มังกรดำโผล่หน้าเหนือศีรษะของอิงฮวาอ้าปากรอเขมือบร่างบางที่มิอาจหลีกหนีได้ทัน หากแต่แสงจากกระบี่เซียนกำลังง้างปากของมังกรดำเอาไว้ไม่ยอมให้มันบดขยี้
จื่อเถิงและหยางซีอวิ๋นยังไม่อาจผละจากกองทัพปีศาจที่อยู่รอบตัวได้ ครั้นกำจัดไปหนึ่งก็จะถูกอีกสองถ่วงแข้งขาเอาไว้อย่างรู้งาน
ในเมื่อไม่อาจขย้ำเหยื่อตัวน้อยตรงหน้าได้ มังกรดำจึงเปลี่ยนวิธี ค่อย ๆ ดูดกลืนพลังชีวิตของอิงฮวาแทน
เส้นสายสีขาวจาง ๆ ถูกดึงยืดออกจากร่างเซียนน้อยทีละนิดจนนางไม่อาจกลั้นเสียงร้องเจ็บปวดได้ค่อย ๆ หมดแรงต้านทานจนปากของสัตว์อสูรเริ่มปิดลงได้เรื่อย ๆ
“ศิษย์พี่...” เสียงหอบเหนื่อยล้าของอิงฮวาพึมพำอยู่ลำพัง คิดในใจว่าวันนี้ตนเองอาจจะไม่รอดจึงร่ายพลังน้อยนิดที่เหลืออยู่ส่งสัญญาณให้พวกเขา
ดวงไฟสีขาวพุ่งเข้าหาจื่อเถิงกับหยางซีอวิ๋นในพริบตาจึงทันได้หันรอยยิ้มสุดท้ายของศิษย์น้องเล็กที่กำลังจะถูกมังกรดำเขมือบอยู่รอมร่อ
เหตุการณ์นี้กระตุ้นให้จื่อเถิงเปิดผนึกเทพดาราออกส่วนหนึ่งเกิดรอยอักขระโบราณขึ้นที่แขนของนางพลันพลังเทพดาราส่วนนั้นโจมตีมังกรดำอย่างรุนแรง
หยางซีอวิ๋นรุดเข้าไปอุ้มร่างอิงฮวาจากที่ตรงนั้น โดยไม่รู้เลยว่าเวลานี้จื่อเถิงกลายเป็นเป้าหมายของมังกรดำไปแล้ว
เฉินซือหยางสัมผัสได้ถึงพลังเทพจึงมองมายังต้นทาง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏ “ในที่สุดก็เจอนางแล้ว”
ตัวตนของเทพดาราที่ถูกปกปิดมาสิบแปดปี บัดนี้กระจ่างแจ้งแก่สายตาของลูกน้องปีศาจ การค้นหาอันยาวนานสิ้นสุดลงเสียแล้ว
ทว่า อาจารย์จากสำนักม่านหยกผู้หนึ่งรีบเข้าหาจื่อเถิงทันควันราวกับรู้อะไรบางอย่าง
“เลี่ยงหวง เฟยฮวา” เขาเรียกศิษย์สำนักตนเอง “พานางหนีไปให้ไกลจากที่นี่”
ศิษย์ทั้งสองนิ่งงันไปชั่วขณะพลางนึกถึงคำพูดของอาจารย์เมื่อไม่นานมานี้จึงพยักหน้ารับรู้แล้วสลัดปีศาจที่ต่อกรอยู่ด้วยออกพลางขยับประชิดตัวจื่อเถิงทันที
หยางซีอวิ๋นได้รับคำสั่งจากอาจารย์ให้ดูแลจื่อเถิง เข้าใจถ่องแท้ในวันนี้ว่าเหตุใดนางจึงเป็นคนสำคัญที่ต้องปกป้อง
ศิษย์สำนักเซียนทั้งห้าคนจึงหลบเร้นหนีจากสมรภูมิท่ามกลางความวุ่นวายในเมืองหนาน
โจวเหวินหลงพลาดท่าถูกอาจารย์สำนักเซียนหลอกล่อ เขาจึงรายงานหาจอมมารก่อนจะสายไป “นายท่าน ข้าพบนางแล้วขอรับ”
กงจื่อเย่ยิ้มกว้างรอฟังรายละเอียดโดยไม่สนใจกองทัพสวรรค์ตรงหน้า
“ดวงตาสีฟ้า ผมขาวราวหิมะ” ภาพของจื่อเถิงปรากฏในความคิดของกงจื่อเย่ “ฆ่านางเสีย”
“ไม่ได้ขอรับ” โจวเหวินหลงเอ่ยปาก “นางหนีไปแล้ว”
“ไม่ได้เรื่อง!!!” เขาตวาดลั่นไม่สบอารมณ์จนทัพสวรรค์พลอยรู้สึกขนลุกไปด้วย จอมมารถูกตรึงกำลังถึงเพียงนั้นแต่ยังน่ากลัวไม่เปลี่ยนแปลง
กงจื่อเย่พลันนึกเรื่องสนุกออก เขาร่ายพลังมารสีดำดวงใหญ่คลุมพื้นที่บริเวณนั้นตบตากองทัพสวรรค์และเทพอาวุโสก่อนจะแยกวิญญาณของตนออกเป็นสองร่าง
ร่างหนึ่งเสแสร้งแกล้งเล่นละครบนภพสวรรค์เพื่อไม่ให้ผู้ใดรู้ว่าเขาพบเทพดาราผู้เป็นปรปักษ์แล้ว
อีกร่างมีเพื่อตามล่านางแล้วบีบให้ตายด้วยน้ำมือของตนเองอย่างที่เคยว่าไว้
พรึ่บ!!!
เขาปรากฏกายเหนือท้องฟ้าเมืองหนาน กวาดสายตาดูความพินาศที่ลูกน้องทั้งสองคนก่อเอาไว้ด้วยสีหน้าสบายอารมณ์
“ที่แห่งนี้ก็มีพวกน่ารำคาญหรือ” เขาถามมังกรดำที่โอบล้อมตัวเอง
“ขอรับ แดนมนุษย์ยังมีเหล่าเซียนอีกมากมายคอยขัดขวาง” โจวเหวินหลงตอบไปตามความจริง
จอมมารแสยะยิ้มมุมปาก “เทพเซียนข้าก็สังหารมาแล้ว นับประสาอะไรกับมนุษย์เดินดินพวกนี้”
เขาร่ายพลังมารจนท้องฟ้าปั่นป่วนราวกับพายุอันมืดมิดกำลังจะถล่มเมืองหนานให้สาบสูญ
อาจารย์สำนักม่านหยกรู้ทันทีว่าจอมมารถือกำเนิดขึ้นแล้วจึงส่งสัญญาณบอกลูกศิษย์ทั้งหลายให้ระวังตัว ทั้งยังส่งข่าวหาสำนักเซียนอื่น ๆ ในละแวกนั้น แจ้งเตือนถึงหายนะที่กำลังคืบคลานเข้ามา
แม้จะเตรียมพร้อมปะทะกองทัพมารแต่ไฉนเลยจะสู้กับพลังของจอมมารได้ เพียงแค่พริบตาเดียวสิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ถูกลบหายออกไปอย่างง่ายดาย
กงจื่อเย่หัวเราะลั่นสนุกสนานกับการทำลายสรรพสิ่งในแดนมนุษย์
คนไร้ทางสู้ ลูกไก่ในกำมือ จะบีบเมื่อใดก็ตาย
จังหวะนั้น เลี่ยงหวงและเฟยฮวากลับสัมผัสได้ว่าอาจารย์และศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักเกือบครึ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเขาหยุดเดินทางแล้วหันกลับมามองเมืองหนานที่อยู่เบื้องหลัง
มังกรดำและเงาของใครบางคนกำลังลอยอยู่เหนือเมืองหนานท่ามกลางซากปรักหักพัง
“เกิดอันใดขึ้นหรือ” หยางซีอวิ๋นถามเลี่ยงหวงเพราะเห็นสีหน้าของเขาไม่สู้ดี
“ศิษย์สำนักม่านหยกสลายไปแล้ว” เขาเอ่ยปากน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“เป็นไปได้อย่างไร” หยางซีอวิ๋นยังคงไม่เชื่อว่าจะมีพลังใดที่ทำลายเซียนขั้นสูงได้ในเพียงพริบตาพลันนึกถึงคำพูดที่อาจารย์ฝากฝังเอาไว้ จึงถามว่า “จอมมารถือกำเนิดขึ้นแล้วหรือ”
เลี่ยงหวงพยักหน้าบอกพวกเขาว่า “อาจารย์สั่งให้พาพวกเจ้าหนีไปให้ไกล อย่ารอช้าอยู่เลย”
แม้จะอาลัยอาวรณ์แต่เขาจำเป็นต้องเร่งให้คนที่เหลือเดินทาง “เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าต้องปกป้องนาง”
“อืม” ศิษย์สำนักดาราสวรรค์มองจื่อเถิง ศิษย์น้องกำลังสงสัยยิ่งนักว่ามีเหตุอันใดที่ทุกคนต้องปกป้องนางมากเพียงนี้ หยางซีอวิ๋นจึงเอ่ยปากบอก “ข้าจะอธิบายทุกอย่างให้ฟัง”
เซียนทั้งห้าขี่กระบี่ทะลุผ่านม่านเมฆรวดเร็วปานสายฟ้า ข้ามแม่น้ำสายใหญ่ ภูเขาสูงชัน ป่าสนทึบจนกระทั่งเข้าเขตใจกลางเมืองจิวหรงจึงได้หยุดพักผ่อนในโรงเตี๊ยม
ครั้นเข้าไปในห้องพักแล้ว จื่อเถิงรีบร่ายพลังรักษาอิงฮวาที่กำลังสลบไสล ใบหน้าซีดเผือดเพราะถูกดูดพลังชีวิตจึงเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง
นางเอ่ยพึมพำดีใจที่ได้เห็นคนทั้งสองอีกครั้ง “ศิษย์พี่...”
“นอนพักก่อนเถิดอิงฮวา” หยางซีอวิ๋นลูบศีรษะของนางอย่างอ่อนโยนแล้วพยักหน้าให้จื่อเถิง “ได้เท่านี้ก็ดีแล้ว ปล่อยให้นางได้พักสักนิดคงจะดีขึ้นบ้าง”
“เจ้าค่ะ” จื่อเถิงถอนหายใจ หากผ่านพ้นเรื่องราววุ่นวายไปได้ นางจะช่วยอิงฮวาฟื้นคืนพลังชีวิตของตนเองกลับมา
จากนั้นศิษย์สองสำนักจึงนั่งจับเข่าคุยกันถึงเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดและหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
“อาจารย์เล่าให้ข้าฟังว่าวันหนึ่งจอมมารจะถือกำเนิดขึ้น หากแต่เขาไม่นึกว่าจอมมารจะเข้ามายุ่งกับภพมนุษย์เช่นนี้” เลี่ยงหวงเกริ่นนำแล้วเล่าต่อ “เจ้าสำนักเกิดนิมิตว่าเทพเซียนในภพสวรรค์จุติมาในแดนมนุษย์เพื่อช่วยเหลือใครบางคน”
“อักขระโบราณที่ปรากฏอยู่บนแขนของเจ้าตรงกับภาพในนิมิตที่อาจารย์เห็น” เฟยฮวากล่าวเสริม “เจ้าอาจจะเป็นเทพผู้มีโชคชะตาเป็นปรปักษ์กับจอมมาร”
“อืม... เขาจึงสั่งให้ข้าพาพวกเจ้าหนีมาให้ไกล แต่ข้าไม่อาจรู้ได้เลยว่าต้องทำอย่างไรถึงจะหยุดหายนะใหญ่หลวงนี้ได้” เลี่ยงหวงส่ายหน้าหมดหนทาง
หนีไปไกลสุดขอบฟ้าแล้วอย่างไร หากไม่มีวิธีรับมือ มิใช่ว่าต้องพ่ายแพ้อยู่ดีหรือ
หยางซีอวิ๋นเอ่ยปากบอกจื่อเถิง “อาจารย์บอกข้าเสมอว่าเจ้ามีพลังเทพซ่อนอยู่ ตามตำรามักกล่าวว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเผชิญด่านเคราะห์ในแดนมนุษย์” เขามองหน้าศิษย์น้อง “หากนั่นเป็นหน้าที่ของเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าคงจะรู้สึกได้ใช่หรือไม่ว่าเจ้าต้องทำอันใดบ้าง”
จื่อเถิงย่นคิ้วสีหน้าจริงจัง เมื่อครู่ที่นางระเบิดพลังเทพออกมาเพื่อช่วยอิงฮวา ผนึกบางส่วนถูกเปิดออกจนนางได้ยินเสียงของคนผู้หนึ่งพึมพำอยู่ในความคิดชั่วขณะ
“เก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตหรือ” จื่อเถิงถามผู้เป็นศิษย์พี่เพราะนางไม่รู้ว่าของสิ่งนั้นคืออะไร
“เมล็ดพันธุ์อย่างนั้นหรือ” เฟยฮวาถามซ้ำ “ตำราในหอสมุดกล่าวไว้ว่าด่านเคราะห์ที่เทพเซียนเผชิญในหนึ่งชีวิตจะให้ผลเป็นเมล็ดพันธุ์ หากสิ่งเหล่านั้นถูกฝังในแก่นวิญญาณ ไม่ว่าเทพเซียนหรือจอมมาร มันจะหยั่งรากลึกลงไปสร้างอารมณ์และปรารถนาทำให้ผู้นั้นอ่อนแอ”
เฟยฮวากล่าวถึงเนื้อความในตำราของสำนักเซียนม่านหยก หากแต่นั่นเป็นตำราที่นางหย่อนเอาไว้ในตอนเป็นเทพบุปผาเพื่อเตรียมให้ตนเองในร่างเซียนสำนักมาพบเจอเพราะคาดการณ์เอาไว้ว่าจอมมารอาจลงมายังภพมนุษย์เพื่อตามหาเทพดารา
จอมมารพาสวีลู่ชิงกลับมายังดินแดนสุญญตาที่เวลานี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นบ้านของเราอย่างที่เขาพูด ที่รกร้างกว้างใหญ่แต่เดิมไม่มีอะไรอยู่ข้างในนั้นเลย กลับมาครั้งนี้สวีลู่ชิงได้เห็นว่าเรือนไม้หลังใหญ่สองชั้นลอยโดดเด่นอยู่ใจกลาง ดอกจื่อเถิงสีม่วงขาวเลื้อยประดับห้อยระย้าสวยงามยิ่งนักพื้นน้ำโดยรอบสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าระยิบระยับ และหากท้องฟ้าสดใสถูกแทนที่ด้วยจันทรา ผืนฟ้าก็จะเต็มไปด้วยละอองดาวกงจื่อเย่เนรมิตสรรพสิ่งขึ้นมาเพื่อรอต้อนรับนางกลับมายังที่ที่เป็นบ้านของเราดินแดนตรงกลางระหว่างภพมารกับภพสวรรค์ บ้านที่พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์“อีนั่ว ข้าฝากให้เจ้าดูแลไข่ใบนั้นให้ดี ยังจำได้หรือไม่” จอมมารถามบุตรชายเพราะเห็นเขามักจะพาลี่เซียนเที่ยวเล่นกับเทพ
นับตั้งแต่การจากไปของบุตรสาวสวีลู่ชิงตกอยู่ในความเศร้าสร้อย ความรู้สึกของนางในเวลานี้เหมือนกระตุ้นความทรงจำบางอย่างที่หลงลืมไปแล้ว สัมผัสได้เพียงว่าครั้งหนึ่งนางคงเคยสูญเสียลูกไปในช่วงเวลานี้กงจื่อเย่คอยอยู่เคียงข้างและดูแลนางไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทำหน้าที่สามีเป็นอย่างดีเพื่อให้นางข้ามผ่านความเจ็บปวดครั้งนี้ไปให้ได้หญิงสาวเอนศีรษะพิงไหล่กว้างของคนข้างกาย เอ่ยพึมพำว่า “ลูกสาวของเราคงจะสุขสบายดีอยู่ที่ไหนสักแห่งใช่หรือไม่”สามีของนางจึงตอบอย่างมั่นใจ “อืม ลูกสาวของเรากำลังเล่นสนุกสนานกับเพื่อนใหม่ของนาง ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวลเลยลู่ชิง”รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว “เจ้าช่างสรรหาคำปลอบใจได้แปลกยิ่งนัก ลี่เซียนกำลังเล่น
เก้าเดือนต่อมาเด็กครึ่งมารคนที่สองได้ฤกษ์ถือกำเนิด เด็กหญิงตัวน้อยมีดวงตาสีม่วงแดงเหมือนบิดา เรือนผมสีขาวคล้ายมารดา หน้าตาน่ารักน่าชังยิ่งนักสวีลู่ชิงมองหน้าลูกสาวพลางนึกถึงอีนั่วจึงเอ่ยปากบอกสามีที่นั่งอยู่ข้างกัน “เจ้าเคยอยากรู้ว่าลูกสาวของเราจะหน้าตาเหมือนผู้ใดใช่หรือไม่”“อืม” กงจื่อเย่ยิ้มกว้าง“นางหน้าตาเหมือนเจ้าไม่มีผิด” สวีลู่ชิงไล้แก้มเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูทันใดนั้นจึงได้ยินเสียงคุ้นเคยร้องเรียกนางจากหน้าบ้าน สวีลู่ชิงเดินไปดูลาดเลาจึงได้เห็นคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจออีกครั้ง“ท่านแม่” อีนั่ววิ่งเข้ามากอดนางด้วยความคิดถึงเพราะถูกกักบริเวณจึง
สามเดือนต่อมาระหว่างที่สวีลู่ชิงกำลังเก็บผักกาดอยู่ในสวนข้างบ้าน นางได้ยินเสียงกุบกับดังมาแต่ไกลผิดวิสัยการเดินทางของคนในหมู่บ้านแห่งนี้จึงรีบออกมาดูใบหน้าของใครบางคนทำให้นางดีใจยิ่งนัก รีบตะโกนบอกใต้เท้าสวีและฮูหยินที่พักผ่อนอยู่ข้างในได้รู้ว่า “ท่านพี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ทุกคนออกมายืนรอรับคุณชายสวีหน้าบ้าน ส่วนกงจื่อเย่เดินมากอดเอวคุณหนูเอาไว้เหมือนอย่างเคยครั้นได้เห็นบุตรชายคนโตใกล้ ๆ ใต้เท้าสวีและฮูหยินจึงได้เห็นว่าร่างกายของเขามีแต่รอยแผลเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเกราะและเสื้อผ้าทว่า คุณชายสวีไม่ได้กังวลเรื่องนั้นแม้แต่น้อย “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลู่ชิง” เขาเอ่ยเรียกทั้งสามคนสีหน้าระรื่น “ข้าล้างมลทินให้สกุลสวีได้สำเร็จแล้วขอรับ”
แม้จอมมารจะคิดหลายอย่างอยู่ในหัวแต่เวลานี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดีนักเพราะเขาต้องใช้โอกาสนี้พาสวีลู่ชิงหนีจากหอเยว่ส่างก่อนที่จะถูกใครจับได้ใครหลายคนคงคิดว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่ร่วมกันทั้งคืน กว่าจะรู้ตัวว่านักโทษกบฏแอบหนีออกไปกับแขกที่ไม่เห็นหน้าค่าตาก็คงทิ้งห่างจากพวกเขาไปหลายชั่วยามแล้ว“หนีอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยถามให้แน่ใจ ความกังวลถาโถมเข้ามาไม่หยุดเพราะเกรงว่าทุกคนจะมีอันตรายไปด้วย“เชื่อใจข้าหรือไม่” กงจื่อเย่ถามแต่เพียงเท่านั้น แววตาของเขาจริงจังเสียจนนางไม่นึกสงสัยอันใดอีกจึงกุมมือเขาไว้แน่นแล้วหนีไปด้านหลังด้วยกันทาสหนุ่มฝืนตัวเองเร่งรีบไปให้ถึงจุดที่เขาผูกม้าเอาไว้ ขาข้างที่เคยบาดเจ็บสร้างความทรมานให้เขาอย่างยิ่งแม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม
สองเดือนต่อมาอีนั่วมาหาสวีลู่ชิงอย่างเช่นเคย ก่อนเข้าไปยังห้องรับรองก็นั่งดูหลิวอิงอิงดีดพิณ ขับร้องเพลงเสียงก้องกังวานด้วยความรื่นเริงใจจนกระทั่งมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งในคำทำนายโชคชะตาของมารดาเจ้าตัวตะลึงงันไม่คิดว่ามนุษย์อย่างเขาจะดูมีรัศมีเหมือนเทพสวรรค์ พลันกวาดตามองรอบตัวต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเยือกเย็นจากเทพชั้นสูง ผู้มีดวงตาสีฟ้า ผมขาวเหมือนผู้เป็นมารดาหากแต่อีนั่วยังทำใจดีสู้เสือคิดว่านั่นคือบิดาที่แปลงกายมาจึงยิ้มตอบกลับไปทักทายเทพวายุหายตัววับมาอยู่ข้างเขาในทันทีจนสมุนปีศาจแข็งทื่อเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าคือสวีต้าเฟิงตัวจริง หลิวอิงอิงที่นั่งอยู่ตรงกลางลานแสดงถึงกับดีดเพลงพิณเพี้ยนไปสองจังหวะคิดจะหนีหายเอาตัวรอดก่อนผู้ใดแต่ถูกแส้บ่วงของเทพวายุตวัดรัดตัวนางเอาไว้