ครามที่เดิมทีตั้งใจจะนอนพักผ่อนอยู่ในห้อง พอได้ยินเสียงสนทนาเจื้อยแจ้วของแม่ตัวเองกับเพื่อนบ้านคนใหม่ที่ดูจะเข้ากันได้ดีเหลือเกินก็ตัดสินใจถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมาดูหน้าบ้าน
เขาปรากฏตัวพร้อมกับเสื้อกล้ามสีขาวแบบเรียบ กางเกงขาสั้นธรรมดา ท่าทางไม่ได้ตั้งใจให้เป็นทางการนักแต่ก็ไม่ได้ดูมอมแมมอะไร
แต่ทันทีที่สายตาของเขาปะทะเข้ากับหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างแม่ของตน ร่างสูงก็ผงะไปเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
“อะ...” เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายก่อนจะปรับสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติ ทว่าเจ้าตัวก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองอีกฝ่ายซ้ำ
เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะตกใจอะไรได้ง่ายแต่การที่หญิงตรงหน้ามีเค้าโครงใบหน้าละม้ายคล้ายกับฟ้าใสเสียเหลือเกิน ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก
แม่ของเขาที่เห็นอาการนิ่งอึ้งของลูกชายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างขบขันก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเสียงใส
“อ้าวคราม ออกมาพอดีเลย มา ๆ เดี๋ยวแม่แนะนำให้รู้จัก นี่น้าลิตาแม่ของฟ้าใสกับม่านเมฆ บ้านที่ย้ายมาอยู่ตรงข้ามเรานี่เอง”
ลลิตาส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร “สวัสดีจ้ะ ครามใช่ไหม?”
ครามกะพริบตาเล็กน้อยก่อนจะรีบยกมือไหว้อย่างสุภาพ
“สวัสดีครับ”
แม่ของเขาอมยิ้มบางก่อนจะหันมาทางลลิตา “เจ้าลูกชายคนนี้ของฉันออกจะเงียบไปหน่อย แต่ก็เป็นเด็กดีนะ”
ครามแค่นหัวเราะในลำคอ เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเด็กดีตามที่แม่ว่าเสียเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ดังนั้นจึงทำเพียงพยักหน้ารับก่อนจะหันไปมองฟ้าใสกับน้องสาวของตัวเองที่ยืนอยู่ไม่ไกลพลางคิดว่าเขาไม่น่าออกมาดูเลยจริง ๆ
หลังจากที่บ้านของฟ้าใสยุ่งอยู่กับการขนย้ายและจัดบ้านใหม่ ไม่กี่วันต่อมาวันประกาศผลสอบก็มาถึงเร็วเกินกว่าที่พวกเธอจะตั้งตัวทัน
เช้าวันนั้นฟ้าใส ครีม และม่านเมฆเดินทางไปโรงเรียนด้วยกันตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเขาเดินไปยืนรวมกับกลุ่มนักเรียนคนอื่นที่กำลังมุงดูบอร์ดประกาศผลสอบที่ติดอยู่หน้าหอประชุม
“แกว่าผลจะเป็นยังไง?” ครีมหันมาถามฟ้าใสด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นแฝงความกังวล
“ก็ต้องลุ้นกันแล้วละ” ฟ้าใสถอนหายใจออกมาเล็กน้อยพลางมองไปทางน้องชายที่ดูจะนิ่งกว่าปกติ
“นายไม่กังวลหน่อยเหรอ?” เธอถาม
ม่านเมฆส่ายหน้า “สอบไปแล้ว ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เครียดไปก็เท่านั้น”
“โอ๊ย! พวกแกนี่ไม่ตื่นเต้นกันเลยหรือไง!?” ครีมทำหน้าหงุดหงิดขึ้นมาก่อนจะรีบเดินฝ่าฝูงนักเรียนเข้าไปดูผลสอบอย่างว่องไว
ฟ้าใสกับม่านเมฆเดินตามไปติด ๆ พวกเขามองหารายชื่อของตัวเองท่ามกลางเสียงโห่ร้องดีใจของนักเรียนคนอื่น ที่เริ่มเห็นผลสอบของตัวเองแล้ว
แล้วในที่สุด...“ฟ้าใส! แกติดอันดับสาม!” ครีมหันกลับมาร้องเสียงดังพร้อมกับดึงแขนเพื่อนเขย่าแรง ๆ
“จริงเหรอ!?” ฟ้าใสรีบขยับเข้าไปใกล้บอร์ดก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นชื่อตัวเองอยู่ในลำดับที่สามของผลการสอบ
“ม่านเมฆอันดับหก!” ครีมอ่านออกมาอีกครั้งก่อนจะกรี๊ดเบา ๆ “ส่วนฉัน... อันดับเก้า! โอ๊ยย เกินคาด!”
ฟ้าใสมองดูรายชื่อของตัวเองด้วยความโล่งอก อันดับสาม... เธอรู้สึกภูมิใจที่ความพยายามของเธอไม่เสียเปล่า
ม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เหลือบมองรายชื่อตัวเองก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ก็ดีแฮะ”
“ไม่แค่ก็ดีหรอก! นายติดท็อปสิบอันดับแรกเลยนะเว้ย!” ครีมหัวเราะร่า “ฉันยังตกใจเลยว่าตัวเองติดอันดับเก้าได้ยังไง คิดว่าหลุดไปไกลกว่านี้แล้วซะอีก”
“เพราะแกตั้งใจอ่านหนังสือไง” ฟ้าใสตอบเพื่อนด้วยรอยยิ้ม
“ก็ใช่แหละ...” ครีมยิ้มกว้างก่อนจะหันไปดึงแขนฟ้าใสกับม่านเมฆ “นี่พวกเรา ฉลองกันหน่อยดีไหม”
ฟ้าใสหัวเราะขึ้นมาให้กับความร่าเริงของเพื่อน “แล้วพวกเราจะกินอะไรล่ะ?”
“น้ำอัดลมกับขนมที่ร้านหน้าปากซอย! พวกเราสอบติดโรงเรียนใหม่แล้ว ทั้งยังติดอยู่ในสิบอันดับแรกอีก มันต้องฉลองกันหน่อย! ไปกันเถอะ”
ม่านเมฆเองก็หัวเราะตามคนทั้งคู่ออกมา “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ”
หลังจากที่ผลสอบประกาศออกมา ครีม ฟ้าใส และม่านเมฆต่างก็ยังคงตื่นเต้นไม่หาย พวกเขาเดินออกจากโรงเรียนมาด้วยกัน ขณะที่กำลังเดินไปทางป้ายรถเมล์ครีมก็นึกขึ้นได้ว่าอยากจะบอกข่าวดีนี้ให้พ่อแม่ของเธอรู้
“เฮ้ย! ฉันต้องโทรไปบอกป๊ากับแม่ก่อน!” ครีมหยุดเดินกลางทางก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาตู้โทรศัพท์สาธารณะ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากป้ายรถเมล์แต่มีคนกำลังต่อแถวรอยาวเหยียด
“ไปโทรร้านค้าตรงนั้นก็ได้ เสียแพงหน่อยแต่ไม่มีคน” ฟ้าใสเอานิ้วสะกิดเพื่อนพลางชี้ไปทางร้านโชห่วยฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นทางเดียวกับที่พวกเธอต้องไปรอรถเมล์
“ได้ พวกเราไปกัน” ครีมพูดเสียงดังอย่างร่าเริง ก่อนที่ม่านเมฆจะแซวออกมา “เจ้ครีมจะโทรบอกให้ป๊าเลี้ยงฉลองให้ละสิ”
“แน่นอน!” ครีมยิ้มกว้างก่อนจะรีบสาวเท้าเดินขึ้นสะพานลอยเพื่อไปยังร้านค้าอย่างรีบร้อน
และหลังบอกจุดประสงค์กับเจ้าของร้าน เธอยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะหยอดเหรียญห้าจากกระเป๋ากระโปรงแล้วกดหมายเลขบ้านตัวเอง
ม่านเมฆกับฟ้าใสยืนรออยู่ด้านข้างพลางมองไปรอบ ๆ ในขณะที่ครีมยืนพูดโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ฮัลโหล! ป๊า หนูเองนะ! วันนี้ประกาศผลสอบแล้ว หนูติดอันดับเก้า! ฟ้าใสอันดับสาม ม่านเมฆอันดับหก!”
เสียงของครีมดังจนฟ้าใสต้องกลั้นหัวเราะก่อนจะปล่อยให้เพื่อนสาวของเธอคุยต่อไป
“จริงเหรอลูก! เก่งมาก!” เสียงพ่อของครีมดังมาตามสาย แม้จะไม่ได้ยินทั้งหมด แต่ฟ้าใสก็พอจะเดาได้ว่าเขาคงดีใจไม่น้อย
“ป๊า ๆ ๆ วันนี้ขอฉลองได้ไหม! ให้ฟ้าใสกับม่านเมฆไปด้วยนะ!” ครีมเงี่ยหูฟังคำตอบ ก่อนที่ใบหน้าของเธอจะสว่างขึ้นอีกครั้ง
“เย้! ป๊าบอกว่าเย็นนี้ให้ไปกินข้าวกัน!”
ฟ้าใสหัวเราะให้กับท่าทางของเพื่อน “ดีจัง งั้นกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเนอะ ฉันจะได้บอกป๊ากับแม่ด้วย”
ครีมพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะหันไปพูดโทรศัพท์ต่อ “เดี๋ยวเจอกันที่บ้านนะป๊า!”
หลังจากวางสายครีมก็เดินออกมาด้วยท่าทีเริงร่า “แม่ฉันจะไปด้วย ส่วนเฮียคราม...ก็ต้องไปด้วยเหมือนกัน! พอถึงบ้านเธอก็ชวนป๊ากับแม่ไปด้วยกันสิ เรื่องดี ๆ แบบนี้ต้องฉลองเพราะวันนี้เฮียครามจะเป็นสปอนเซอร์ละ
“แกจะให้เฮียครามเป็นสปอนเซอร์ได้ยังไง? เขายังเป็นนักเรียนเหมือนเราไม่ใช่เหรอ” ฟ้าใสถามออกมาอย่างกังขา
“อ้อ เรื่องนั้นน่ะ...” ครีมยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะพูดต่อ “เฮียครามรับจ้างเล่นดนตรีพิเศษตอนเย็นตามร้านอาหารเขามีเงิน”
ฟ้าใสกับม่านเมฆหันมามองกันก่อนที่ม่านเมฆจะถามขึ้น “จริงเหรอ? เฮียครามเล่นดนตรีด้วย?”
“จริงสิ! เขาเล่นกีตาร์เก่งมากเลยนะ ปกติจะไปเล่นตามร้านอาหารกับเพื่อน บางวันก็เล่นเดี่ยว เขาเก็บเงินเองตั้งแต่ปีที่แล้วเพราะอยากมีเงินไว้ใช้เองไม่อยากรบกวนเงินที่บ้าน” ครีมขยายความ
ฟ้าใสพยักหน้าอย่างนึกทึ่ง “เฮียของแกเก่งมาก แกว่าพวกเราควรหาเงินกันเองบ้างดีไหม”
“แกจะไปวาดรูปเหมือนไหมล่ะ แกวาดรูปเก่งนี่ฟ้าใส”
“มันจะทำเงินได้จริงเหรอ แกไม่รู้อะไร ญาติของแม่ฉันชอบบอกว่าวาดรูปเก่งจะมีประโยชน์อะไรต่อไปเดี๋ยวก็ไส้แห้ง ฉันละโคตรหงุดหงิด”
ครีมได้แต่เอามือโอบบ่าของเพื่อนอย่างให้กำลังใจ “แกอย่าคิดมากเลย คนพวกนั้นสายตาคับแคบ ฉันว่าเธอต้องทำให้พวกเขาเห็น จะได้เป็นการตบหน้าคนพวกนั้นไปในตัวไง แค่ฉันคิดก็สะใจแล้วฮ่า ๆ” ครีมพูดพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงใสโดยมีม่านเมฆเห็นพ้อง
“ผมสนับสนุนคำพูดของเจ้ครีม คนพวกนั้นผมไม่ชอบเลย”
ฟ้าใสหัวเราะออกมาให้กับความร่าเริงและการให้กำลังใจของครีมกับน้องชาย จริงอยู่ว่าการวาดรูปเป็นสิ่งที่เธอรัก แต่ในสังคมที่ให้ค่ากับอาชีพที่มั่นคงบางครั้งมันก็ยากที่จะทำให้คนรอบข้างเข้าใจ
“ฉันจะลองคิดดูอีกทีละกัน” ฟ้าใสพูดขึ้นก่อนจะหันไปหาม่านเมฆ “แล้วนายล่ะ มีอะไรที่อยากลองทำและหาเงินด้วยตัวเองบ้างรึเปล่า?”
ม่านเมฆนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนที่ดวงตาของเขาจะวาวขึ้นเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องที่เพิ่งพูดคุยกันเมื่อครู่
“จริง ๆ ผมอยากลองเล่นดนตรีดู” เขาพูดออกมาก่อนจะขยายความเพิ่ม “ผมไม่เคยจับเครื่องดนตรีจริงจังเลย แต่พอได้ยินว่าเฮียครามเล่นกีตาร์ได้ ก็รู้สึกสนใจขึ้นมา”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ฝากตัวเป็นศิษย์ของเฮียฉันซะเลยสิ!” ครีมพูดขึ้น
“ได้เหรอ!” น้ำเสียงของม่านเมฆแสดงความตื่นเต้น
หลายปีผ่านไป... หลังจากครามเรียนจบวิศวกรรมศาสตร์และเริ่มต้นชีวิตการทำงานในฐานะวิศวกรหนุ่มอนาคตไกล เขาทุ่มเทให้กับงานในบริษัทชั้นนำแห่งหนึ่งแต่หัวใจของเขาก็ไม่เคยห่างจากจังหวัดบ้านเกิด และที่สำคัญที่สุดคือผู้หญิงที่เขามอบเกียร์และหัวใจให้ไปนานแล้วทางด้านฟ้าใสเธอก็ก้าวเข้าสู่ช่วงปีสุดท้ายของการเรียนในคณะศิลปกรรมฯ ชีวิตที่เคยพลิกผันเพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝัน บัดนี้เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ป๊าของเธอกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้สำเร็จแม้การเดินจะยังไม่กลับมาเป็นปกติร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนเดิมแต่ด้วยกำลังใจที่ดีและการทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอท่านก็สามารถกลับมาเดินเหินได้คล่องแคล่วขึ้นมาก อีกทั้งยังเข้ามาช่วยดูแลร้านสุกี้ในส่วนที่ไม่ต้องออกแรงมากได้ด้วย รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เคยจางหายไปนานกลับมาสู่ครอบครัวของเธออีกครั้งกิจการร้านขนมและร้านสุกี้ก็ดำเนินต่อไปได้ด้วยดีโดยมีฟ้าใสและคุณแม่เป็นหัวเรือใหญ่ และแน่นอนว่ามีครามคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังเสมอในยามที่เธอต้องการ ระยะทางและตารางเวลาที่แตกต่างไม่ได้ทำให้ความรักของครามและฟ้าใสลดน
หลายเดือนผ่านไป... วันเวลาหมุนเวียนจากเทอมแรกเข้าสู่เทอมที่สองของปีการศึกษา กลิ่นอายของวันวาเลนไทน์เริ่มอบอวลไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัย สติ๊กเกอร์รูปหัวใจและดอกกุหลาบมีให้เห็นตามมุมต่าง ๆชีวิตของฟ้าใสเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น แม้จะยังคงวุ่นวายและเหน็ดเหนื่อยเป็นสองเท่าของนักศึกษาทั่วไป เธอกลับไปเรียนตามปกติพยายามตามงานที่ขาดไปในช่วงแรกอย่างสุดกำลังพ่อของเธอกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้แล้วแต่อาการบาดเจ็บที่ขายังคงต้องทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาระการดูแลร้านทั้งสองแห่งยังคงตกอยู่ที่เธอกับแม่เป็นหลัก แต่เธอก็เริ่มปรับตัวและจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้คล่องแคล่วขึ้นรวมถึงความสัมพันธ์กับครามก็ยังคงดำเนินไปในรูปแบบเดิม... เขาคือพี่ชายตรงข้ามบ้านที่แสนดี สารถีคนสำคัญ และผู้ช่วยจำเป็นในทุกสถานการณ์ ความช่วยเหลือของเขาทำให้เธอผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้บ่ายของวันวาเลนไทน์หลังเลิกคลาส ฟ้าใสตั้งใจจะเอาขนมเค้กช็อกโกแลตที่เธอหัดทำเมื่อคืนไปให้ครามลองชิม และถือโอกาสขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่เขาช่วยม
"ลูกอยู่นี่เอง แม่ก็รอว่าจะมาพร้อมลูกแต่ก็ดีแล้วละที่ลูกอยู่ตรงนี้" กิมลั้งพูดกับลูกชายหลังเห็นว่าเขาคอยอยู่เป็นเพื่อนฟ้าใสกับแม่พลางทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ลลิตาที่ยังคงมีดวงตาแดงก่ำ"ลิตา เฮียหลงเป็นยังไงบ้าง" เธอหันไปถามเพื่อนบ้านด้วยความเป็นห่วงโดยจับมือลลิตาไว้แน่นลลิตาสูดหายใจลึก พยายามกลั้นน้ำตาที่รื้นขึ้นมาอีกครั้ง "เพิ่งจะย้ายเข้าไอซียูเมื่อกี๊นี้เองลั้ง... หมอบอกว่ากระดูกหักหลายที่ เสียเลือดมาก... ยังต้องรอดูอาการใกล้ชิด..." เสียงเธอสั่นเครือในตอนท้าย"โถ... ไม่เป็นไรนะลิตา ไม่เป็นไร" กิมลั้งบีบมือเพื่อนแน่นขึ้น "ปลอดภัยแล้ว ถือว่าพ้นขีดอันตรายระดับนึงแล้วนะ เดี๋ยวก็ดีขึ้น ต้องเชื่อมั่นในตัวหมอ แล้วก็บุญกุศลที่อาหลงเขาทำมาเยอะแยะนะเพื่อนนะ" เธอกล่าวปลอบใจอย่างจริงใจ"มีอะไรให้ฉันสองคนช่วยบอกได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ พวกเราก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน""ขอบใจมากนะลั้ง..." ลลิตาพยักหน้ารับทั้งน้ำตาครามมองภาพผู้ใหญ่ให้กำลังใจกัน ก่อนจะหันไปพูดเรื่องที่จำเป็น "ป๊า ม๊า เดี๋ยวผมว่าจะพาฟ้าใสไปดูร้านที่ตลาดโต้รุ่งก่อน แล้วก็อาจจะแวะไปดูร้านสุกี้ด้ว
ทุกวินาทีที่ผ่านไปหน้าห้องผ่าตัดคล้ายเป็นการทรมานสำหรับคนรอคอย ฟ้าใสยังคงกอดแม่ไว้แน่นมีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาเป็นระยะขณะที่ผู้เป็นแม่ก็ได้แต่ลูบหลังปลอบลูกสาว ดวงตาจับจ้องบานประตูห้องผ่าตัดด้วยใจที่ร้อนรน ครามยังคงยืนอยู่ไม่ห่าง คอยเป็นหลักให้สองแม่ลูกอย่างเงียบงันตามเดิมบรรยากาศระหว่างพวกเขาเต็มไปด้วยความตึงเครียดและคำภาวนาในใจทันใดนั้นเสียงเรียกเข้าเฉพาะตัวของเครื่องพีซีทีในกระเป๋ากางเกงยีนส์ของครามก็ดังขึ้นทำลายความเงียบงันแสนหนักอึ้งนั้นลง ครามขมวดคิ้วและเมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาเจ้าตัวก็รู้แล้วว่าทางนั้นคงจะร้อนใจไม่ต่างกัน"เฮีย! ป๊าของฟ้าใสเป็นยังไงบ้าง" เสียงครีมน้องสาวของเขาดังลอดออกมาทันทีที่เขากดรับสาย น้ำเสียงสั่นเครือและเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด"แม่เพิ่งโทรมาบอกว่าคุณอาโดนรถชน! ท่านเป็นอะไรมากไหมเฮีย? ครีมเป็นห่วงมากเลย!" ความสนิทสนมระหว่างครอบครัวทำให้ครีมรู้สึกผูกพันและตกใจกับข่าวร้ายไม่น้อย"ใจเย็น ๆ ก่อนครีม" ครามตอบกลับพยายามใช้เสียงที่สงบและมั่นคงที่สุดเพื่อไม่ให้น้องสาวที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวงต้องตื่นตระหนกไปมากกว่า
ครามวิ่งมาถึงบริเวณที่จัดกิจกรรมของคณะศิลปกรรมศาสตร์อย่างรวดเร็ว เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายบนขมับและข้างแก้ม ดวงตาคมกวาดมองหากลุ่มเพื่อนของฟ้าใสที่พอจะคุ้นหน้าอยู่บ้างท่ามกลางความวุ่นวายจนกระทั่งไปสะดุดตากับกลุ่มนักศึกษาปีสองในชุดคณะที่กำลังยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ฟ้าใสเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ เขาจำได้ว่าหนึ่งในนั้นคือเพื่อนสนิทของเธอเขารีบก้าวเท้าเข้าไปหาทันที ลมหายใจหอบเล็กน้อย "น้องครับ....พี่มาหาฟ้าใส" เขาถามออกไปน้ำเสียงเคร่งเครียดและแฝงความกังวลอย่างปิดไม่มิด"เห็นฟ้าใสไหมครับ?"เพื่อน ๆ ของฟ้าใสกลุ่มนั้นหันมามองรุ่นพี่ต่างคณะอย่างแปลกใจระคนสงสัย ปกติไม่ค่อยเห็นเฮียครามคนดังของวิศวะฯ มาทำหน้าตาตื่นแถวนี้เท่าไหร่นัก ก่อนที่เพื่อนคนที่สนิทกับฟ้าใสที่สุดจะรีบตอบ"พี่คราม..." เธอทำหน้างง ๆ เล็กน้อยเรียกชื่อของเขาออกมา "เมื่อกี้ฟ้าใสมันบอกว่าเพจเจอร์เข้า ขอตัวไปโทรศัพท์ค่ะ เห็นวิ่งหน้าตาตื่นไปทางตู้โทรศัพท์ตรงโถงทางเดินนู้นแน่ะค่ะ" หญิงสาวชี้นิ้วไปยังทางเดินด้านในตัวอาคารที่ค่อนข้างเงียบกว่าบริเวณลานกิจกรรม"ไปได้สักพักแล้ว..ยังไม่เห็
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากปีหนึ่งเทอมแรกกิจกรรมรับน้อง การเรียน การสอบ วนเวียนจนกระทั่งทุกอย่างผ่านพ้นไปหนึ่งปีการศึกษาเต็ม ๆความสัมพันธ์ระหว่างครามและฟ้าใสยังคงดำเนินไปในรูปแบบของเพื่อนบ้านและพี่ชายที่แสนดีอย่างที่หลายคนเห็นครามยังคงวนเวียนเข้ามาช่วยเหลือฟ้าใสอยู่เสมอ ทั้งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน อย่างการช่วยถือของ ซื้อขนมมาฝากหรือแม้แต่ช่วยดูเรื่องความปลอดภัยตอนเธอกลับบ้านดึก ๆและบางครั้งก็รวมถึงเรื่องที่มหาวิทยาลัย ทำให้เธอกับเขายิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้นโดยปริยายตามประสาคนที่บ้านอยู่ตรงข้ามกันส่วนขุนเขา...เขาก็ยังคงเป็นขุนเขาคนเดิม ไม่เคยถอดใจจากเป้าหมาย แม้จะไม่ได้ทุ่มเทเข้าหาฟ้าใสอย่างหนักหน่วงเหมือนช่วงแรกที่เจอกัน แต่ก็ยังคงหาโอกาสเข้ามาทักทาย ชวนคุยหรือทำตัวเป็นเพื่อนจอมกวนให้เธอได้เห็นหน้าอยู่เสมอส่งผลให้ฟ้าใสถูกเพื่อนสนิทในกลุ่มศิลปกรรมฯ แซวจนหูชาทั้งเรื่องพี่ชายข้างบ้านสุดอบอุ่นและเด็กวิศวะฯ จอมตื๊อหน้ามึนลึก ๆ แล้วฟ้าใสเองก็อดรู้สึกแปลก ๆ ก