ครามที่เดิมทีตั้งใจจะนอนพักผ่อนอยู่ในห้อง พอได้ยินเสียงสนทนาเจื้อยแจ้วของแม่ตัวเองกับเพื่อนบ้านคนใหม่ที่ดูจะเข้ากันได้ดีเหลือเกินก็ตัดสินใจถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมาดูหน้าบ้าน
เขาปรากฏตัวพร้อมกับเสื้อกล้ามสีขาวแบบเรียบ กางเกงขาสั้นธรรมดา ท่าทางไม่ได้ตั้งใจให้เป็นทางการนักแต่ก็ไม่ได้ดูมอมแมมอะไร
แต่ทันทีที่สายตาของเขาปะทะเข้ากับหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างแม่ของตน ร่างสูงก็ผงะไปเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
“อะ...” เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายก่อนจะปรับสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติ ทว่าเจ้าตัวก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองอีกฝ่ายซ้ำ
เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะตกใจอะไรได้ง่ายแต่การที่หญิงตรงหน้ามีเค้าโครงใบหน้าละม้ายคล้ายกับฟ้าใสเสียเหลือเกิน ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก
แม่ของเขาที่เห็นอาการนิ่งอึ้งของลูกชายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างขบขันก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเสียงใส
“อ้าวคราม ออกมาพอดีเลย มา ๆ เดี๋ยวแม่แนะนำให้รู้จัก นี่น้าลิตาแม่ของฟ้าใสกับม่านเมฆ บ้านที่ย้ายมาอยู่ตรงข้ามเรานี่เอง”
ลลิตาส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร “สวัสดีจ้ะ ครามใช่ไหม?”
ครามกะพริบตาเล็กน้อยก่อนจะรีบยกมือไหว้อย่างสุภาพ
“สวัสดีครับ”
แม่ของเขาอมยิ้มบางก่อนจะหันมาทางลลิตา “เจ้าลูกชายคนนี้ของฉันออกจะเงียบไปหน่อย แต่ก็เป็นเด็กดีนะ”
ครามแค่นหัวเราะในลำคอ เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเด็กดีตามที่แม่ว่าเสียเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ดังนั้นจึงทำเพียงพยักหน้ารับก่อนจะหันไปมองฟ้าใสกับน้องสาวของตัวเองที่ยืนอยู่ไม่ไกลพลางคิดว่าเขาไม่น่าออกมาดูเลยจริง ๆ
หลังจากที่บ้านของฟ้าใสยุ่งอยู่กับการขนย้ายและจัดบ้านใหม่ ไม่กี่วันต่อมาวันประกาศผลสอบก็มาถึงเร็วเกินกว่าที่พวกเธอจะตั้งตัวทัน
เช้าวันนั้นฟ้าใส ครีม และม่านเมฆเดินทางไปโรงเรียนด้วยกันตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเขาเดินไปยืนรวมกับกลุ่มนักเรียนคนอื่นที่กำลังมุงดูบอร์ดประกาศผลสอบที่ติดอยู่หน้าหอประชุม
“แกว่าผลจะเป็นยังไง?” ครีมหันมาถามฟ้าใสด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นแฝงความกังวล
“ก็ต้องลุ้นกันแล้วละ” ฟ้าใสถอนหายใจออกมาเล็กน้อยพลางมองไปทางน้องชายที่ดูจะนิ่งกว่าปกติ
“นายไม่กังวลหน่อยเหรอ?” เธอถาม
ม่านเมฆส่ายหน้า “สอบไปแล้ว ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เครียดไปก็เท่านั้น”
“โอ๊ย! พวกแกนี่ไม่ตื่นเต้นกันเลยหรือไง!?” ครีมทำหน้าหงุดหงิดขึ้นมาก่อนจะรีบเดินฝ่าฝูงนักเรียนเข้าไปดูผลสอบอย่างว่องไว
ฟ้าใสกับม่านเมฆเดินตามไปติด ๆ พวกเขามองหารายชื่อของตัวเองท่ามกลางเสียงโห่ร้องดีใจของนักเรียนคนอื่น ที่เริ่มเห็นผลสอบของตัวเองแล้ว
แล้วในที่สุด...“ฟ้าใส! แกติดอันดับสาม!” ครีมหันกลับมาร้องเสียงดังพร้อมกับดึงแขนเพื่อนเขย่าแรง ๆ
“จริงเหรอ!?” ฟ้าใสรีบขยับเข้าไปใกล้บอร์ดก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นชื่อตัวเองอยู่ในลำดับที่สามของผลการสอบ
“ม่านเมฆอันดับหก!” ครีมอ่านออกมาอีกครั้งก่อนจะกรี๊ดเบา ๆ “ส่วนฉัน... อันดับเก้า! โอ๊ยย เกินคาด!”
ฟ้าใสมองดูรายชื่อของตัวเองด้วยความโล่งอก อันดับสาม... เธอรู้สึกภูมิใจที่ความพยายามของเธอไม่เสียเปล่า
ม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เหลือบมองรายชื่อตัวเองก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ก็ดีแฮะ”
“ไม่แค่ก็ดีหรอก! นายติดท็อปสิบอันดับแรกเลยนะเว้ย!” ครีมหัวเราะร่า “ฉันยังตกใจเลยว่าตัวเองติดอันดับเก้าได้ยังไง คิดว่าหลุดไปไกลกว่านี้แล้วซะอีก”
“เพราะแกตั้งใจอ่านหนังสือไง” ฟ้าใสตอบเพื่อนด้วยรอยยิ้ม
“ก็ใช่แหละ...” ครีมยิ้มกว้างก่อนจะหันไปดึงแขนฟ้าใสกับม่านเมฆ “นี่พวกเรา ฉลองกันหน่อยดีไหม”
ฟ้าใสหัวเราะขึ้นมาให้กับความร่าเริงของเพื่อน “แล้วพวกเราจะกินอะไรล่ะ?”
“น้ำอัดลมกับขนมที่ร้านหน้าปากซอย! พวกเราสอบติดโรงเรียนใหม่แล้ว ทั้งยังติดอยู่ในสิบอันดับแรกอีก มันต้องฉลองกันหน่อย! ไปกันเถอะ”
ม่านเมฆเองก็หัวเราะตามคนทั้งคู่ออกมา “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ”
หลังจากที่ผลสอบประกาศออกมา ครีม ฟ้าใส และม่านเมฆต่างก็ยังคงตื่นเต้นไม่หาย พวกเขาเดินออกจากโรงเรียนมาด้วยกัน ขณะที่กำลังเดินไปทางป้ายรถเมล์ครีมก็นึกขึ้นได้ว่าอยากจะบอกข่าวดีนี้ให้พ่อแม่ของเธอรู้
“เฮ้ย! ฉันต้องโทรไปบอกป๊ากับแม่ก่อน!” ครีมหยุดเดินกลางทางก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาตู้โทรศัพท์สาธารณะ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากป้ายรถเมล์แต่มีคนกำลังต่อแถวรอยาวเหยียด
“ไปโทรร้านค้าตรงนั้นก็ได้ เสียแพงหน่อยแต่ไม่มีคน” ฟ้าใสเอานิ้วสะกิดเพื่อนพลางชี้ไปทางร้านโชห่วยฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นทางเดียวกับที่พวกเธอต้องไปรอรถเมล์
“ได้ พวกเราไปกัน” ครีมพูดเสียงดังอย่างร่าเริง ก่อนที่ม่านเมฆจะแซวออกมา “เจ้ครีมจะโทรบอกให้ป๊าเลี้ยงฉลองให้ละสิ”
“แน่นอน!” ครีมยิ้มกว้างก่อนจะรีบสาวเท้าเดินขึ้นสะพานลอยเพื่อไปยังร้านค้าอย่างรีบร้อน
และหลังบอกจุดประสงค์กับเจ้าของร้าน เธอยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะหยอดเหรียญห้าจากกระเป๋ากระโปรงแล้วกดหมายเลขบ้านตัวเอง
ม่านเมฆกับฟ้าใสยืนรออยู่ด้านข้างพลางมองไปรอบ ๆ ในขณะที่ครีมยืนพูดโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ฮัลโหล! ป๊า หนูเองนะ! วันนี้ประกาศผลสอบแล้ว หนูติดอันดับเก้า! ฟ้าใสอันดับสาม ม่านเมฆอันดับหก!”
เสียงของครีมดังจนฟ้าใสต้องกลั้นหัวเราะก่อนจะปล่อยให้เพื่อนสาวของเธอคุยต่อไป
“จริงเหรอลูก! เก่งมาก!” เสียงพ่อของครีมดังมาตามสาย แม้จะไม่ได้ยินทั้งหมด แต่ฟ้าใสก็พอจะเดาได้ว่าเขาคงดีใจไม่น้อย
“ป๊า ๆ ๆ วันนี้ขอฉลองได้ไหม! ให้ฟ้าใสกับม่านเมฆไปด้วยนะ!” ครีมเงี่ยหูฟังคำตอบ ก่อนที่ใบหน้าของเธอจะสว่างขึ้นอีกครั้ง
“เย้! ป๊าบอกว่าเย็นนี้ให้ไปกินข้าวกัน!”
ฟ้าใสหัวเราะให้กับท่าทางของเพื่อน “ดีจัง งั้นกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเนอะ ฉันจะได้บอกป๊ากับแม่ด้วย”
ครีมพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะหันไปพูดโทรศัพท์ต่อ “เดี๋ยวเจอกันที่บ้านนะป๊า!”
หลังจากวางสายครีมก็เดินออกมาด้วยท่าทีเริงร่า “แม่ฉันจะไปด้วย ส่วนเฮียคราม...ก็ต้องไปด้วยเหมือนกัน! พอถึงบ้านเธอก็ชวนป๊ากับแม่ไปด้วยกันสิ เรื่องดี ๆ แบบนี้ต้องฉลองเพราะวันนี้เฮียครามจะเป็นสปอนเซอร์ละ
“แกจะให้เฮียครามเป็นสปอนเซอร์ได้ยังไง? เขายังเป็นนักเรียนเหมือนเราไม่ใช่เหรอ” ฟ้าใสถามออกมาอย่างกังขา
“อ้อ เรื่องนั้นน่ะ...” ครีมยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะพูดต่อ “เฮียครามรับจ้างเล่นดนตรีพิเศษตอนเย็นตามร้านอาหารเขามีเงิน”
ฟ้าใสกับม่านเมฆหันมามองกันก่อนที่ม่านเมฆจะถามขึ้น “จริงเหรอ? เฮียครามเล่นดนตรีด้วย?”
“จริงสิ! เขาเล่นกีตาร์เก่งมากเลยนะ ปกติจะไปเล่นตามร้านอาหารกับเพื่อน บางวันก็เล่นเดี่ยว เขาเก็บเงินเองตั้งแต่ปีที่แล้วเพราะอยากมีเงินไว้ใช้เองไม่อยากรบกวนเงินที่บ้าน” ครีมขยายความ
ฟ้าใสพยักหน้าอย่างนึกทึ่ง “เฮียของแกเก่งมาก แกว่าพวกเราควรหาเงินกันเองบ้างดีไหม”
“แกจะไปวาดรูปเหมือนไหมล่ะ แกวาดรูปเก่งนี่ฟ้าใส”
“มันจะทำเงินได้จริงเหรอ แกไม่รู้อะไร ญาติของแม่ฉันชอบบอกว่าวาดรูปเก่งจะมีประโยชน์อะไรต่อไปเดี๋ยวก็ไส้แห้ง ฉันละโคตรหงุดหงิด”
ครีมได้แต่เอามือโอบบ่าของเพื่อนอย่างให้กำลังใจ “แกอย่าคิดมากเลย คนพวกนั้นสายตาคับแคบ ฉันว่าเธอต้องทำให้พวกเขาเห็น จะได้เป็นการตบหน้าคนพวกนั้นไปในตัวไง แค่ฉันคิดก็สะใจแล้วฮ่า ๆ” ครีมพูดพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงใสโดยมีม่านเมฆเห็นพ้อง
“ผมสนับสนุนคำพูดของเจ้ครีม คนพวกนั้นผมไม่ชอบเลย”
ฟ้าใสหัวเราะออกมาให้กับความร่าเริงและการให้กำลังใจของครีมกับน้องชาย จริงอยู่ว่าการวาดรูปเป็นสิ่งที่เธอรัก แต่ในสังคมที่ให้ค่ากับอาชีพที่มั่นคงบางครั้งมันก็ยากที่จะทำให้คนรอบข้างเข้าใจ
“ฉันจะลองคิดดูอีกทีละกัน” ฟ้าใสพูดขึ้นก่อนจะหันไปหาม่านเมฆ “แล้วนายล่ะ มีอะไรที่อยากลองทำและหาเงินด้วยตัวเองบ้างรึเปล่า?”
ม่านเมฆนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนที่ดวงตาของเขาจะวาวขึ้นเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องที่เพิ่งพูดคุยกันเมื่อครู่
“จริง ๆ ผมอยากลองเล่นดนตรีดู” เขาพูดออกมาก่อนจะขยายความเพิ่ม “ผมไม่เคยจับเครื่องดนตรีจริงจังเลย แต่พอได้ยินว่าเฮียครามเล่นกีตาร์ได้ ก็รู้สึกสนใจขึ้นมา”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ฝากตัวเป็นศิษย์ของเฮียฉันซะเลยสิ!” ครีมพูดขึ้น
“ได้เหรอ!” น้ำเสียงของม่านเมฆแสดงความตื่นเต้น
เด็กทั้งสามคนขึ้นรถเมล์กลับบ้านด้วยความตื่นเต้น พวกเขายังคุยกันถึงเรื่องผลสอบมาตลอดทางจนรถเมล์หยุดลงหน้าบ้านฝั่งของครีมครีมเป็นคนแรกที่กระโดดลงจากรถ ก่อนจะหันกลับไปมองฟ้าใสกับม่านเมฆที่เดินตามลงมา“แกว่าป๊าฉันจะดีใจจนให้รางวัลเพิ่มไหม”ฟ้าใสหัวเราะ “ป๊าแกก็ฉลองให้แล้วไง ยังจะหวังของขวัญเพิ่มอีกเหรอ?”ครีมยักไหล่ “เผื่อฟลุ๊กไง เฮ้อ! เฮียครามกลับบ้านรึยังนะ?” เธอพูดพลางชะเง้อมองเข้าไปด้านในบ้านม่านเมฆเองก็มีสีหน้าคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะถามขึ้นมาอีกเพื่อยืนยัน “เฮียครามเล่นดนตรีเก่งมากจริง ๆ เหรอ?”“แน่นอน!” ครีมตอบทันที “แกไม่เชื่อเหรอ? เดี๋ยวเย็นนี้พอเขากลับมาฉันจะให้เฮียโชว์ให้ดูเลย”“เอาจริงเหรอ?” ฟ้าใสหัวเราะ “งั้นฉันก็อยากฟังเหมือนกัน”“แน่นอน! แกต้องได้ฟังอยู่แล้ว” ครีมพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “เฮียฉันไม่ใช่เล่น ๆ นะ เขาเคยไปประกวดด้วย แต่เขาแค่ไม่เคยพูดให้ใครฟังหากว่าฉันไ
ครูวารียิ้มให้เด็กทั้งสามแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องเขินไปหรอกจ้ะ พวกเธอทั้งสามทำได้ดีมาก แล้วครูก็ต้องการให้พวกเธอเป็นตัวอย่างที่ดี ครูมั่นใจว่าทุกคนในห้องนี้มีความสามารถ พวกเธอต้องตั้งใจเรียนเพื่ออนาคตของตัวเอง”ฟ้าใส ครีม และม่านเมฆพยักหน้าให้กับคำพูดของครู แต่ก็ยังรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง หลังจากนั้นครูวารีจึงเริ่มพูดถึงตารางเรียนและกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้“ตอนนี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าเราจะมีการเรียนที่เข้มข้นมากขึ้น รวมถึงกิจกรรมที่จะทำร่วมกัน เช่น งานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ งานกีฬา และกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียนที่รอเราอยู่ ดังนั้นเรามาพยายามด้วยกันนะ และครูก็หวังว่าทุกคนจะสนุกกับการเรียนรวมถึงให้ความร่วมมือในเรื่องของกิจกรรม” ครูวารีพูดต่อ ก่อนที่จะหันมามองนักเรียนที่นั่งอยู่แถวหน้าซึ่งก็คือฟ้าใส ม่านเมฆ และก็ครีมนั่นเอง“ว่าแต่พวกเธอเลือกเรียนสายศิลป์-ภาษาเพราะอะไรกัน ครูอยากฟังเหตุผลจากพวกเธอสักหน่อยได้ไหมจ๊ะ”ฟ้าใสยิ้มเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นพูด “หนูชอบการเขียนค่ะคร
17 มีนาคม 2551(ความรักก็เหมือนช็อกโกแลต... บางครั้งขม บางครั้งหวาน แต่สุดท้ายก็ละลายในใจเรา)ฉันไม่เคยคิดจะจดบันทึกเรื่องของตัวเองมาก่อน แต่วันนี้ อยู่ดี ๆ ก็อยากกลับไปนึกถึงวันแรกที่เจอกับเขา ตอนนั้นฉันอายุ 15 ส่วนเฮียครามอายุ 17 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่เราทั้งคู่ไม่ได้รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของเราจะดำเนินไปในทิศทางไหน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทว่าฉันก็ยังจำเรื่องของเราได้ดี...15 กุมภาพันธ์ 2538 หลังวันวาเลน์ไทน์มาหนึ่งวันท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ศรีปฐม เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นจังหวะฉันก้มหน้าก้มตาอ่านโจทย์เลขตรงหน้าอย่างตั้งใจ หรืออย่างน้อยฉันก็บอกตัวเองแบบนั้น แม้ว่าตัวเลขพวกนี้จะเริ่มเบลอไปหมดแล้วก็ตาม“แก ฉันบอกให้เฮียมารับแหละ”เสียงของครีมดังขึ้นขัดจังหวะ ฉันละสายตาจากสมุดคณิตศาสตร์แล้วเงยหน้ามอง“เฮีย?”“เฮียครามพี่ชายของฉันไง”“หา?” ฉันกะพริบตาก่อนเสียงของม่านเมฆ น้องชายฝาแฝดของฉันจะดังขึ้นจากอีกฝั่งของโต๊ะ“ทำไมผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยล่ะ เจ้ฟ้าก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง” สีหน้าของม่านเมฆไม่ได้ต่างไปจากฉันหลังได้ยินคำพูดของครีม“ฉันก็ไม่เคยเจอเขาเหมือน
ครีมรีบก้าวเท้าออกจากอาคารห้องสมุดอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งกุมสายสะพายกระเป๋า ส่วนอีกข้างยกขึ้นแตะหน้าผากตัวเองพลางบ่นอุบ“ฉันลืมไปเลย ถ้าเฮียรอนานเดี๋ยวโดนบ่นอีกแน่!”ฉันกับม่านเมฆมองหน้ากันก่อนจะรีบเดินตามเธอออกไป พอพวกเราออกมาถึงลานกว้างหน้าห้องสมุด แสงแดดอ่อนของช่วงเย็นทอดเงาบนพื้นถนนคอนกรีตเสียงรถรารวมถึงจักรยานจำนวนมากเริ่มขวักไขว่เพราะเป็นเวลาเลิกเรียนของมหาวิทยาลัย นักศึกษาหลายคนเดินกันอย่างเร่งรีบบ้าง เอื่อยเฉื่อยบ้าง และมีบางกลุ่มกำลังคุยกันเรื่องงานที่ต้องส่ง บางคนก็หาที่นั่งเล่นรอเพื่อนที่ยังไม่ออกมา“เจอเฮียไหม?” ฉันถามครีมพลางช่วยมองไปรอบ ๆ“น่าจะรอตรงที่จอดรถมอไซค์ ครีมพึมพำก่อนจะเร่งฝีเท้าพวกเราเดินผ่านผู้คนท่ามกลางบรรยากาศของมหาวิทยาลัยศรีปฐมที่กำลังคึกคักไปด้วยนักศึกษาหนุ่มสาวที่ยังสวมชุดนักศึกษาเรียบร้อยบ้าง ไม่เรียบร้อยบ้าง บางคนสะพายกระเป๋าเดินคุยกันอย่างออกรสทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงเพลงดังแว่วมาจากลำโพงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงอาหารของมหาวิทยาลัยถ้าหากครั้งนี้ ไม่มีเธอลวงหลอกไว้ฉันนี้คงงมงาย เห็นรักดีเกิน ไม่มีวันจะรู้ฉันเจ็บครั้งนี้ ฉันมีเธอเป็นดั่ง
ตั้งแต่วันที่เราสามคนไปอ่านหนังสือด้วยกัน วันเวลาก็ผ่านไปรวดเร็วอย่างไม่รู้ตัว พริบตาเดียวก็จะหมดเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้เป็นปีอธิกสุรทิน วันที่ 29 กุมภาพันธ์มีเพียงสี่ปีครั้ง ฉันตื่นมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกแปลกไปพร้อมกันสาเหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะวันนี้คือวันเกิดของฉันและทุกครั้งที่ฉันนึกถึงวันเกิด คนอื่นจะอวยพรฉันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ หรือเลื่อนไปฉลองวันที่ 1 มีนาคมพร้อมกับม่านเมฆแทนแม้ว่าเราสองคนจะเป็นแฝดกันแต่พวกเราเกิดกันคนละวัน แต่ปีนี้...เป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่ฉันได้ฉลองวันเกิดตรงวันจริงเมื่อเดินลงมาจากห้องนอน ฉันพบแม่กำลังยืนจัดจานขนมปังปิ้งอยู่ที่โต๊ะอาหาร กลิ่นหอมของเนยละลายลอยมาแตะจมูก “สุขสันต์วันเกิดนะลูก” แม่ยิ้มหวานก่อนจะยื่นแก้วโกโก้ร้อนให้ฉันฉันยิ้มกว้าง “ขอบคุณค่ะแม่”ป๊าวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วเดินมาลูบหัวฉันเบา ๆ พร้อมกับกล่าวอวยพร“มีความสุขมาก ๆ นะลูก โตขึ้นอีกปีแล้ว”“ขอบคุณค่ะป๊า”ม่านเมฆเดินเข้ามาพร้อมกล่องยาวในมือขนาดเล็ก เขายื่นให้ฉันแบบขอไปที“สุขสันต์วันเกิด”“อะไรเนี่ย?” ฉันรับกล่องมาเปิดดู แล้วพบกับดินสอกด Rotring สีดำด้าน“ว้าว! นี่ข
ก่อนถึงวันสอบปลายภาคไม่กี่วัน นักเรียนชั้นสุดท้ายมักจะมีการแลกสมุดเฟรนด์ชิพกัน ซึ่งฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับสมุดเฟรนด์ชิพจากเพื่อนหลายคนพวกเราต่างเขียนข้อความให้กันด้วยลายมือของตัวเอง พร้อมกับวาดการ์ตูนตัวเล็กบ้างใหญ่บ้างแล้วแต่ใครจะสามารถทำได้ มีการแปะสติ๊กเกอร์รวมถึงการเขียนคำคมที่ได้รับความนิยมในยุคนั้นฉันเปิดสมุดเฟรนด์ชิพของครีมที่เธอยื่นมาให้ มันเป็นสมุดปกแข็งสีชมพูมีลายหมีน่ารักอยู่หน้าปก ฉันใช้ดินสอกด Rotring ที่ม่านเมฆให้มาเป็นของขวัญวันเกิดค่อย ๆ บรรจงเขียนข้อความลงไป"ถึงครีม เพื่อนสุดที่รักของฉัน"พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม จำได้ไหมว่าเราช่วยกันติวข้อสอบวิชาสังคมตอนป.6 จนเกือบหลับคาหนังสือ?ขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่ดีเสมอมา ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร ฉันรู้ว่าเราจะยังอยู่ข้างกันเสมอ ขอให้เธอมีความสุขมาก ๆ นะ แล้วพวกเราจะไปลุยโรงเรียนใหม่ด้วยกัน!ฉันตบท้ายด้วยการวาดรูปกระต่ายตัวเล็กลงในมุมสมุด พร้อมแปะสติกเกอร์รูปหัวใจลงไปหนึ่งดวง“แกใช้เวลากับสมุดของฉันนานมากเลยนะ เขียนอะไรยาวขนาด
“นี่อะไรเหรอ?” ฉันถามเสียงเบาพยายามไม่ให้น้ำเสียงของตัวเองสั่น ต้นเม้มปากแน่นเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า ก่อนจะพูดออกมารัวเร็ว“เอ่อ… จดหมาย… ฉันเขียนให้เธอ… อยากให้เธออ่านตอนถึงบ้าน”ฉันกะพริบตามองเขาอย่างเหลือเชื่อ ม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้านข้างจ้องมองเหตุการณ์ด้วยสายตาสนอกสนใจ ส่วนครีมที่เดินออกจากโรงเรียนทีหลังถึงกับอ้าปากค้าง ดวงตาลุกวาวราวกับเห็นอะไรน่าสนุก“โอ้โห… โรแมนติกสุด ๆ” ครีมกระซิบข้างหูฉันฉันหันไปถลึงตาใส่เธอ “อ่านการ์ตูนตาหวานมากไปหรือไงแก เงียบก่อน” ฉันกระซิบก่อนจะรับจดหมายจากมือของต้นมาถือไว้“ขอบคุณนะ ฉันจะอ่านตอนถึงบ้าน”ต้นพยักหน้าก่อนจะก้มหน้าก้มตาแล้วรีบหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวกำลังวิ่งตามครีมหันมาหัวเราะและก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดออกมา “กรี๊ดดด! แกได้จดหมายรัก! ฉันนึกว่าจะมีแต่ในการ์ตูนซะอีก”“เงียบไปเลย!” ฉันรีบเก็บจดหมายลงในกระเป๋า &
การสอบใช้เวลาหลายชั่วโมง ฉันพยายามทำให้ดีที่สุด แม้ว่าบางข้อจะยากจนต้องใช้เวลาไตร่ตรองนาน แต่ในที่สุดทุกอย่างก็ผ่านไปจนได้เมื่อเสียงออดดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าสอบเสร็จ ฉันปล่อยลมหายใจออกมายาว ๆ พลางเก็บอุปกรณ์การเขียนลงกระเป๋า ก่อนจะเดินออกมาพบกับม่านเมฆและครีมที่รออยู่“เป็นยังไงบ้าง?” ครีมถามอย่างตื่นเต้น“ก็โอเคนะ มีบางข้อที่ไม่แน่ใจ แต่ก็ทำสุดความสามารถแล้ว” ฉันตอบตามตรงม่านเมฆพยักหน้า “ผมก็เหมือนกัน”พวกเราสามคนยืนพูดคุยกันอยู่พักหนึ่งก่อนที่ครีมจะแยกตัวออกไปรอเฮียคราม ส่วนฉันเดินออกจากโรงเรียนพร้อมกับม่านเมฆด้วยความรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก“อีกไม่กี่วันก็จะรู้ผลแล้ว” ฉันพึมพำ“ก็ต้องรอลุ้นกันไป” ม่านเมฆตอบฉันเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า แสงแดดอ่อน ๆ ยามบ่ายทำให้ทุกอย่างดูอบอุ่นอย่างประหลาด ฉันไม่รู้หรอกว่าผลสอบจะออกมาเป็นยังไงแต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนอย่างน้อยฉันก็ทำเต็มที่แล้วเมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับม่านเมฆเดินเข้าไปในบ้านด้วยความรู้สึกโล่งอกจากการสอบที่เพิ่งผ่านพ
ครูวารียิ้มให้เด็กทั้งสามแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องเขินไปหรอกจ้ะ พวกเธอทั้งสามทำได้ดีมาก แล้วครูก็ต้องการให้พวกเธอเป็นตัวอย่างที่ดี ครูมั่นใจว่าทุกคนในห้องนี้มีความสามารถ พวกเธอต้องตั้งใจเรียนเพื่ออนาคตของตัวเอง”ฟ้าใส ครีม และม่านเมฆพยักหน้าให้กับคำพูดของครู แต่ก็ยังรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง หลังจากนั้นครูวารีจึงเริ่มพูดถึงตารางเรียนและกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้“ตอนนี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าเราจะมีการเรียนที่เข้มข้นมากขึ้น รวมถึงกิจกรรมที่จะทำร่วมกัน เช่น งานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ งานกีฬา และกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียนที่รอเราอยู่ ดังนั้นเรามาพยายามด้วยกันนะ และครูก็หวังว่าทุกคนจะสนุกกับการเรียนรวมถึงให้ความร่วมมือในเรื่องของกิจกรรม” ครูวารีพูดต่อ ก่อนที่จะหันมามองนักเรียนที่นั่งอยู่แถวหน้าซึ่งก็คือฟ้าใส ม่านเมฆ และก็ครีมนั่นเอง“ว่าแต่พวกเธอเลือกเรียนสายศิลป์-ภาษาเพราะอะไรกัน ครูอยากฟังเหตุผลจากพวกเธอสักหน่อยได้ไหมจ๊ะ”ฟ้าใสยิ้มเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นพูด “หนูชอบการเขียนค่ะคร
เด็กทั้งสามคนขึ้นรถเมล์กลับบ้านด้วยความตื่นเต้น พวกเขายังคุยกันถึงเรื่องผลสอบมาตลอดทางจนรถเมล์หยุดลงหน้าบ้านฝั่งของครีมครีมเป็นคนแรกที่กระโดดลงจากรถ ก่อนจะหันกลับไปมองฟ้าใสกับม่านเมฆที่เดินตามลงมา“แกว่าป๊าฉันจะดีใจจนให้รางวัลเพิ่มไหม”ฟ้าใสหัวเราะ “ป๊าแกก็ฉลองให้แล้วไง ยังจะหวังของขวัญเพิ่มอีกเหรอ?”ครีมยักไหล่ “เผื่อฟลุ๊กไง เฮ้อ! เฮียครามกลับบ้านรึยังนะ?” เธอพูดพลางชะเง้อมองเข้าไปด้านในบ้านม่านเมฆเองก็มีสีหน้าคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะถามขึ้นมาอีกเพื่อยืนยัน “เฮียครามเล่นดนตรีเก่งมากจริง ๆ เหรอ?”“แน่นอน!” ครีมตอบทันที “แกไม่เชื่อเหรอ? เดี๋ยวเย็นนี้พอเขากลับมาฉันจะให้เฮียโชว์ให้ดูเลย”“เอาจริงเหรอ?” ฟ้าใสหัวเราะ “งั้นฉันก็อยากฟังเหมือนกัน”“แน่นอน! แกต้องได้ฟังอยู่แล้ว” ครีมพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “เฮียฉันไม่ใช่เล่น ๆ นะ เขาเคยไปประกวดด้วย แต่เขาแค่ไม่เคยพูดให้ใครฟังหากว่าฉันไ
ครามที่เดิมทีตั้งใจจะนอนพักผ่อนอยู่ในห้อง พอได้ยินเสียงสนทนาเจื้อยแจ้วของแม่ตัวเองกับเพื่อนบ้านคนใหม่ที่ดูจะเข้ากันได้ดีเหลือเกินก็ตัดสินใจถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมาดูหน้าบ้านเขาปรากฏตัวพร้อมกับเสื้อกล้ามสีขาวแบบเรียบ กางเกงขาสั้นธรรมดา ท่าทางไม่ได้ตั้งใจให้เป็นทางการนักแต่ก็ไม่ได้ดูมอมแมมอะไรแต่ทันทีที่สายตาของเขาปะทะเข้ากับหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างแม่ของตน ร่างสูงก็ผงะไปเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว“อะ...” เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายก่อนจะปรับสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติ ทว่าเจ้าตัวก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองอีกฝ่ายซ้ำเขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะตกใจอะไรได้ง่ายแต่การที่หญิงตรงหน้ามีเค้าโครงใบหน้าละม้ายคล้ายกับฟ้าใสเสียเหลือเกิน ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูกแม่ของเขาที่เห็นอาการนิ่งอึ้งของลูกชายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างขบขันก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเสียงใส“อ้าวคราม ออกมาพอดีเลย มา ๆ เดี๋ยวแม่แนะนำให้รู้จัก นี่น้าลิตาแม่ของฟ้าใสกับม่านเมฆ บ้านที่ย้ายมาอยู่ตรงข้ามเรานี่เอง”ลลิตาส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร
การสอบใช้เวลาหลายชั่วโมง ฉันพยายามทำให้ดีที่สุด แม้ว่าบางข้อจะยากจนต้องใช้เวลาไตร่ตรองนาน แต่ในที่สุดทุกอย่างก็ผ่านไปจนได้เมื่อเสียงออดดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าสอบเสร็จ ฉันปล่อยลมหายใจออกมายาว ๆ พลางเก็บอุปกรณ์การเขียนลงกระเป๋า ก่อนจะเดินออกมาพบกับม่านเมฆและครีมที่รออยู่“เป็นยังไงบ้าง?” ครีมถามอย่างตื่นเต้น“ก็โอเคนะ มีบางข้อที่ไม่แน่ใจ แต่ก็ทำสุดความสามารถแล้ว” ฉันตอบตามตรงม่านเมฆพยักหน้า “ผมก็เหมือนกัน”พวกเราสามคนยืนพูดคุยกันอยู่พักหนึ่งก่อนที่ครีมจะแยกตัวออกไปรอเฮียคราม ส่วนฉันเดินออกจากโรงเรียนพร้อมกับม่านเมฆด้วยความรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก“อีกไม่กี่วันก็จะรู้ผลแล้ว” ฉันพึมพำ“ก็ต้องรอลุ้นกันไป” ม่านเมฆตอบฉันเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า แสงแดดอ่อน ๆ ยามบ่ายทำให้ทุกอย่างดูอบอุ่นอย่างประหลาด ฉันไม่รู้หรอกว่าผลสอบจะออกมาเป็นยังไงแต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนอย่างน้อยฉันก็ทำเต็มที่แล้วเมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับม่านเมฆเดินเข้าไปในบ้านด้วยความรู้สึกโล่งอกจากการสอบที่เพิ่งผ่านพ
“นี่อะไรเหรอ?” ฉันถามเสียงเบาพยายามไม่ให้น้ำเสียงของตัวเองสั่น ต้นเม้มปากแน่นเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า ก่อนจะพูดออกมารัวเร็ว“เอ่อ… จดหมาย… ฉันเขียนให้เธอ… อยากให้เธออ่านตอนถึงบ้าน”ฉันกะพริบตามองเขาอย่างเหลือเชื่อ ม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้านข้างจ้องมองเหตุการณ์ด้วยสายตาสนอกสนใจ ส่วนครีมที่เดินออกจากโรงเรียนทีหลังถึงกับอ้าปากค้าง ดวงตาลุกวาวราวกับเห็นอะไรน่าสนุก“โอ้โห… โรแมนติกสุด ๆ” ครีมกระซิบข้างหูฉันฉันหันไปถลึงตาใส่เธอ “อ่านการ์ตูนตาหวานมากไปหรือไงแก เงียบก่อน” ฉันกระซิบก่อนจะรับจดหมายจากมือของต้นมาถือไว้“ขอบคุณนะ ฉันจะอ่านตอนถึงบ้าน”ต้นพยักหน้าก่อนจะก้มหน้าก้มตาแล้วรีบหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวกำลังวิ่งตามครีมหันมาหัวเราะและก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดออกมา “กรี๊ดดด! แกได้จดหมายรัก! ฉันนึกว่าจะมีแต่ในการ์ตูนซะอีก”“เงียบไปเลย!” ฉันรีบเก็บจดหมายลงในกระเป๋า &
ก่อนถึงวันสอบปลายภาคไม่กี่วัน นักเรียนชั้นสุดท้ายมักจะมีการแลกสมุดเฟรนด์ชิพกัน ซึ่งฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับสมุดเฟรนด์ชิพจากเพื่อนหลายคนพวกเราต่างเขียนข้อความให้กันด้วยลายมือของตัวเอง พร้อมกับวาดการ์ตูนตัวเล็กบ้างใหญ่บ้างแล้วแต่ใครจะสามารถทำได้ มีการแปะสติ๊กเกอร์รวมถึงการเขียนคำคมที่ได้รับความนิยมในยุคนั้นฉันเปิดสมุดเฟรนด์ชิพของครีมที่เธอยื่นมาให้ มันเป็นสมุดปกแข็งสีชมพูมีลายหมีน่ารักอยู่หน้าปก ฉันใช้ดินสอกด Rotring ที่ม่านเมฆให้มาเป็นของขวัญวันเกิดค่อย ๆ บรรจงเขียนข้อความลงไป"ถึงครีม เพื่อนสุดที่รักของฉัน"พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม จำได้ไหมว่าเราช่วยกันติวข้อสอบวิชาสังคมตอนป.6 จนเกือบหลับคาหนังสือ?ขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่ดีเสมอมา ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร ฉันรู้ว่าเราจะยังอยู่ข้างกันเสมอ ขอให้เธอมีความสุขมาก ๆ นะ แล้วพวกเราจะไปลุยโรงเรียนใหม่ด้วยกัน!ฉันตบท้ายด้วยการวาดรูปกระต่ายตัวเล็กลงในมุมสมุด พร้อมแปะสติกเกอร์รูปหัวใจลงไปหนึ่งดวง“แกใช้เวลากับสมุดของฉันนานมากเลยนะ เขียนอะไรยาวขนาด
ตั้งแต่วันที่เราสามคนไปอ่านหนังสือด้วยกัน วันเวลาก็ผ่านไปรวดเร็วอย่างไม่รู้ตัว พริบตาเดียวก็จะหมดเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้เป็นปีอธิกสุรทิน วันที่ 29 กุมภาพันธ์มีเพียงสี่ปีครั้ง ฉันตื่นมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกแปลกไปพร้อมกันสาเหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะวันนี้คือวันเกิดของฉันและทุกครั้งที่ฉันนึกถึงวันเกิด คนอื่นจะอวยพรฉันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ หรือเลื่อนไปฉลองวันที่ 1 มีนาคมพร้อมกับม่านเมฆแทนแม้ว่าเราสองคนจะเป็นแฝดกันแต่พวกเราเกิดกันคนละวัน แต่ปีนี้...เป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่ฉันได้ฉลองวันเกิดตรงวันจริงเมื่อเดินลงมาจากห้องนอน ฉันพบแม่กำลังยืนจัดจานขนมปังปิ้งอยู่ที่โต๊ะอาหาร กลิ่นหอมของเนยละลายลอยมาแตะจมูก “สุขสันต์วันเกิดนะลูก” แม่ยิ้มหวานก่อนจะยื่นแก้วโกโก้ร้อนให้ฉันฉันยิ้มกว้าง “ขอบคุณค่ะแม่”ป๊าวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วเดินมาลูบหัวฉันเบา ๆ พร้อมกับกล่าวอวยพร“มีความสุขมาก ๆ นะลูก โตขึ้นอีกปีแล้ว”“ขอบคุณค่ะป๊า”ม่านเมฆเดินเข้ามาพร้อมกล่องยาวในมือขนาดเล็ก เขายื่นให้ฉันแบบขอไปที“สุขสันต์วันเกิด”“อะไรเนี่ย?” ฉันรับกล่องมาเปิดดู แล้วพบกับดินสอกด Rotring สีดำด้าน“ว้าว! นี่ข
ครีมรีบก้าวเท้าออกจากอาคารห้องสมุดอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งกุมสายสะพายกระเป๋า ส่วนอีกข้างยกขึ้นแตะหน้าผากตัวเองพลางบ่นอุบ“ฉันลืมไปเลย ถ้าเฮียรอนานเดี๋ยวโดนบ่นอีกแน่!”ฉันกับม่านเมฆมองหน้ากันก่อนจะรีบเดินตามเธอออกไป พอพวกเราออกมาถึงลานกว้างหน้าห้องสมุด แสงแดดอ่อนของช่วงเย็นทอดเงาบนพื้นถนนคอนกรีตเสียงรถรารวมถึงจักรยานจำนวนมากเริ่มขวักไขว่เพราะเป็นเวลาเลิกเรียนของมหาวิทยาลัย นักศึกษาหลายคนเดินกันอย่างเร่งรีบบ้าง เอื่อยเฉื่อยบ้าง และมีบางกลุ่มกำลังคุยกันเรื่องงานที่ต้องส่ง บางคนก็หาที่นั่งเล่นรอเพื่อนที่ยังไม่ออกมา“เจอเฮียไหม?” ฉันถามครีมพลางช่วยมองไปรอบ ๆ“น่าจะรอตรงที่จอดรถมอไซค์ ครีมพึมพำก่อนจะเร่งฝีเท้าพวกเราเดินผ่านผู้คนท่ามกลางบรรยากาศของมหาวิทยาลัยศรีปฐมที่กำลังคึกคักไปด้วยนักศึกษาหนุ่มสาวที่ยังสวมชุดนักศึกษาเรียบร้อยบ้าง ไม่เรียบร้อยบ้าง บางคนสะพายกระเป๋าเดินคุยกันอย่างออกรสทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงเพลงดังแว่วมาจากลำโพงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงอาหารของมหาวิทยาลัยถ้าหากครั้งนี้ ไม่มีเธอลวงหลอกไว้ฉันนี้คงงมงาย เห็นรักดีเกิน ไม่มีวันจะรู้ฉันเจ็บครั้งนี้ ฉันมีเธอเป็นดั่ง
17 มีนาคม 2551(ความรักก็เหมือนช็อกโกแลต... บางครั้งขม บางครั้งหวาน แต่สุดท้ายก็ละลายในใจเรา)ฉันไม่เคยคิดจะจดบันทึกเรื่องของตัวเองมาก่อน แต่วันนี้ อยู่ดี ๆ ก็อยากกลับไปนึกถึงวันแรกที่เจอกับเขา ตอนนั้นฉันอายุ 15 ส่วนเฮียครามอายุ 17 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่เราทั้งคู่ไม่ได้รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของเราจะดำเนินไปในทิศทางไหน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทว่าฉันก็ยังจำเรื่องของเราได้ดี...15 กุมภาพันธ์ 2538 หลังวันวาเลน์ไทน์มาหนึ่งวันท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ศรีปฐม เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นจังหวะฉันก้มหน้าก้มตาอ่านโจทย์เลขตรงหน้าอย่างตั้งใจ หรืออย่างน้อยฉันก็บอกตัวเองแบบนั้น แม้ว่าตัวเลขพวกนี้จะเริ่มเบลอไปหมดแล้วก็ตาม“แก ฉันบอกให้เฮียมารับแหละ”เสียงของครีมดังขึ้นขัดจังหวะ ฉันละสายตาจากสมุดคณิตศาสตร์แล้วเงยหน้ามอง“เฮีย?”“เฮียครามพี่ชายของฉันไง”“หา?” ฉันกะพริบตาก่อนเสียงของม่านเมฆ น้องชายฝาแฝดของฉันจะดังขึ้นจากอีกฝั่งของโต๊ะ“ทำไมผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยล่ะ เจ้ฟ้าก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง” สีหน้าของม่านเมฆไม่ได้ต่างไปจากฉันหลังได้ยินคำพูดของครีม“ฉันก็ไม่เคยเจอเขาเหมือน