แมวตัวผู้ หลบอยู่ในบ้านลูกกวาด
เยว่จือกำลังดูแลสองแฝดในครัวที่กำลังมีความสุขมากกับอาหารง่าย ๆ ที่ม่านอวี้อันทำให้ พอเด็กสาวเห็นม่านอวี้อันถือของกินเข้ามา เธอจึงกุลีกุจอไปช่วยถือ ขณะนั้นเด็กชายทั้งสองต่างมองตาโต พวกเขาคิดว่าวันนี้คงเป็นปีใหม่หรือวันเด็ก แม่ถึงได้รับของแจกเข้าบ้านเยอะแยะไปหมด
“มัมมี้ ให้น้องช่วยไหม” เซียงเจียวยิ้ม ดวงตากลมโตของเขาเป็นประกาย
“ไม่เป็นไรเจียวเกอ กินข้าวให้เรียบร้อย เวลาเคี้ยวอาหารต้องไม่พูดนะจ๊ะ เดี๋ยวติดคอ”
เซียงเจียวพยักหน้ารับคำม่านอวี้อัน ส่วนผิงกั่วหันมามองเธอ สายตาเขาดูมีพิรุธอยู่สักหน่อย
“เอ ผิงเกอ ไม่ชอบไข่ข้นกับมันฝรั่งบดเหรอลูก กินหมี่ผัดกับไก่ย่างไหม ป้าลี่เอามาฝาก”
เธอบอกลูกคนโตแล้ววางจานอาหารที่ลี่ฮุ่ยเอามาให้ลงบนโต๊ะ เด็กชายไม่ตอบแต่หันไปมองไก่ย่าง พอเห็นน้องชายหยิบขาไก่ขึ้นกัด เขาจึงเลือกชิ้นที่ชอบแล้วนั่งกินเงียบ ๆ ผิงกั่วของเธอช่างเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย
“มาดามเรียกอาหารเข้าบ้านได้จริงด้วย นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ” เยว่จือถาม เด็กสาวตื่นเต้นไม่แพ้ฝาแฝด
ม่านอวี้อันไม่ใช่เทพเซียนหรือนางฟ้านางสวรรค์ เธอมาที่นี่โดยไม่มีลิ้นชักมหัศจรรย์ สัตว์เทพช่วยเนรมิตอาหาร หรือห้องเก็บอุปกรณ์ต่างภพที่สามารถหยิบฉวยเครื่องปรุงต่าง ๆ ได้ดั่งใจนึกอย่างหนังสือที่เคยอ่านเมื่อตัวละครเอกย้อนเวลามาในโลกอื่น เธอก็แค่คนธรรมดา ที่จะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองอดอยากและหิวจนเป็นลมตาย ซึ่งตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องปากท้อง เธอย่อมหาทางเอาตัวรอดให้ได้ เมื่อไม่มีเงิน จึงต้องใช้สมองกับความรู้ที่มีในตัวอย่างเต็มที่
“ฉันก็ใช้ฝีมือและการเล่นงิ้วเล็ก ๆ น้อย ๆ บางทีเราก็ควรจะหัดร้องรำให้เกินจริงสักหน่อย จำไว้นะเยว่จือ โลกไม่โหดร้ายเกินไป ขอเพียงเธอลุกขึ้นสู้ด้วยสมองและสองมือ ถ้าล้มก็ลุกขึ้นใหม่ ถ้าล้มอีก ถึงเสียน้ำตาหรือเจ็บหนักก็ต้องลุกให้ได้ด้วยสองขาตัวเอง!”
เยว่จือฟังคุณผู้หญิงของตนอย่างตั้งใจ นับแต่อีกฝ่ายฟื้นขึ้นจากการนอนซมเพราะพิษไข้ ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
“แต่ยังไงมาดามอย่าลืมว่าอีกสามวันเฮียถังจะมากินข้าวเย็นที่ร้านพร้อมพี่อิง น้องสาวเขา”
“ได้สิ ฉันจะเตรียมพรมแดงไว้ต้อนรับเลย หมอนั่นกล้ามาทำให้เธอเจ็บตัว แถมยังคิดจะมาเอาเปรียบกันอีก ยังไงงานนี้ คงได้เลือด! เอ๊ย ได้อิ่มจนพุงกาง และเขาจะต้องเสียน้ำตาให้เธอได้เห็น!”
เด็กสาวได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ประกอบกับสีหน้าสีตาของม่านอวี้อันที่ชวนให้ฮึกเหิม เธอเลยยิ้มออก
“เค้กกล้วยหอมนั่น มาดามคิดว่าพวกเขาจะชอบไหมคะ” เด็กสาวหมายถึงกลุ่มแม่บ้านที่นั่งคุยกันจ้อกแจ้กบริเวณร้านอาหารหน้าบ้าน
“ฉันมั่นใจในฝีมือของตัวเอง แต่อาจไม่เต็มสิบ เพราะของไม่ครบ อีกอย่างต้องบอกว่าฉันพึ่งฟื้นไข้ ลิ้นเลยรับรสชาติแปลก ๆ อยู่สักหน่อย”
“เอ๋ ถ้าอย่างนั้น ป้าลี่จะโม่โวยวายหรือมาดาม”
“อย่าใส่ใจ อีกฝ่ายลิ้นจระเข้ กินอะไรก็คงถูกปากแหละ แต่ว่า... ถ้าเธอรู้ว่าไม่ใช่สูตรตัวเอง คงหาเรื่องจับผิดฉันจนได้”
“แย่จริง บอกตามตรง หนูกลัวแทนมาดามยังไงไม่รู้ โดยเฉพาะเมียเถ้าแก่โจว ผู้หญิงคนนั้นชอบยุ่งเรื่องคนอื่น ป้าลี่ว่าร้ายแล้ว ยายแม่มด โรส ยิ่งไว้ใจไม่ได้เลย”
ม่านอวี้อันพยักหน้าตามสิ่งที่เยว่จือเอ่ย และดีใจอยู่ลึก ๆ ที่อย่างน้อยเด็กสาวก็รู้จักคิดว่าควรระวังตัวจากโรส เมียเถ้าแก่โจว
“เอ่อ มาดามคะ” เยว่จือดึงแขนม่านอวี้อัน พาเธอออกห่างจากฝาแฝดที่กำลังสนุกสนานกับการกินไก่ย่างกับผัดเส้นหมี่ใส่ไข่ของลี่ฮุ่ย
“ตอนที่พาน้องผิงเข้ามาในครัว หนูเห็นมือข้างหนึ่งของผิงเกอกำห่อขนมไว้แน่น!”
“ขนม แล้วทำไมเหรอ”
“คือ... มาดามไม่ได้ซื้อของเข้าบ้านเป็นเดือนเพราะต้องประหยัดเงิน อีกอย่างขนมแบบนั้น หนูเห็นติดป้ายโฆษณาที่ร้านพี่ข่ายว่ามันทำขึ้นเป็นพิเศษต้อนรับการแข็งขันกีฬา ราคาเกือบสองดอลลาร์เลยนะคะ”
เยว่จือกล่าวถึงขนมโกโก้แท่ง ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬาระดับโลกครั้งนี้ ทั้งยังออกผลิตภัณฑ์มาอย่างหลากหลาย รวมถึงขนมที่เด็กแฝดเพิ่งได้ลิ้มรสด้วย
“หมายความว่า ผิงเกอขโมยเงินในบ้านไปซื้อใช่ไหม” ม่านอวี้อันถาม ถึงแม้ราคาสองดอลลาร์ในยุคของเธอ คงจะซื้อไข่เบอร์ศูนย์ได้แค่ฟองเดียวเท่านั้น ทว่าหากเป็นยุค 80s ราคาดังกล่าวนั้นเท่ากับโจ๊กห้าสหายขึ้นเหลาสักชามหรือข้าวผัดไข่รวมมิตรทะเล
“ไม่ใช่ นายน้อยผิงไม่มีนิสัยแบบนั้น และถึงจะมี เขาคงไม่รู้จะหาเงินจากในบ้านได้ยังไงค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ตอนที่ฉันนอนซมเพราะพิษไข้ พวกเขาออกไปโมยของบ้านอื่นใช่ไหม” น้ำเสียงม่านอวี้อันสูงผิดปกติ เธอไม่คิดว่าความจนและความหิวจะสามารถบีบบังคับให้เด็กน้อยทั้งสองริเป็นโจรตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้
เยว่จือส่ายหน้าและถอนหายใจราวกับมีเรื่องเครียดหนัก
“เอาละ เธออยากจะบอกอะไรกันแน่”
เยว่จือสูดลมหายใจลึก เธอขนลุกซู่ขึ้นมาโดยพลัน ใจคอไม่สู้ดี ภาพดวงตาคม ๆ คู่นั้นที่มองมาในยามที่เธอเผชิญหน้ากับแก๊งมังกรซิ่งลอยเข้ามาในหัว
“เอ่อ ‘เขา’ คงแอบย่องมาหานายน้อยทั้งสองคนแน่นอนค่ะ”
“เยว่จือ เธอกำลังจะทำให้ฉันกรี๊ดลั่นครัวรู้ไหม เลิกอมพะนำ และพูดให้รู้เรื่องเสียทีว่า ‘เขา’ ที่พูดถึงเนี่ยเป็นใครหา!”
ม่านอวี้อันเกือบหมดความอดทน จึงเอ่ยเสียงดังอยู่สักหน่อย
“เขา... ก็คือกู๋กุ่ยไงคะ คงแอบเอาขนมมาให้นายน้อยทั้งสองคนตอนที่หนูไม่อยู่บ้าน ดีไม่ดีแมวตัวโตนิสัยเสียนั่นอาจกำลังหลบอยู่ในบ้านหลังนี้แน่ ๆ”
ได้ฟังคำนั้น ม่านอวี้อันจึงช็อก แล้วความรู้สึกในห้องนั่งเล่นเมื่อครู่ก็ย้อนคืนกลับมา ยามนั้นเธอสัมผัสได้ว่ามีเงาคนอยู่ในห้องดังกล่าว!
จากนั้นม่านอวี้อันก็รีบตัดเค้กกล้วยหอมให้เป็นชิ้นด้วยมือที่สั่นอยู่สักหน่อย ตัดเสร็จจึงห่อด้วยกระดาษแก้ว บอกให้เยว่จือนำไปแจกสมาคมแม่บ้านข้างนอกคนละเท่า ๆ กัน และกำชับว่าให้นำไปแช่ตู้เย็นสักสองสามชั่วโมง หรือให้ดีที่สุด พรุ่งนี้เช้าค่อยกินกับกาแฟหรือนมอุ่น ๆ จะได้รับรสชาติที่เยี่ยมยอดแบบต้นตำรับ เสร็จแล้วเธอจึงกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่น ในมือถือไม้นวดแป้งอันใหญ่ไปด้วย หญิงสาวได้กลิ่นกายผู้ชาย กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่ และน้ำยาโกนหนวดที่ผสมกลิ่นเฉพาะตัว ความรู้สึกแรกคือขนลุกซู่ เหตุใดเธอจึงคุ้นเคยกับสัมผัสลึกซึ้งนี้เหลือเกิน ราวกับเป็นกลิ่นกายของผู้ชายที่อยู่เคียงข้างม่านอวี้อันมาโดยตลอด!
“นั่นใคร หลบอยู่หลังตู้ใช่ไหม ออกมานะ ไม่อย่างนั้นฉันจะตัดฟาดให้สลบ จากนั้นก็ตัดหนอนน้อยให้ขาด แล้วโยนให้เป็ดกิน!”
ม่านอวี้อันตวาดเสียงดัง และมันทำให้เธอขจัดความตื่นเต้นลงไปได้เปราะหนึ่ง จากนั้นจึงสืบเท้าไปยังเบื้องหน้า ยามนี้เธอรู้เพียงแต่ว่าเธอต้องเป็นเสาหลักให้ครอบครัวเล็ก ๆ ซึ่งหากไม่ลุกขึ้นสู้หรือมัวแต่ขี้ขลาด เธอก็คงต้องอยู่ในโลกใบนี้อย่างหวาดระแวงไปตลอด และกู๋กุ่ยของลูกชายเธอ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนดี หรือผีร้ายจอมรังควาน ม่านอวี้อันต้องคุยกันให้รู้เรื่อง
แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเดินตรวจทั่วห้องหนังสือแล้ว ม่านอวี้อันกลับไม่พบใครสักคน และแม้ว่าผลออกมาเช่นนั้น แต่เธอกลับไม่สบายใจเอาเสียเลย
“อันเอ๋อร์ที่ผ่านมา แม่ไม่น่าเป็นตัวอย่างไม่ดีแก่หนูเลย ต่อไปไม่เอานะ อย่าเท้าสะเอว ตีหน้ายักษ์ และแยกเขี้ยวขู่คนอื่นอีก ดูสิพวกเขาเหมือนหมาจนตรอกแค่ไหน ไม่มีทางสู้ลูกได้เลย” ม่านอวี้อันหันมาทางลี่ฮุ่ย และตอบว่า “สบายใจได้ค่ะ ฉันแค่ทำทุกอย่างเพื่อให้พวกเขารู้ว่า คุณแม่ลูกแฝด ที่ชื่ออวี้อันไม่ได้อ่อนแอ ใครจะมารังแกไม่ได้เด็ดขาด ที่สำคัญเมื่อกี้ฉันไม่ได้จำมาจากที่แม่เคยโวยวายใส่ ทั้งหมดมันออกมาจากความรู้สึกข้างในต่างหากค่ะ” “ยังไงก็เถอะ ห้ามเลยนะ ถ้าต้องจัดการคนพวกนี้อีก ให้แม่กับเพื่อนๆ ไล่ดีกว่า อันเอ๋อร์จะได้ไม่ต้องเก็บเรื่องไร้สาระมาหนักหัวเปล่าๆ ลูกสมควรทำอาหาร และดูแลหลานให้แม่ดีที่สุด” ลี่ฮุ่ยว่าอย่างเป็นห่วง “ขอบคุณนะคะ เอาเป็นว่าลูกสาวคนนี้ จะพยายามเชื่อฟังให้มากที่สุด” ลี่ฮุ่ยส่ายหน้า และเอ่ยว่า “ไม่ใช่พยายามเชื่อฟัง อันเอ๋อร์ต้องทำตามที่แม่ขอร้องรู้ไหม” หญิงวัยกลางคนเอ่ยจบ หล่อนก็พาลูกสาวบุญธรรมกลับเข้าไปในงาน เป็นตอนนั้นที่ประทัดถูกจุดขึ้นนับพันดอกเพื่อแสดงความยินดี ในงานมงคล ผิงกั่ววิ่งมาหาม่านอวี้อัน และยิ้มกว
“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ คุณนี่เอง ลูกชายนายท่านหยวน มีข่าวว่าตายในกองเพลิงหาศพไม่เจอ นั่นคงเป็นการกุเรื่องสินะ คงกลัวคนจะรู้ว่าคุณเป็นต้นเหตุทำให้พี่ชายตาย!” แจ็คสันไม่ได้หลงกลสิ่งที่ม่านหงกล่าว ซึ่งเขาไม่ได้ทำให้ปีเตอร์เสียชีวิต ทุกอย่างเป็นอุบัติ มันเกิดขึ้นจากการก่อการร้ายครั้งใหญ่ และหลังจากเขาบาดเจ็บหนัก ก็นอนสลบไปหลายเดือน เมื่อฟื้นขึ้นก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนสกุลหยวนอีก นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่า ครอบครัวทำธุรกิจมืด และเงินที่ได้มาไม่บริสุทธิ์ “ดูเหมือน คุณจะรู้หลายสิ่ง เลยคิดเอาเรื่องนี้มาบีบบังคับผมกับภรรยา แผนตื้นเขินแบบนี้ ใช้ไม่ได้หรอก อีกอย่างผมนามสกุลหยวนก็จริง และเรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถึงอย่างนั้นผมได้เลือกใช้ชีวิตเรียบง่ายกับภรรยา และลูกๆ เรื่องไหนที่เป็นอดีต ไม่ขอรื้อฟื้น” ม่านหงยิ้มเยาะ แจ็คสันช่างเป็นคนขี้ขลาด เขาเป็นถึงลูกชายคนกลางหยวนเฉาคัง ทว่ามักน้อย ไม่กล้ากลับตระกูลใหญ่ นั่นเพราะแต่เดิมก็อยู่หลังพี่ชายคนโต คอยหลบเลี่ยงปัญหา ทว่าลูกชายแจ็คสัน มีประโยชน์ต่อม่านหงในยามนี้ เด็กฝาแฝดสองคนนั้นต้องหาเงินให้เขาเป็นกอบเป็นกำ “ถึงอย่างไร ทายาทของนา
ฝ่ายลี่ฮุ่ยชิมโดนัทไปสองชิ้นเล็ก และหล่อนทึ่งทีเดียว “ของแบบนี้ จะมาทำกินกันแค่ในบ้านไม่ได้ แม่ว่าใช้เป็นเมนูพิเศษ เลยดีไหม ทำป้ายขายตามไฟแดง หรือทำเพิงเล็กๆ ติดถนนให้คนจอดซื้อได้สะดวกๆ เราเอากำไรน้อยๆ ขายจำนวนมาก เพื่อสร้างอาชีพให้คนอื่น” ม่านอวี้อันพยักหน้าเห็นด้วย ซึ่งความตั้งใจเธอเป็นเช่นนี้ อาหารที่ทำราคาต้องจับต้องได้ เหมาะกับคนหลากหลายวัย พอหญิงสาวหันไปมองแจ็คสันที่อมยิ้มในสีหน้า เธอก็เอ่ยถาม “บอกได้หรือยังคะว่า ทำไมถึงให้ฉันเป็นเหมือนขนมโดนัท” “อ่อ เพราะเมียจ๋าของผัว น่ารักแสนดีและหอมหวาน อีกอย่าง...ใครอยู่ใกล้ก็มีความสุข เหมือนโดนัทไง ตัวกลมๆ มีรูปตรงกลาง ดูแล้วยิ้มได้ตลอด” ม่านอวี้อันฟังสิ่งที่เขาพูดแล้วนึกแปลกใจ “ถึงจะพิลึกอยู่สักหน่อย แต่ฉันถือว่าเหล่ากงชมนะคะ แล้วนี่สองแฝดอยู่ไหน” เธอถาม และมองหาลูกชาย ก่อนต้องนิ่งค้าง เมื่อเห็นเซียงเจียววิ่งร้องไห้จ้าเข้ามาเธอ ส่วนผิงกั่วยืนขวางแขกที่ไม่ได้รับเชิญเอาไว้ ม่านหงไม่อยากเชื่อว่าจะได้เห็นความสำเร็จของหลานสาว ส่วนถานเซียะในวันนี้นั่งรถเข็น มีพยาบาลช่วยดูแล พร้อมเ
เรื่องชวนขายหน้าของเหล่ากง เนื่องจากการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศที่เหลืออีกสามทีมจะจัดแข่งขันในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ลี่ฮุ่ยจึงตั้งใจจัดการเลี้ยง ต้อนรับม่านอวี้อัน และยังเปิดโอกาสให้แจ็คสันแสดงตัวว่า เขาคือสามีของหญิงสาวด้วย “เหล่ากงไม่ต้องทำอย่างนี้ก็ได้” ม่านอวี้อันบอกคนรัก “ตอนนี้พี่เหลือคนในครอบครัวคือยายหวัง อยากให้แกมีความสุขอีกสักครั้ง และเราก็จดทะเบียนกันให้ถูกต้อง เป็นผัวเมียตามกฎหมาย” “ถ้าอย่างั้นตามใจเลยค่ะ แล้วเหล่ากงจะบอกยายหวังหรือไม่คะ ว่าไม่ใช่ลูกชายของแก” แจ็คสันไม่เสียเวลาคิด ในอดีตที่ผ่านมา เขาเคยบอกยายหวังแล้วว่า ตนไม่ใช่ลูกชาย รวมถึงพยาบาลและคุณหมอหลายคนที่ใช้เหตุผลกับแก ทว่ายายหวังกลับไม่ได้สนใจสิ่งนั้น ดูเหมือนว่าลึกๆ หญิงชรารับรู้ความจริงเรื่องนี้ แต่แสร้งว่า แจ็คสันเป็นลูกชายของตนที่จากไปในเหตุการณ์ร้ายแรง อีกทั้งแจ็คสันอยากตอบแทนน้ำใจเหรินซือห่าว ที่ช่วยเขาให้รอดพ้นจากความตาย “อาหมวยที่รัก...” ชายหนุ่มทอดเสียงหวานทุ้ม ดวงตาคมของเขาก็ทอแสงอ่อนถึงเธอ จึงช่วยไม่ได้ที่ม่านอวี้อันจะเก้อเขินอย่างหนัก “เอ มันใช่เวล
จานอาหารสุดท้ายดูเหมือนทุกทีมจะมีการเสิร์ฟอาหารที่ใช้ลูกเล่นต่างกันไป ทั้งสาวสวยใส่รองเท้าสเก็ตซ์ บริกรหนุ่มๆ ถีบรถจักรยานล้อเดียว ลี่ฮุ่ยมองม่านอวี้อันอยู่อย่างนั้น แน่นอนหล่อนเชื่อมั่นว่าเค้กต้องอร่อย แต่อดไม่ได้ที่อยากให้โต๊ะสีน้ำเงินมีสีสันกว่าที่เป็นอยู่ “เอาอย่างไรดีล่ะ แม่หมั่นไส้พวกนั้นเหลือเกิน” ม่านอวี้อันแต่เดิมเธอชอบทำอาหารเพียงอย่างเดียว ทว่าในโลกเก่า ต้องต่อสู้กับคู่แข่งมากมาย การไลฟ์ขายของที่เธอเคยทำนั้น นับว่าสร้างความสนุกให้ผู้คนเสมอ ระหว่างขายของจึงมีทีมนักเต้น นักดนตรีคอยเรียกลูกค้าตลอด “แม่ไม่ต้องห่วง เหล่ากงกับสองแฝด คงไม่ปล่อยให้เรายืนเหงาๆ แน่นอน” “แจ็คสันกับผิงเกอ เจียวเกอนั่นหรือ...ให้หลานฉันมาช่วยยกของ เสิร์ฟของอะไรหนักๆ ไม่ดีแน่” ม่านอวี้อันหัวเราะน้อยๆ และตอบลี่ฮุ่ย “สองแฝด แค่ยิ้ม โบกมือ เต้นนิดๆ หน่อยๆ คนก็เทคะแนนให้เราแล้วล่ะค่ะ อย่าลืมว่าพวกเราคือคนในถนนเนี่ยอิน ฉะนั้น ขายความเป็นตัวตนของเราดีที่สุด” ลี่ฮุ่ยยังไม่เข้าใจ แต่เยว่จือกับเจ้าอิงเตรียมตบมือรอแล้ว เพราะเห็นสองแฝดถูกจับใส่น่ารักเป็นหมีกั
เมื่อทุกทีมส่งอาหารขึ้นโต๊ะเรียบร้อย ก็ยังไม่ได้มีการประกาศผลคะแนน เนื่องจากจะรวมคะแนนทั้งหมดกับของหวาน จากนั้นคัดเพียงสามทีมเข้าไปแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ลี่ฮุ่ยได้ข้อมูลจากคนของเธอที่เป็นหนึ่งในกรรมการทั่วไป มาแจ้งผลว่า รสชาติอาหารแต่ละทีมล้วนมีข้อดีกับข้อด้อยต่างกันไป “ทีมสีเขียวหมึกช็อตนั้นอร่อย และเนื้อหมึกหวาน แต่คนเกือบครึ่งเลือกที่จะไม่รับประทาน ส่วนที่โดดเด่นตีคู่มากับหมูสะเต๊ของเราก็คือ ทีมสีแดงจากเชฟสองดาว ฝ่ายนั้นทำซาโมซ่าซอสผักชี” “พวกเขาทำการบ้านมาดี ผักชีมีกลิ่นเฉพาะตัว แล้วนำมาทำคล้ายซอสเพลสโต้ แบบนี้คงได้คะแนนไม่น้อย” ม่านอวี้อันไม่ได้ชิม จานดังกล่าว แต่เธอเห็นตอนทีมสีแดงเตรียมจัดเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ “จริงอย่างที่อันเอ๋อร์บอก ซอสผักชีทำง่าย เครื่องปรุงไม่ยุ่งยาก แต่กลับเสริมให้ซาโมซ่าอร่อยเข้าไปอีก” เยว่จือกับเจ้าอิง ไม่รู้จักซาโม่ซา ฝ่ายโรสที่เคยกินจึงบอกว่า “มันเป็นแป้งทอดไส้หมูสับ หรือไก่สับปรุงให้รสจัดจ้านนิดหน่อย ปกติจิ้มกับซอสมะขาม หรือซอสมะเขือเทศ แต่บางครั้งฉันเห็นซาโมซ่าเป็นไส้ผลไม้ เช่นกล้วยหอม หรือไส้ฝักทอง”