เด็กทั้งสามคนขึ้นรถเมล์กลับบ้านด้วยความตื่นเต้น พวกเขายังคุยกันถึงเรื่องผลสอบมาตลอดทางจนรถเมล์หยุดลงหน้าบ้านฝั่งของครีม
ครีมเป็นคนแรกที่กระโดดลงจากรถ ก่อนจะหันกลับไปมองฟ้าใสกับม่านเมฆที่เดินตามลงมา
“แกว่าป๊าฉันจะดีใจจนให้รางวัลเพิ่มไหม”
ฟ้าใสหัวเราะ “ป๊าแกก็ฉลองให้แล้วไง ยังจะหวังของขวัญเพิ่มอีกเหรอ?”
ครีมยักไหล่ “เผื่อฟลุ๊กไง เฮ้อ! เฮียครามกลับบ้านรึยังนะ?” เธอพูดพลางชะเง้อมองเข้าไปด้านในบ้าน
ม่านเมฆเองก็มีสีหน้าคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะถามขึ้นมาอีกเพื่อยืนยัน “เฮียครามเล่นดนตรีเก่งมากจริง ๆ เหรอ?”
“แน่นอน!” ครีมตอบทันที “แกไม่เชื่อเหรอ? เดี๋ยวเย็นนี้พอเขากลับมาฉันจะให้เฮียโชว์ให้ดูเลย”
“เอาจริงเหรอ?” ฟ้าใสหัวเราะ “งั้นฉันก็อยากฟังเหมือนกัน”
“แน่นอน! แกต้องได้ฟังอยู่แล้ว” ครีมพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “เฮียฉันไม่ใช่เล่น ๆ นะ เขาเคยไปประกวดด้วย แต่เขาแค่ไม่เคยพูดให้ใครฟังหากว่าฉันไม่เห็นรูปก็คงไม่รู้หรอก”
ม่านเมฆเริ่มสนใจขึ้นมาทันที “แล้วถ้าผมอยากลองเรียนบ้างล่ะเฮียครามของเจ้จะสอนผมไหม”
ครีมยิ้มกว้าง “ก็บอกเฮียไปตามตรงสิ เฮียครามน่ะ แม้ว่าจะดูนิ่ง ๆ แต่ความจริงแล้วเป็นคนใจดีมาก”
“อือ” ม่านเมฆพยักหน้ารับอย่างครุ่นคิด
หลังจากนั้นทั้งสามคนเดินแยกย้ายกัน ครีมเข้าบ้านไปก่อน ส่วนฟ้าใสกับม่านเมฆเดินข้ามถนนกลับไปบ้านของตัวเอง
ทันทีที่ทั้งสองเปิดประตูเข้ามา แม่ของพวกเขาก็เดินออกมาจากครัวพร้อมรอยยิ้ม
“กลับมาแล้วเหรอลูก?”
“ค่ะ/ครับ” พวกเขาตอบพร้อมกัน
แม่เดินเข้ามาลูบศีรษะทั้งสองคน “เหนื่อยไหมลูก วันนี้เป็นยังไงบ้าง?”
ฟ้าใสรีบเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “แม่คะ! หนูติดอันดับสาม ม่านเมฆติดอันดับหกค่ะ!”
“จริงเหรอ!?” แม่ของเธอเบิกตากว้างอย่างดีใจ ก่อนจะหันไปบอกพ่อที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่
“ป๊าฟังสิ ลูกเราสอบได้อันดับดีมากเลยนะ!”
พ่อเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ทันที สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความภูมิใจ
“เก่งมากลูก ป๊าภูมิใจในตัวลูกสองคนมากเลย”
ม่านเมฆเผยรอยยิ้มบางออกมา “ขอบคุณครับ”
“ดีแล้วลูก” แม่ยิ้มให้ก่อนจะถามต่อ “แล้วพวกหนูอยากฉลองกันไหม?”
ฟ้าใสรีบพยักหน้า “ค่ะ! วันนี้ทางบ้านครีมเขาจะไปฉลองกัน แล้วเชิญพวกเราไปด้วย”
พ่อกับแม่หันมามองหน้ากันก่อนที่พ่อจะพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปด้วยกันเถอะ”
“เยี่ยมเลยค่ะ”
ม่านเมฆที่ยืนเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นหลังจากตัดสินใจบางอย่าง “แม่ครับ... ผมมีอีกเรื่องอยากบอก”
แม่หันไปมองลูกชาย “ว่าไงจ๊ะ?”
ม่านเมฆสูดหายใจเข้าปอดลึกก่อนจะพูดออกมา “ผมอยากลองเรียนกีตาร์ครับ”
แม่กะพริบตาอย่างแปลกใจ “กีตาร์เหรอลูก?”
พ่อเองก็วางหนังสือพิมพ์ลง “ทำไมถึงอยากเรียนล่ะ?”
ม่านเมฆอธิบายเสียงหนัก “ผมคิดว่าดนตรีเป็นสิ่งที่ดี แล้วเจ้ครีมก็บอกว่าเฮียครามเล่นเก่งมาก ผมอยากลองดูบ้างก็เลยจะลองไปขอร้องให้เฮียครามสอน”
แม่ยิ้มออกมา “ดีแล้วลูก ถ้าเป็นสิ่งที่ม่านเมฆสนใจจริง ๆ แม่สนับสนุนนะ”
“ป๊าก็เห็นด้วย” พ่อพูดเสริม “แต่อย่าลืมว่าเรื่องเรียนก็ต้องตั้งใจเหมือนกัน”
ม่านเมฆพยักหน้ายิ้มกว้างออกมา “ครับ ผมจะตั้งใจ”
ฟ้าใสยิ้มให้กับน้องชาย เธอรู้ดีว่าม่านเมฆเป็นคนที่มีความตั้งใจจริงและถ้าเขาอยากทำอะไรเขาจะทำมันให้ดีที่สุด
และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของการเดินตามความฝันของม่านเมฆ และการฉลองที่เต็มไปด้วยความสุขของทุกคน
บรรยากาศของการฉลองเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุข ทุกคนในครอบครัวของฟ้าใสและครีมต่างพากันมานั่งร่วมโต๊ะกันที่ร้านอาหารจีนชื่อดังในละแวกบ้าน
โต๊ะไม้ตัวยาวถูกจัดเตรียมไว้เต็มไปด้วยอาหารหลากหลายเมนู กลิ่นหอมของเป็ดปักกิ่ง ข้าวผัดกุนเชียง และต้มยำทะเลลอยอบอวลไปทั่ว
ครีมเป็นคนแรกที่ยกแก้วน้ำขึ้นมา “เอ้า! ฉลองให้พวกเราสามคนหน่อย!”
ฟ้าใสกับม่านเมฆหัวเราะก่อนจะยกแก้วขึ้นชนกันเบา ๆ พ่อแม่ของพวกเขาต่างยิ้มมองลูกด้วยความภูมิใจ
“เฮียคราม ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ?” ครีมหันไปแซวพี่ชายที่นั่งเงียบอยู่ข้างตน
ครามที่กำลังตักอาหารเข้าปากหยุดชะงัก เขาเหลือบตามองครีมก่อนจะถอนหายใจ
“ฉันก็ยินดีด้วย”
“โหย เฮียพูดแค่นี้เองเหรอ?” ครีมทำหน้าบึ้ง
ฟ้าใสกับม่านเมฆแอบหัวเราะ ขณะที่พ่อของครีมตบบ่าลูกชายเบา ๆ “เอาน่า น้อง ๆ เขาดีใจแค่ไหนที่เฮียอยู่ฉลองด้วย”
ครามพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบแต่จริงใจ “ยินดีด้วยที่พวกเธอทำได้ดี ฉันรู้ว่าพวกเธอพยายามกันมาก”
ครีมหัวเราะเสียงใส “ต้องแบบนี้สิ”
หลังจากทานอาหารเสร็จทุกคนยังคงนั่งพูดคุยกันด้วยท่าทางสบาย เฮียครามที่เพิ่งรู้ว่าม่านเมฆสนใจเรียนกีตาร์ก็หันมามองเด็กชายวัยสิบหกก่อนจะถามออกมา
“นายสนใจดนตรีจริงเหรอ?”
ม่านเมฆพยักหน้า “ครับ ผมคิดว่ามันน่าสนใจ”
ครามเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ “ถ้างั้น ไว้ฉันจะสอนพื้นฐานให้นายก่อน แล้วถ้านายสนใจจริง ๆ ก็ลองไปลงเรียนที่สถาบันดนตรีดู”
ม่านเมฆตาเป็นประกาย “จริงเหรอครับ!?”
“อืม แต่ฉันขอบอกเอาไว้ก่อนนะว่ามันไม่ง่าย”
ม่านเมฆยิ้มกว้าง “ผมรู้ครับ แต่ผมจะตั้งใจ”
แม่ของฟ้าใสพูดพลางหัวเราะ “ครามก็คงต้องช่วยดูแลน้องด้วยนะ”
ครามพยักหน้า “ครับ”
คืนนั้นหลังจากกลับถึงบ้าน ม่านเมฆเริ่มวางแผนเกี่ยวกับการเรียนกีตาร์ของตัวเอง เขาตั้งใจจะฝึกให้จริงจัง ส่วนฟ้าใสเองก็ตัดสินใจจะลองวาดภาพขายดู แม้จะยังไม่มั่นใจนักแต่เธอก็อยากลองทำตามสิ่งที่ตัวเองรัก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดวันเปิดเรียนเทอมแรกก็มาถึง บรรยากาศในโรงเรียนเต็มไปด้วยความคึกคักหลังจากผ่านช่วงสอบมาได้ นักเรียนหลายคนต่างพากันพูดคุยถึงแผนการในปีนี้และกิจกรรมที่รออยู่ข้างหน้า
ฟ้าใส ครีม และม่านเมฆเดินไปตามระเบียงโรงเรียนด้วยความรู้สึกผ่อนคลายหลังจากที่พวกเขาทุ่มเทกับการสอบจนผ่านพ้นมาได้
หลังจากทุกคนเข้าห้องได้สิ่งที่รออยู่ก็คือเพื่อนใหม่แปลกหน้าหลายคน ซึ่งอาจจะมีบางคนที่มาจากโรงเรียนเดียวกันหรือบางคนที่เคยเรียนอยู่ในโรงเรียนนี้มาก่อนเมื่อตอน ม.ต้น แต่ทว่าหลังจากวันนี้ไปพวกเขาจะต้องทำความรู้จักกันใหม่
เสียงกริ่งแรกของวันเปิดเรียนดังขึ้น ก่อนที่จะมีครูประจำชั้นเดินเข้ามา ครูของห้องม.4/1 เป็นครูผู้หญิงอายุประมาณ 30 ปี
“สวัสดีนักเรียนทุกคน ครูชื่อวารี อมรกุล ต่อไปนี้จะเป็นครูที่ปรึกษาของพวกเธอตลอดระยะเวลาสามปีนี้ หวังว่าทุกคนจะตั้งใจเรียนและอยู่ในระเบียบของโรงเรียนกันนะ” ผู้พูดเว้นจังหวะกวาดตามองนักเรียนในห้องศิลป์-ภาษาทีละคนราวกับพิจารณาเด็กที่อยู่ในความปกครองอย่างละเอียด
ก่อนที่เธอจะพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “เอาละ ก่อนที่เราทุกคนจะเริ่มเรียนครูขอเรียกชื่อนักเรียนสามคนในนี้หน่อยนะคะ ชาลิตา ปาลิตา วชิรนัย ปาลิตา และคนสุดท้าย รินรดา เทวากร ทั้งสามคนนี้ยืนขึ้นหน่อยจ้ะ เธอทั้งสามเป็นนักเรียนที่สอบเข้าได้คะแนนดีมากอยู่ในสิบอันดับแรกหวังว่าทุกคนในห้องจะตั้งใจเรียนอย่างทั้งสามคนนะ”
จบคำพูดของครูที่ปรึกษา เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นจากทุกคนในห้องเรียนเนื่องจากพวกเขาแทบไม่อยากเชื่อว่านักเรียนที่ติดอยู่ในสิบอันดับแรกจะเลือกเรียนสายศิลป์แทนการเรียนสายวิทย์
เสียงฮือฮาจากทุกคนทำให้ฟ้าใส ครีม และม่านเมฆรู้สึกเขินเล็กน้อยแต่ก็ไม่สามารถหลบสายตาได้ พวกเขารู้สึกดีใจที่ได้รับการชมเชยจากครูประจำชั้น แต่ก็ไม่ค่อยชินกับการถูกพูดถึงต่อหน้าคนเยอะ ๆ แบบนี้