"นะ...นี่ท่านองครักษ์ ไยจึงหาญกล้าทำเช่นนี้กัน!"
คิ้วเข้มเลิกขึ้นภายใต้หน้ากาก ฝ่ามือหยาบกร้านช้อนปลายคางโค้งมนขึ้น ฉงเสว่ปิงใจเต้นโครมครามดวงตาของนางหลุกหลิก กระทั่งพยายามผละกายออกห่างเขา ทว่าอ้อมแขนแกร่งกลับยิ่งรัดแน่นดุจอสรพิษร้ายพร้อมเขมือบอาหาร
"ทะ...ทำอะไร ปล่อยข้านะ อยากหัวขาดรึ"
"หึ!" ชายหนุ่มโน้มตัวลงเชื่องช้าเขาไม่แยแสเสียงต่อว่าเมื่อครู่แม้เพียงนิด ลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดใบหน้าเกลี้ยงเกลาเสียจนขนอ่อนลุกซู่ ฉงเสว่ปิงใจเต้นโครมคราม จากท่าทีต่อต้านแปรผันเป็นแข็งทื่อดั่งหินผา เปลือกตาบางหลับลงทันควัน
เสียงทุ้มกล่าวกระซิบชิดใบหู "กำลังคิดว่าข้าจะทำอันใดหรือ…แล้วเมื่อครู่เจ้าถามเองไม่ใช่หรือว่าข้ารู้สึกเช่นไร"
เสียงนี่ ไยจึงคุ้นนัก
ฉงเสว่ปิงเบิกตาโพลง เมื่อได้ยินสุ้มเสียงอันคุ้นเคย "ท่านเป็นใครกันแน่"
"จำไม่ได้แล้วหรือ ก่อนนั้นยังร้องเรียกหาเพียงข้า ข้าอยากไปเจ้าก็ยังรั้งข้า ยามนี้คิดถึงข้าจนยืนเหม่อเพียงลำพัง"
มือเล็กพยายามผลักแผงอกหนั่นแน่นออกห่าง ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ่งกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น ยิ่งผลักยิ่งแนบชิด ฉงเสว่ปิ
ผืนนภาเบื้องบนทอประกายแสงสีเหลืองทองอำไพในช่วงเวลาอาทิตย์ใกล้อัสดง เรือนร่างงามสง่าหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี ยืนเด่นตระหง่านท่ามกลางมวลบุปผา สภาพอากาศรอบด้านโอบล้อมด้วยหุบเขาเรียงรายสูงต่ำลดหลั่นเป็นทิวแถวสุดลูกหูลูกตา กลิ่นหอมจรุงของดอกไม้บานสะพรั่งช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ยามนี้พวกเขาออกมาล่าสัตว์เที่ยวชมบรรยากาศธรรมชาตินอกราชวังเพื่อคลายความเหนื่อยล้า ยิ่งได้ทอดสายตามองสิ่งสวยงามเบื้องหน้าก็ยิ่งทำให้รู้สึกมีความสุขนัก "อ้ายเฟยเจ้าชอบหรือไม่" เสียงทุ้มกระซิบถามด้วยความอบอุ่น ร่างสูงยืนโอบกอดสตรีร่างบอบบางจากทางเบื้องหลัง "ชอบเพคะ งดงามยิ่งนัก" ริมฝีปากสีกุหลาบคลี่ยิ้มอ่อนโยน "อ้อ...เสด็จพี่เข้าไปด้านในกันเถิดเพคะ ยามนี้มู่หลินน่าจะเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว" ฉงเสว่ปิงเหลียวหน้ามองคนเบื้องหลัง "หืม...เตรียมอันใดหรือ" "อาหารสุดพิเศษอย่างไรเล่าเพคะ" ไต้ฮ่าวเฉินขำพรืด "เอ่อ...อ้ายเฟย เจ้าอย่าบอกว่าเจ้าเป็นคนลงมือทำเอง" เพราะเขาได้เคยชิมฝีมือการทำอาหารของชายารักมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แม้ปากจะบอกอร่อยมากล้นแต่ทว่าอาหารเหล่านั้นบางคราก็อร่อยจริง ทว่าบางครารสชาติกลับประหลาดเหลือแสน คงมีเพียงเข
"เฮือก!...ฮ่าวเฉิน!" ร่างบางดีดกายผึง "องค์หญิงตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ" มู่หลินวิ่งรี่เข้ามา นางยอบกายมองดวงตาแดงก่ำของผู้เป็นนายก็พลันตื่นตระหนก "องค์หญิง ไยทรงกันแสงเล่าเพคะ ตาบวมหมดแล้วอีกเดี๋ยวเข้าพิธีอภิเษกจะไม่งามนะเพคะ" ฉงเสว่ปิงงุนงง คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันแทบผูกเป็นปม อกด้านซ้ายพลันเจ็บแปลบขึ้น "จะ...เจ็บ!" "องค์หญิง เกิดอันใดขึ้นเพคะ" มู่หลินเร่งรุดเข้าประคอง ฉงเสว่ปิงผินหน้ามอง จากนั้นเอ่ยถามด้วยแววตาเศร้าหมอง "มู่หลิน ที่เจ้าบอกว่าข้าจะอภิเษก ข้ากำลังจะอภิเษกกับผู้ใดหรือ" มู่หลินเบิกตากว้าง "ไยองค์หญิงจึงถามเช่นนั้นเพคะ" ฉงเสว่ปิงแหงนมองรอบด้าน ยามนี้นางอยู่ที่ตำหนักของตนเอง หรือว่านางจะต้องเข้าพิธีอภิเษกกับตู้เหยียนเฟิงจริง ๆ ปรโลกไม่เปิดประตูต้อนรับนางอีกแล้วงั้นหรือ ฉงเสว่ปิงรู้สึกชินชาแต่ทว่าการย้อนมาหนนี้ช่างปวดใจกว่าครั้งก่อน ๆ ร้อยเท่าพันทวี หากนางได้ย้อนกลับมาแล้วเขาเล่า ยามนี้เป็นเช่นไร ไต้ฮ่าวเฉินยังคงได้รับโอกาสกลับมาอีกครั้งเช่นนางหรือไม่ ความรู้สึกเจ็บแปลบราวกับเข็มแหลมคมทิ่มแทงข้างในใจยังติดตรึงอยู่ในความรู้สึก มู่หลินเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้วเป็นนกแก้วนกขุนท
ฉงเสว่ปิงร่ำไห้ครวญสะอื้นน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ไต้ฮ่าวเฉินเริ่มขยับแล้ว บุรุษกำยำสวมเครื่องแต่งกายมิดชิดนายหนึ่งกระชากกายของเขาให้ยืนขึ้น บนหน้าอกของเขามีลูกศรดอกหนึ่งปักอยู่ ดวงตาที่เคยเย้าแหย่นาง ยามนี้บวมเป่ง ไต้ฮ่าวเฉินพยายามรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายที่มี เอ่ยเสียงสั่นเครือ"อ้ายเฟย ไม่ต้องร้อง ขะ...ข้าไม่เป็นไร"ฉงเสว่ปิงส่ายหน้าทั้งที่น้ำตาหลั่งรินไม่หยุด ยามนี้นางเสียใจประดุจถูกตอกตะปูเข้าหัวใจดอกแล้วดอกเล่า"ชินอ๋อง ยังกล้าบอกไม่เป็นไรอีกหรือ สภาพของท่านตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ยังเอ่ยวาจาปลอบใจนางอีกงั้นรึ" ตู้เหยียนเฟิงขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน ยิ่งคำเรียกที่ไต้ฮ่าวเฉินเปล่งออกมาก็พลอยปะทุจุดเดือดของความโมโหให้ทะยานสูงขึ้นไต้ฮ่าวเฉินกลับเผยรอยยิ้มหยามหยันชิงชัง หาได้เกรงกลัวเขา "เจ้าทำเช่นนี้นอกจากไม่ได้ใจของนางแล้ว เจ้ายังจะได้รับความเกลียดชังจากนาง ชีวิตนี้ของเจ้าอย่าหมายจะมีความสุข"ตู้เหยียนเฟิงหัวเราะขัน "หากท่านไม่อยู่เพียงหนึ่ง นางก็รักข้า รักข้าเพียงคนเดียว"ฉงเสว่ปิงร้องไห้โฮ นางไม่อาจระงับสติได้แล้ว "ทะ...ท่านพี่เหยียนเฟิง ท่านกำลังเสียสติ ข้ารักท่านใช่ ข้ารักท่านประดุจพี่ชายแท้ ๆ
"ปิงเอ๋อร์ ปิงเอ๋อร์" เสียงทุ้มดังมาจากธรณีทางเข้า ฉงเสว่ปิงงัวเงีย"เพคะ" นางลุกขึ้นยืนพร้อมจัดเผ้าผมและเครื่องแต่งกายเล็กน้อยอยู่ ๆ ความทรงจำเมื่อคืนก็แล่นเข้ามา กายของนางแข็งทื่อ มองร่องรอยของการร่วมสวาทก็พลันใบหน้าแดงเรื่อ ทว่าเมื่อเหลียวมองข้างกายไต้ฮ่าวเฉินกลับหายไปที่ใดเสียแล้ว ร่างบอบบางยืดกายยืนขึ้น นางคิดว่าอีกฝ่ายคงมีธุระต้องไปสะสางเป็นแน่ ยามนี้มู่หลินก็อยู่ห้องของตน ฉงเสว่ปิงจึงตัดสินใจสาวเท้าเข้ามาเปิดประตูด้วยตนเอง ทันทีที่พบว่าผู้ใดมาเยือน ฉงเสว่ปิงถึงกับผงะเก็บอาการไม่มิด ตู้เหยียนเฟิงหรี่นัยน์ตามองด้วยความแคลงใจ "ปิงเอ๋อร์ไม่สบายหรือ วันนี้เจ้ามีนัดกับพี่ ไยจึงยังไม่ออกไป" "เอ่อ" ฉงเสว่ปิงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก วันนี้นางคิดว่าคงต้องตะล่อมบอกยกเลิกงานอภิเษกกับเขา แต่ว่ายามนี้ไต้ฮ่าวเฉินไม่อยู่ นางไม่อาจกระโตกกระตากได้ ตู้เหยียนเฟิงมองท่าทีกระอึกกระอักของอีกฝ่าย เขาพลันยกมือขึ้นหมายแตะหน้าผากคนเบื้องหน้า ทว่าฉงเสว่ปิงกลับผงะถอยหลัง ฝ่ามือกว้างจึงเก้อค้างกลางอากาศอยู่เช่นนั้น ฉงเสว่ปิงใจเต้นกระหน่ำ ความหวาดกลัวผุดขึ้นเป็นริ้วเมื่อฉุกนึกถึงสิ่งที่เขากระทำ มือไม
บทสนทนาทุกอย่างสิ้นสุดลงแล้ว บุรุษเบื้องบนแทบอดรนทนไม่ไหวเขาก้มลงซุกไซ้ สูดดมความหอมไปตามผิวเนียนละเอียด ฝ่ามือหยาบกร้านลูบไล้เข้าไปด้านในอาภรณ์เชื่องช้า จากนั้นจึงค่อย ๆ ปลดออกทีละชิ้น เขาประคองกายคนตัวเล็กขึ้นนั่งประจันหน้า ฉงเสว่ปิงมิได้ขัด ต่างฝ่ายต่างปลดอาภรณ์ให้กันด้วยความเร่งร้อน พลางประกบปากบดจูบอย่างดูดดื่ม ความปรารถนาและความโหยหาถึงสามภพสามชาติกำลังถูกเติมเต็มอื้อ...กายกำยำและเรือนร่างบอบบางเปลือยเปล่า สองแขนเรียวโอบรอบคอของเขาเอาไว้ ริมฝีปากผละออกจากกันจนเกิดเป็นเส้นใยสีเงินยืดเยิ้ม ไต้ฮ่าวเฉินไม่รั้งรอให้ปากของตนว่างมากนัก เขาขบงับประทับรอยสีกุหลาบไล่ลงไปตามลำคอขาวผ่อง ลากลิ้นเลียละเลียดชิมจนถึงปทุมเนื้อนวล ปากร้อนครอบงับพลางระรัวลิ้นหยอกล้อตุ่มไต่สีชมพูระเรื่อ มืออีกด้านเคล้นคลึงยอดถันฝั่งที่ยังว่างด้วยความมัวเมาใบหน้างามแหงนเงยไปเบื้องหลัง เสียงใสครวญครางด้วยความเสียวกระสัน แม้ปากนางมักต่อว่าเขาไม่ได้เรื่อง แท้จริงแล้วลีลาของชินอ๋องดุเดือดแทบขาดใจต่างหาก สัมผัสที่นับว่าห่างหายไปนานหวนกลับมายังที่เดิม ความสยิวแล่นไปทั่วแผ่นหลังและท้องน้อยไต้ฮ่าวเฉินโถมกายดันร่างเล็กให
ร่างบอบบางพยายามยันกายลุกทว่าข้อมือทั้งสองด้านถูกฝ่ามือกว้างกดติดไว้กับฟูกนอนจนไม่อาจขยับ นางเหลือบมองใบหน้าแดงก่ำของบุรุษด้านบนก็พลอยรู้สึกใจหวิว จังหวะหายใจของเขาบ่งบอกว่าไม่สามารถควบคุมไฟปรารถนาที่ลุกโชติช่วงไว้ได้เสียแล้ว "เจ้าบอกจะลงโทษข้าไม่ใช่หรือ ไยเปลี่ยนใจง่ายนัก" เสียงทุ้มออดอ้อนระคนแหบห้าว "แต่ว่ายามนี้ท่านและข้ายัง..." ความร้อนผ่าวลุกลามจากสองแก้มไปยังใบหู ร่างสูงโน้มกระซิบ "เราเคยตั้งหลายครั้งแล้ว ยังอายอีกหรือ ถึงยามนี้ยังไม่เป็นต่อไปก็ต้องเป็น" เขาลดสายตามองแต้มพรหมจรรย์บริเวณซอกคอ จากนั้นจึงพรมจูบลงไปหนึ่งครา ฉงเสว่ปิงขนลุกซู่ พลางเบี่ยงหลบริมฝีปากร้อนชื้นที่ประทับลงมา "อื้อ...ท่านทำอันใดเพคะ แต่นั่นมันเรื่องของชาติก่อนผู้ใดจะนับ" "เจ้าเสียดายแต้มสีชาดนี่น่ะหรือ" ริมฝีปากบางเม้มสนิท อันที่จริงนางก็หาใช่พวกคร่ำครวญในพรหมจรรย์แต่อย่างใด เพราะถึงอย่างไรแม้จะกลับมาบริสุทธิ์ดังเดิม นางก็ยังคงจำสัมผัสของเขาได้มิเคยลืม"ก็...ข้าไม่รู้" ฉงเสว่ปิงแสร้งเฉไฉด้วยความขัดเขิน นางไม่อาจหนีใจตัวเอง กับความจริงที่ว่าตนกำลังร่ำร้องและปรารถนาในกายบุรุษเบื้องหน้าอย่างแรงกล้าเช่นกัน