ “ท่านแม่ทัพ” พ่อบ้านจวง เรียกผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงยินดี ก่อนจะหมุนกายกลับเข้าจวน วิ่งตรงไปยังเรือนหลัก เพื่อรายงานให้แก่เหล่ยฮูหยินได้รับรู้ ผ่านไปเพียงครึ่งก้านธูป ทุกคนในจวน ต่างพากันมาทั
ร้านขนมโหรวอิง เผยอิงเถา กำลังครำเคร่ง สำหรับการวางแผนการค้า นางตื่นมาจะกี่วันไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่ต้องทำ หากยื้อเวลาก็รังแต่จะพลาดพลั้งให้ศัตรู เมื่อเช้าที่ผ่านมา นางอาจเหมือนคนโง่ที่แสร้งฉลาด ในสายตาของใครบางคน แต่นักธุรกิจที่เรียนรู้ การดูผู้คนมาตั้งแต่จำความได้แบบนาง มองแค่ปราดเดียวก็รู้ ว่าคนฉลาดอย่างเผยอันหลิง กำลังประเมินนางอยู่ “ร่างกายท่านยังไม่แข็งแรง ไยหักโหมนักเล่าขอรับ” ถงเจี้ยน ก้าวเข้ามาภายในห้อง ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะน้ำชา แล้วรินยกดื่มอย่างกระหาย “ร่ำรวยมา ไยยังดูหิวโหยอยู่เล่า” หญิงสาวเอ่ยเย้า ถงเจี้ยน ทว่ามือยังคงตวัดพู่กัน เพื่อเขียนแผนงานของตนเองต่อ “นายหญิงช่างรอบรู้ยิ่งนัก” “หากเจ้าไม่ได้ผลกำไร ไยจะกลับมาหน้าระรื่นเยี่ยงนี้เล่า” “เฉพาะหนี้หลักแสนตำลึง ดอกเบี้ยตามกฎหมายกำหนด เบี้ยหวัดของท่านราชครู สักห้าปีจึงจะเพียงพอ รวมต้นและดอก สกุลเผยเรียกว่า...ล้มละลายได้เลยขอรับ” “หึๆ คิดดอกเบี้ยตามกฎหมายกำหนดเลยหรือ แล้วถ้าตามกฎการค้าเล่า” หญิงสาวละสายตา มองไปที่ถงเจี้ยน เพื่อรอ