เมื่อได้ยินศิษย์น้องพูดเช่นนั้น หยางซีอวิ๋นได้แต่ส่ายหน้าเพราะเขาเองก็ไม่รู้เลยว่าปลายทางของโชคชะตาจะเป็นอย่างไร จึงเอ่ยปลอบใจจื่อเถิงว่า “เช่นนั้นข้าจะพยายาม”
“แล้วเจ้าเล่าอิงฮวา” จื่อเถิงถามศิษย์น้องบ้าง
“ข้าก็จะพยายามเจ้าค่ะ” นางพยักหน้ารับปากเป็นอย่างดี
จู่ ๆ ท้องฟ้าโปร่งกลับมีเค้าเมฆฝนราวกับพายุลูกใหญ่กำลังจะพัดผ่านมาทางนี้ หยางซีอวิ๋นพูดขึ้นมาว่า “ไม่ไกลจากที่นี่คงเป็นเมืองเป่ย พวกเรารีบไปหาที่พักก่อนฝนตกจะดีกว่า”
หนึ่งก้านธูปต่อมา
ครั้นเข้ามายังใจกลางเมืองเป่ย ทหารอารักขาหลายสิบนายต่างกรูกันเข้ามาทำความเคารพพวกเขาราวกับว่ารู้จักกันมาก่อน
“เอ่อ... พวกท่าน...” จื่อเถิงทำตัวไม่ถูก มือไม้พันกันเป็นระวิง
“ท่านเซียนสำนักดาราสวรรค์ใช่หรือไม่” หนึ่งในนั้นถามพวกเขาสีหน้าจริงจัง
“พวกท่านรู้ได้อย่างไรหรือ” หยางซีอวิ๋นรู้สึกไม่ไว้ใจอยู่ส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาทั้งสามเดินทางโดยไม่เปิดเผยตัวตนมานานแล้วจึงเกรงว่าอาจมีกับดักรออยู่
“ท่านเซียนอย่าได้กังวลไปเลย” เขาผ่อนคลายน้ำเสียงให้ดูเป็นมิตรมากขึ้น “พวกมารปีศาจอาละวาดไปทุกหนแห่ง ท่านเจ้าเมืองเองก็พอจะได้รับข่าวสารจากเมืองอื่น ๆ มาบ้างจึงรู้มาว่าท่านเซียนต้องการที่พักพิงจึงสั่งพวกข้าเอาไว้ขอรับ”
“เราสามคนไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นานนักหรอก ขอเพียงแค่หลบพายุก็จะออกเดินทางต่อแล้ว” หยางซีอวิ๋นปฏิเสธความช่วยเหลือเพราะเกรงว่าจะนำภัยมาสู่ชาวเมือง
“หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ขอเชิญพวกท่านเข้าพักที่จวนเจ้าเมืองก่อนเถิด เมฆตั้งเค้าลอยมาทางนี้แล้ว อีกไม่นานพายุฝนคงกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา”
จื่อเถิงมองหน้าศิษย์ร่วมสำนักแล้วบอกคนตรงหน้าว่า “รบกวนท่านนำทางไปเถิด”
ทหารอารักขาผู้นั้นจึงพาพวกเขาทั้งสามคนมาที่จวนเจ้าเมืองเป่ย
ชายวัยฉกรรจ์สวมอาภรณ์สีดำประดับลายทองเดินออกมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ข้าน้อยมีนามว่าเสิ่นฉือเป็นผู้ปกครองเมืองเป่ยแห่งนี้ ยินดีต้อนรับท่านเซียนทั้งสามเป็นอย่างยิ่งขอรับ”
น้ำเสียงและท่าทางสุภาพของคนตรงหน้าดูไม่มีพิษภัยอันใด หากแต่ศิษย์สำนักเซียนยังคงเคลื่อนไหวด้วยความระมัดระวัง
“เชิญนั่งก่อนเถิด” เขาผายมือไปที่เก้าอี้ทางด้านซ้ายมือแล้วสั่งให้บ่าวรับใช้นำชุดน้ำชาออกมาต้อนรับแขก
“ขอบคุณน้ำใจของท่านเจ้าเมืองยิ่งนัก แต่ว่าพวกข้าคงจะไม่รบกวนท่านนาน” หยางซีอวิ๋นเอ่ยปากบอกแผนการเดินทางที่วางเอาไว้
เจ้าเมืองเป่ยเข้าใจเป็นอย่างดีว่าหลายวันที่ผ่านมาเซียนทั้งสามระหกระเหเร่ร่อนและได้รับความลำบากจึงยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าจะช่วยเหลือทุกอย่าง
เขาโน้มน้าวใจจื่อเถิงและคนที่เหลือให้คล้อยตามทีละนิด “เมืองเป่ยตั้งอยู่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาหลายชั่วอายุคน ด้านหลังไม่ไกลนักเคยเป็นที่ตั้งของสำนักเซียนในอดีต เมืองแห่งนี้จึงมีพลังเซียนไหลเวียนคอยปกป้องคุ้มภัยจากมารปีศาจมาเนิ่นนาน” เจ้าเมืองเป่ยยกถ้วยชาดื่มแล้วเอ่ยต่อ “หากพวกท่านกังวลว่าจะนำภัยมาสู่เมืองของเรา ข้าน้อยยืนยันได้เลยว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นขอรับ”
“ถึงอย่างนั้น พวกเราก็ไม่อยากรบกวนท่านเจ้าเมืองจริง ๆ” จื่อเถิงยังคงยืนยันคำเดิม
“อืม ข้าคงไม่อาจบังคับพวกท่านได้หรอก ระหว่างที่พักหลบฝนในจวนแห่งนี้ พวกท่านลองตรึกตรองดูอีกสักครั้งเถิด” เขากล่าวทิ้งท้ายว่า “พลังเซียนที่ไหลเวียนในเมืองเป่ยเป็นเกราะกำบังชั้นดีช่วยพรางตาให้ชาวเมืองหลบพ้นจากสายตาของพวกมารปีศาจ หลายวันมานี้คนของข้าน้อยรายงานมาว่าเห็นพวกมันผ่านไปผ่านมาแต่กลับทำตัวราวมองไม่เห็นที่ตั้งเมืองเป่ยเสียอย่างนั้น”
“...”
“ข้าน้อยจึงคิดว่าหากพวกท่านต้องการที่หลบภัย จวนข้าน้อยจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วขอรับ”
“ขอบคุณท่านเจ้าเมือง พวกข้าจะลองปรึกษากันก่อน” หยางซีอวิ๋นเอ่ยขอบคุณความมีน้ำใจของเขา
หลังจากนั้นทหารอารักขาจึงพาทั้งสามไปพักที่เรือนรับรองอีกฟากหนึ่งของจวนใหญ่ พลันฝนเม็ดใหญ่พรั่งพรูลงมาจากฟ้าไม่ขาดสาย
อากาศหนาวเย็นพัดผ่านมาเป็นระลอกพร้อมไอฝนเปียกชื้น ศิษย์สำนักเซียนจึงได้แต่นั่งอยู่ข้างในเรือนรับรองพลางปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรต่อไป
“ข้าตรวจดูม่านพลังเซียนอย่างที่เจ้าเมืองเป่ยบอกแล้ว” อิงฮวาใช้วิชาเซียนที่เรียนมาตรวจสอบว่าเขาพูดจริงหรือไม่ “หากดูผิวเผินไม่อาจรู้ได้เลยว่ามีม่านกั้นอยู่เจ้าค่ะ”
“อืม เพราะอย่างนั้นบริเวณรอบนอกที่เราเพิ่งผ่านเข้ามาจึงมีไอมารปีศาจจาง ๆ แต่พอเข้ามาในเมืองเป่ยกลับไม่ได้ร่องรอยของพวกมันแม้แต่น้อย” หยางซีอวิ๋นครุ่นคิดตามที่สัมผัสได้
“แต่ข้ากลับรู้สึกว่าแปลกยิ่งนัก ไม่อยากอยู่ที่นี่นานนักเลย” จื่อเถิงออกความเห็นบ้าง
“เช่นนั้นพอฝนหยุดก็กลับออกไปจะดีกว่า” หยางซีอวิ๋นสรุปตามนั้น ประสบการณ์หลบหนีพรรคพวกกงจื่อเย่หลายวันที่ผ่านมาสอนพวกเขาไว้หลายอย่าง
อย่าไว้ใจใคร อย่าหลงกลและห้ามเปิดเผยตัวตนให้ผู้ใดรับรู้ หูตาของจอมมารแฝงอยู่ทุกที่และสิ่งที่เขาเห็นในเวลานี้อาจเป็นภาพลวงตา
ทว่า พายุฝนไม่หยุดโดยง่าย ทำท่าจะตกหนักเช่นนี้ไปอีกสามสี่วัน จื่อเถิงจึงฆ่าเวลาด้วยการตั้งสมาธิหลอมรวมสรรพสิ่งเพียงลำพังในห้องรับรองโดยมีอิงฮวาและหยางซีอวิ๋นคอยระวังอยู่รอบนอก
อีกฟากหนึ่งของจวนเจ้าเมืองเป่ย
เสิ่นฉือนั่งคุกเข่าอยู่หน้าแท่นสักการะ กลิ่นธูปเทียนฉุนโชยอบอวลทั่วห้อง
เขาเอ่ยปากท่องภาษาแปลก ๆ อยู่คนเดียวพลางกรีดข้อมือของตนเองให้เลือดหยดลงบนแผ่นยันต์สีดำที่มีอักขระโบราณกางไว้บนพื้น
ด้านหน้าของเขามีร่างไร้วิญญาณของคนผู้หนึ่งนอนแน่นิ่ง ร่างกายยังคงอุ่น ๆ เพราะเพิ่งถูกสังหารเมื่อครู่
“ท่านจอมมารได้โปรดปรากฏกายในที่แห่งนี้ด้วยเถิด” เสิ่นฉือท่องตำราเรียกจอมมารอย่างใจจดใจจ่อ ท่องวนไปวนมาซ้ำ ๆอยู่อย่างนั้นเกือบหนึ่งชั่วยาม
จนสุดท้ายแล้วความพยายามของเขาก็สัมฤทธิ์ผล กงจื่อเย่โผล่ขึ้นมาเหนือร่างไร้ชีวิตพลางแสยะยิ้ม สายตาของเขามองไปยังเจ้าเมืองเป่ยไม่สบอารมณ์
“เฮอะ มนุษย์อย่างเจ้ามีน้ำหน้าหาญกล้าเรียกข้าเชียวหรือ” กงจื่อเย่ดูถูกซึ่งหน้า
“ท่านจอมมาร อย่าได้กริ้วไปเลย ข้ามีเรื่องจะรายงานท่านขอรับ” เสิ่นฉือรีบเอ่ยปาก ในใจเต้นระรัวที่ได้เห็นร่างแท้จริงของจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ตามข่าวลือ
“...”
“ได้โปรดรับข้าและชาวเมืองเป่ยเป็นผู้รับใช้ท่านด้วยเถิด”
“ยังไม่ทันไรก็ริอาจต่อรองกับข้าเสียแล้ว ไม่รักตัวกลัวตายหรืออย่างไร” จอมมารรู้สึกทึ่งกับมนุษย์ตรงหน้าเพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะผู้ใดย่อมเกรงกลัวเขา “หากเจ้าทำให้ข้าพอใจ ข้าจะลองทำตามคำขอของเจ้า”
เสิ่นฉือดีใจเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับใช้ผู้ยิ่งใหญ่ คิดในใจว่านับจากนี้ไปจะได้พลังมารมาครอบครอง
“ข้าน้อยกักตัวเซียนผู้นั้นเอาไว้แล้วขอรับ”
“ผู้ใด” กงจื่อเย่สงสัย
“เซียนสำนักดาราสวรรค์ จื่อเถิงขอรับ” เจ้าเมืองเป่ยเอ่ยปาก “นางพักอยู่ที่ตรงนั้นขอรับ ท่านจอมมาร...” เจ้าเมืองเป่ยไม่ทันได้พูดจบประโยคดีจอมมารก็หายตัวไปทันควัน
กงจื่อเย่ปรากฏตัวอยู่ในเรือนรับรองที่จื่อเถิงพักอยู่เมื่อครู่ หากแต่กวาดตามองไปรอบห้องกลับไม่พบเจอนาง เขาหัวเราะลั่นราวกับคนบ้าเพราะคลาดกับนางอีกครา
จอมมารพาสวีลู่ชิงกลับมายังดินแดนสุญญตาที่เวลานี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นบ้านของเราอย่างที่เขาพูด ที่รกร้างกว้างใหญ่แต่เดิมไม่มีอะไรอยู่ข้างในนั้นเลย กลับมาครั้งนี้สวีลู่ชิงได้เห็นว่าเรือนไม้หลังใหญ่สองชั้นลอยโดดเด่นอยู่ใจกลาง ดอกจื่อเถิงสีม่วงขาวเลื้อยประดับห้อยระย้าสวยงามยิ่งนักพื้นน้ำโดยรอบสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าระยิบระยับ และหากท้องฟ้าสดใสถูกแทนที่ด้วยจันทรา ผืนฟ้าก็จะเต็มไปด้วยละอองดาวกงจื่อเย่เนรมิตสรรพสิ่งขึ้นมาเพื่อรอต้อนรับนางกลับมายังที่ที่เป็นบ้านของเราดินแดนตรงกลางระหว่างภพมารกับภพสวรรค์ บ้านที่พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์“อีนั่ว ข้าฝากให้เจ้าดูแลไข่ใบนั้นให้ดี ยังจำได้หรือไม่” จอมมารถามบุตรชายเพราะเห็นเขามักจะพาลี่เซียนเที่ยวเล่นกับเทพ
นับตั้งแต่การจากไปของบุตรสาวสวีลู่ชิงตกอยู่ในความเศร้าสร้อย ความรู้สึกของนางในเวลานี้เหมือนกระตุ้นความทรงจำบางอย่างที่หลงลืมไปแล้ว สัมผัสได้เพียงว่าครั้งหนึ่งนางคงเคยสูญเสียลูกไปในช่วงเวลานี้กงจื่อเย่คอยอยู่เคียงข้างและดูแลนางไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทำหน้าที่สามีเป็นอย่างดีเพื่อให้นางข้ามผ่านความเจ็บปวดครั้งนี้ไปให้ได้หญิงสาวเอนศีรษะพิงไหล่กว้างของคนข้างกาย เอ่ยพึมพำว่า “ลูกสาวของเราคงจะสุขสบายดีอยู่ที่ไหนสักแห่งใช่หรือไม่”สามีของนางจึงตอบอย่างมั่นใจ “อืม ลูกสาวของเรากำลังเล่นสนุกสนานกับเพื่อนใหม่ของนาง ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวลเลยลู่ชิง”รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว “เจ้าช่างสรรหาคำปลอบใจได้แปลกยิ่งนัก ลี่เซียนกำลังเล่น
เก้าเดือนต่อมาเด็กครึ่งมารคนที่สองได้ฤกษ์ถือกำเนิด เด็กหญิงตัวน้อยมีดวงตาสีม่วงแดงเหมือนบิดา เรือนผมสีขาวคล้ายมารดา หน้าตาน่ารักน่าชังยิ่งนักสวีลู่ชิงมองหน้าลูกสาวพลางนึกถึงอีนั่วจึงเอ่ยปากบอกสามีที่นั่งอยู่ข้างกัน “เจ้าเคยอยากรู้ว่าลูกสาวของเราจะหน้าตาเหมือนผู้ใดใช่หรือไม่”“อืม” กงจื่อเย่ยิ้มกว้าง“นางหน้าตาเหมือนเจ้าไม่มีผิด” สวีลู่ชิงไล้แก้มเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูทันใดนั้นจึงได้ยินเสียงคุ้นเคยร้องเรียกนางจากหน้าบ้าน สวีลู่ชิงเดินไปดูลาดเลาจึงได้เห็นคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจออีกครั้ง“ท่านแม่” อีนั่ววิ่งเข้ามากอดนางด้วยความคิดถึงเพราะถูกกักบริเวณจึง
สามเดือนต่อมาระหว่างที่สวีลู่ชิงกำลังเก็บผักกาดอยู่ในสวนข้างบ้าน นางได้ยินเสียงกุบกับดังมาแต่ไกลผิดวิสัยการเดินทางของคนในหมู่บ้านแห่งนี้จึงรีบออกมาดูใบหน้าของใครบางคนทำให้นางดีใจยิ่งนัก รีบตะโกนบอกใต้เท้าสวีและฮูหยินที่พักผ่อนอยู่ข้างในได้รู้ว่า “ท่านพี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ทุกคนออกมายืนรอรับคุณชายสวีหน้าบ้าน ส่วนกงจื่อเย่เดินมากอดเอวคุณหนูเอาไว้เหมือนอย่างเคยครั้นได้เห็นบุตรชายคนโตใกล้ ๆ ใต้เท้าสวีและฮูหยินจึงได้เห็นว่าร่างกายของเขามีแต่รอยแผลเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเกราะและเสื้อผ้าทว่า คุณชายสวีไม่ได้กังวลเรื่องนั้นแม้แต่น้อย “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลู่ชิง” เขาเอ่ยเรียกทั้งสามคนสีหน้าระรื่น “ข้าล้างมลทินให้สกุลสวีได้สำเร็จแล้วขอรับ”
แม้จอมมารจะคิดหลายอย่างอยู่ในหัวแต่เวลานี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดีนักเพราะเขาต้องใช้โอกาสนี้พาสวีลู่ชิงหนีจากหอเยว่ส่างก่อนที่จะถูกใครจับได้ใครหลายคนคงคิดว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่ร่วมกันทั้งคืน กว่าจะรู้ตัวว่านักโทษกบฏแอบหนีออกไปกับแขกที่ไม่เห็นหน้าค่าตาก็คงทิ้งห่างจากพวกเขาไปหลายชั่วยามแล้ว“หนีอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยถามให้แน่ใจ ความกังวลถาโถมเข้ามาไม่หยุดเพราะเกรงว่าทุกคนจะมีอันตรายไปด้วย“เชื่อใจข้าหรือไม่” กงจื่อเย่ถามแต่เพียงเท่านั้น แววตาของเขาจริงจังเสียจนนางไม่นึกสงสัยอันใดอีกจึงกุมมือเขาไว้แน่นแล้วหนีไปด้านหลังด้วยกันทาสหนุ่มฝืนตัวเองเร่งรีบไปให้ถึงจุดที่เขาผูกม้าเอาไว้ ขาข้างที่เคยบาดเจ็บสร้างความทรมานให้เขาอย่างยิ่งแม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม
สองเดือนต่อมาอีนั่วมาหาสวีลู่ชิงอย่างเช่นเคย ก่อนเข้าไปยังห้องรับรองก็นั่งดูหลิวอิงอิงดีดพิณ ขับร้องเพลงเสียงก้องกังวานด้วยความรื่นเริงใจจนกระทั่งมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งในคำทำนายโชคชะตาของมารดาเจ้าตัวตะลึงงันไม่คิดว่ามนุษย์อย่างเขาจะดูมีรัศมีเหมือนเทพสวรรค์ พลันกวาดตามองรอบตัวต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเยือกเย็นจากเทพชั้นสูง ผู้มีดวงตาสีฟ้า ผมขาวเหมือนผู้เป็นมารดาหากแต่อีนั่วยังทำใจดีสู้เสือคิดว่านั่นคือบิดาที่แปลงกายมาจึงยิ้มตอบกลับไปทักทายเทพวายุหายตัววับมาอยู่ข้างเขาในทันทีจนสมุนปีศาจแข็งทื่อเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าคือสวีต้าเฟิงตัวจริง หลิวอิงอิงที่นั่งอยู่ตรงกลางลานแสดงถึงกับดีดเพลงพิณเพี้ยนไปสองจังหวะคิดจะหนีหายเอาตัวรอดก่อนผู้ใดแต่ถูกแส้บ่วงของเทพวายุตวัดรัดตัวนางเอาไว้