“แม่กานยังไม่กลับมาเลย”
หญิงวัยห้าสิบแปด ร่างท้วมตัดผมสั้น ใบหน้าค่อนข้างดุนั้นมีวี่แววบอกว่า เมื่อสาวจัดได้ว่าเป็นผู้หญิงสวยมากคนหนึ่งทีเดียว เอ่ยบ่นอย่างเคืองๆ
“ดูซิ ดูเวลาซะก่อน เข้าไปตั้งจะเที่ยงคืนแล้ว ยังไม่เห็นหัว...หายไปไหน ไม่โทร. มาบอกกล่าวกันก่อน ชักจะเอาใหญ่แล้ว”
นางหันหน้าไปทางประตูบ้าน และเลยไปยังรั้วที่เห็นอยู่ไกลๆ พ้นจากแนวไม้ที่ปลูกทึบจนให้ความร่มรื่นแก่ตัวบ้านเป็นอันมาก
“กานมันเอาใหญ่มาตั้งแต่ทำงานได้แล้วล่ะค่ะ แม่” พรรณทิพา ลูกสาวคนใหญ่วัยสามสิบเป็นคนตอบ หล่อนเป็นสาวสวยยังประคับประคองความโสดเอาไว้ได้มั่นคง และมีความคิดไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับกานพลูญาติผู้น้องผู้ด้อยกว่าสักเท่าไหร่ “นี่คงจะดอดไปพร่ำพลอดรักกับนายภาดากระมังคะ”
“แม่ก็เตือนมันแล้วนะว่าอย่าทำอะไรแบบนั้น” แล้วนางก็ถอนใจ “ที่สั่งสอนเอาไว้จะเป็นไงมั่งก็ไม่รู้นะ กลัวอย่างเดียว...ว่าจะเหมือนแม่มัน...”
นางหมายถึงน้องสาวที่เสียชีวิตไปแล้ว หลังจากอุ้มท้องกลับมาบ้านหาพ่อเป็นตัวตนให้ลูกไม่ได้ แล้วพอคลอดกานพลูได้ไม่นาน สติสัมปชัญญะที่ค่อนข้างจะบอบบางอยู่แล้วก็สับสน เมื่อตอนกานพลูอายุได้ห้าขวบ แม่ของหล่อนก็ยังอยู่ในวัยสาวเพียงยี่สิบสองก็ฆ่าตัวตายอย่างน่าสยดสยอง
“ใจง่าย มักง่าย แล้วก็คิดโง่ๆ หาทางออกไม่ได้ก็ฆ่าตัวตาย...นี่ถ้าแม่กานกลับมา แม่จะต้องเรียกมาพูดกันก่อน”
“แม่จะรอไปสักกี่ทุ่มกันล่ะคะ” พรรณทิพาถามประชดๆ “มิต้องถ่างตากันถึงสว่างหรือคะ คืนนี้น่ะ...ไปไหนมาไหนไม่บอกกล่าวกันก่อน”
“มันคงจะไม่กล้ากลับจนเช้าหรอก” คุณนายยังคงแน่ใจ “แม่ก็เคยบอกกับมันหลายหนแล้วว่า หายไปทั้งคืนเมื่อไหร่ก็ต้องออกไปจากบ้านนี้ แม่ไม่เลี้ยงคนทำตัวเหลวไหล นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มาไม่เกรงใจคน
หัวสองสีอย่างแม่”
“แม่รอไปนะคะ พรรณเห็นทีจะต้องไปนอนก่อนละ”
“เป็นไงมั่ง”
พินิจนัยถามด้วยความห่วงใย กวาดตามองหญิงสาวตรงหน้าที่ยัง
เอามือยึดอ่างล้างหน้าเอาไว้แน่น เขาไม่แน่ใจในอายุของเจ้าหล่อน เพราะรูปร่างเล็กดวงหน้าสะอาดปราศจากเครื่องสำอางซีดเซียวเหมือนคนเพิ่งรื้อไข้ แต่เสื้อผ้าที่หล่อนสวมนั้นค่อนข้างจะเรียบ ไม่เฟี้ยวฟ้าวอย่างเด็กสาวๆ ข้างนอกโน้นเลย กระโปรงสีขาวยาวเลยเข่าลงไปเล็กน้อยกับเสื้อสีชมพูอ่อนๆ คอตั้งแขนจีบเป็นพวงทับชายเสื้อเอาไว้ในกระโปรง ดูแล้วมันช่างเหมือนแบบฟอร์มของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่ดูจากหน้าตาของหล่อน พินิจนัยไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหล่อนอยู่ในวัยทำงานได้แล้ว หน้าอ่อนๆ แบบนี้หล่อนน่าจะไปร่ำเรียนเขียนอ่านอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันซะมากกว่า
“ปวดหัว”
“ก็น่าจะปวด...แล้วเป็นไงอีก”
“พื้นมันหมุนนะ...” กานพลูเงยหน้าขึ้นไปมองเพดานของห้องน้ำ หล่อนเห็นโคมไฟควงติ้วและทำท่าจะหล่นเผละลงมาใส่หัว นัยน์ตาของหล่อนเบิกกว้าง กระเถิบกายเข้ามาหาเขาโดยไม่ได้ตั้งใจนอกจากจะยึดเขาเอาไว้ “ไฟนั่น...” หล่อนชี้ให้เขาดู “มันกำลังจะหล่น”
“มันก็อยู่เฉยๆ ตาลายล่ะมัง...”
เขามองดูหน้าขาวๆ นั่น บอกไม่ถูกว่าจะเวทนาหล่อนดีไหม ก็สถานที่แบบนี้กับเนื้อตัวเมื่อยามเข้าใกล้หึ่งไปด้วยกลิ่นเหล้า ก็ไม่ได้บอกนี่นาว่าถูกหลอกมาดื่มจนเมานอกเสียจากทำตัวเองทั้งนั้น
“ฉันจะออกไปข้างนอก มันเหม็น...กลิ่นฉี่...” หล่อนทำจมูกกระดุบกระดิบ
“กลิ่นมันก็คล้ายๆ แอมโมเนียเหมือนกันล่ะ ดมมากๆ ก็หายเวียนหัว”
เขาพูดเรื่อยๆ เหล้าทำให้เขาลิ้นอ่อนกว่ายามปกติแยะ พูดก็ง่ายขึ้น หัวเราะง่ายขึ้น จึงไม่เห็นว่ากานพลูกำลังมองไปข้างหน้าด้วยนัยน์ตาที่
เบิ่งโพลง แล้วก็หันขวับกลับมาซบหน้ากับอกเขาเกือบจะทันที...เสียงหล่อนสั่นระรัวมือชี้ไปที่ด้านหลังของเขา เมื่อพินิจนัยหันไปมองบ้าง ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาเต็มเสียง
ก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งเพิ่งเสร็จจากการปล่อยทุกข์แบบเบาๆ ยังไม่ได้เก็บเอาเข้ากางเกงให้หายอุจาด
“ไม่เคยเห็นหรือไง อีหนู”
เขาพาหล่อนออกมา แทบจะลากหล่อนลอยขึ้นจากพื้น เพราะหล่อนตัวเล็กเบามือ ถ้าเป็นขนาดก็เรียกว่าพกแพ็คเท่านั้นเอง
“เอาละ พ้นแล้ว...”
แต่เนื้อตัวของกานพลูเย็นเฉียบไปหมด เขาก้มลงเขย่าร่างนั้นเบาๆ แต่กานพลูกลับโงนเงนยืนตรงๆ แทบจะไม่ได้ พอปล่อยมือออกก็ทำท่าจะล้มเผละจนเขาต้องรับเอาไว้ แล้วก็กลายเป็นภาระให้เขาหิ้วหล่อนติดปีกกลับมาที่โต๊ะด้วย
“ไปเก็บมาจากไหน” ภูษิตชะโงกหน้าเข้ามาเกือบจะติด “กลิ่นเหล้างี้หึ่งเชียวโว้ย จะกินไก่ต้มน้ำเหล้าแทนน้ำแกงหรือไง”
“ขอเหล้าก่อนวะ อีหนูนี่ท่าทางเหมือนจะช็อก เอาเหล้ากรอกปากเข้าไปอาจจะดีขึ้น”
เขาระวังไม่ให้หล่อนสำลักเหล้า เสียงกานพลูกระอึกกระไอแคกๆ แล้วก็เบือนหน้าหนีจากแก้วเหล้าที่เขาถือจ่อปาก เสียงหล่อนค่อนข้างแข็ง
“ปล่อยฉันนะ...”
“จะไปไหวแล้วใช่ไหม”
กานพลูสลัดศีรษะแรงๆ หน้าตามีสีสันแปลกๆ เพราะแสงไฟที่สาดเข้ามากระทบ หล่อนพยายามจะมองหน้าผู้ชายที่อยู่ใกล้จนเรียกได้ว่าแนบชิด แขนข้างหนึ่งของเขาโดนหน้าอกด้านข้างของหล่อน มือหนึ่งของเขาโอบกระหวัดอยู่แถวๆ เอวให้สัมผัสรุ่มร้อนที่หล่อนไม่เคยคุ้น กับภาดา...แม้จะรักกันมานานปี เขากับหล่อนก็ไม่เคยชิดใกล้กันแบบนี้ก็คุณป้าไม่ใช่หรือ ตีวงการคบหากับภาดาเอาไว้ในขอบเขตจำกัด
“ฉันจะไปหาเพื่อน...”
แต่ผู้คนมากมายทำให้กานพลูตาลาย หล่อนจะไปหาบุตรากับ
เพื่อนชายของบุตราได้ตรงไหนกัน ตอนลุกจากที่นั่งได้หล่อนก็คลำทางหาห้องน้ำมาเรื่อยๆ ลืมไปแล้วว่าโต๊ะอยู่ไหน แสงเสียงบ้าๆ นี่ก็ทำให้ตาลายจนต้องหลับตาลง
“พาฉันไปหน่อยซิ”
“เพื่อน...หน้าตาเป็นยังไงล่ะ...”
เขาหัวเราะหึๆ มองหล่อนอย่างปลงๆ แกมเวทนา แต่ภูษิตเอนหน้าเข้ามากระซิบกับเขาว่า
“อาจจะเป็นแผนจับเอ็งก็ได้นะโว้ย ไก่แถวนี้ลีลาพญาหงส์ทั้งนั้นแหละ หน้าตาอ่อนๆ ยังงี้เนื้อคงขบเผาะเอาไว้ก่อน...กรอกเหล้าเข้าไปแล้วเดี๋ยวพาชว้าบไปเล้ย”
“อายุสักเท่าไหร่วะนี่”
“อาจจะเกินสิบห้า...เกินยี่สิบไหมหว่า”
ดวงหน้าของภูษิตเกือบจะติดกับดวงหน้าของกานพลู หล่อนยังคงพอมีสติพอประมาณ สิ่งที่กานพลูทำได้ก็คือ ยกมือขึ้นยันหน้าเขาออกไปอย่างแรงด้วยเรี่ยวแรงที่พอจะหลงเหลืออยู่นั่นทำให้ภูษิตหน้าหงายเกือบจะหัวทิ่มคะมำหงายไปจากเบาะเก้าอี้ที่นั่งอยู่
“เบาๆ อีหนู มือหนักชิบโผง...ขอดูหน้าใกล้ๆ หน่อยเดียว...” ภูษิตมองเรื่อยไปยังเสื้อผ้าของกานพลูก่อนจะเปรยๆ ต่อ “แม่คนนี้มาแปลกครับ อาจจะเป็นพวกเด็กที่ชอบแต่งตัวเรียบๆ ทำตัวเหมือนเด็กมัธยมออกหาเหยื่ออะฮ้า...นี่เป็นโชคหรือเคราะห์ของเอ็งกันแน่วะ ไอ้นิจ”
“ที่นี่เขามีประกาศหาคนหายบ้างไหมวะ”
“เอ็งลองเดินไปถามพวกดีเจ. เขาเอาเองเถอะว่ะ แต่ระวังนะโว้ย พวกมันอาจจะหัวเราะเยาะแล้วทำให้เอ็งหน้าแตกกลับมา ทำหน้าซื่อๆ บอกว่าพลัดหลงกับเพื่อนนี่มันลูกไม้เก่าแล้ว จับเอาไว้ก่อน...โอ้โฮ...อีหนูของเอ็งดื่มเหล้ายังกะดื่มน้ำ...ไอ้การดื่มแบบนี้นะมันบอกชัดๆ เลยว่าอีดื่มไม่เป็น สงสัยจะหนีออกมาจากบ้าน มีปัญหามาหรือไม่ก็เพิ่งอกหัก...” ภูษิตเปลี่ยนข้อสันนิษฐานใหม่ได้รวดเร็วนัก “เอ็งมันคนใจบุญอยู่แล้วนี่หว่า ช่วยสงเคราะห์ให้รู้แล้วรู้รอด หรือถ้ากลับบาปกรรมก็ส่งมาให้ข้า จะเอาไปเอง”
พินิจนัยรู้ซึ้งถึงสันดานของภูษิตดี เขาได้แต่สั่นหัวตอบเรื่อยๆ บอกไม่ได้ว่าที่แท้แล้วเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
“อีหนูนี่อาจจะช่วยให้ข้าเบาตัวได้คืนนี้ ไม่ได้ลิ้มรสหวานๆ ของผู้หญิงมานานแล้ว ปล่อยให้เป็นธุระของข้าดีกว่า” แล้วเขาก็เรียกเหล้าแก้วใหม่มาให้หล่อนอีก เมื่อกานพลูตั้งหน้าตั้งตาดื่มราวกับดื่มน้ำ ท่าประคองแก้วเอาไว้ในอุ้งมือทั้งสองราวกับเป็นของล้ำค่าก็ทำให้เขาอยากรู้ว่าหล่อนจะบ้าไปอีกสักแค่ไหนกัน ได้เหล้าไปหลายแก้วเข้าหล่อนก็ไม่เรียกหาเพื่อนอีกเลย
“เอาเลย ดื่มเข้าไป” เขาประชด รู้ว่าอีกไม่เท่าไหร่หล่อนจะต้องหมอบแน่ๆ “มีเรี่ยวแรงก็กรอกเหล้าเข้าไปเล้ย...”
“น้าสุ…” พินิจนัยทักอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นน้าสาว แล้วพอพิจารณาสีหน้าของเธอถนัด เขาก็แอบถอนใจเบาๆ พอไม่ให้ได้ยิน “มาหาผมแต่หัววันเชียว” ชายหนุ่มลุกขึ้นจากแปลงเพาะชำของตัวเอง ปัดมือที่เปื้อนคราบดินกับผ้าผืนใหญ่ที่ดูแทบไม่ออกแล้วว่าเดิมเป็นสีขาวหรือไม่จากเด็กชายตัวเล็กๆ ที่ส่งมาให้ “เชิญน้าสุบนบ้านดีกว่า ตรงนี้มันสกปรก”“น้าเพิ่งมาจากบ้านของพ่อเธอ”เพียงอ้าปาก พินิจนัยก็เดาได้ปรุโปร่ง แต่ชายหนุ่มก็ถามเรื่อยเฉื่อยเหมือนไม่ได้ยินดียินร้ายด้วยประการทั้งปวง“พ่อคงกำลังเบิกบานซินะครับ เข้าหอมาเจ็ดวันแล้ว…เมียสาววัยเอ๊าะ…ให้กกกอด”“นี่เธอไม่รู้สึกอายบ้างหรือ”“แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะครับ” เขาแกล้งถามส่งๆ ไปอย่างนั้นเอง “พ่อจะได้เตะผมตาย…ถ้าสาระแนเข้าไปวุ่นวายกับเขา”“เธอน่าจะไปกันท่าเอาไว้มั่ง น้าละไม่ชอบเล้ย ที่ถึงกับมาจดทะเบียนกันด้วย แม่คนนั้นน่ะทำหน้าซื่อ แต่น้าก็รู้ทันว่ามันหวังสมบัติ ก็ยังสาวแส้ปูนนั้น มันจะอยากมีผัวแก่คราวพ่อเชียวรื้อ…ป้ามันต้องส่งมาฮุบสมบัติที่จริงหน้าตามันก็ยังงั้นๆ คุณพี่ถูกเสน่ห์ยาแฝดหรือเปล่า”คราวนี้พินิจนัยหัวเราะก๊ากใหญ่“น้าสุก้อ ใครจะเชื่อ นี่มันพอศอสองพันห้าร
คุณจินดาก้าวเข้ามาในห้อง แล้วสิ่งที่เธอได้เห็นก็คือกานพลูคุดคู้หลบอยู่มุมหนึ่งของเตียง มีผ้าห่มพันกายเอาไว้แน่นหนา เมื่อเธอแตะมือลงบนเนื้อตัวของหล่อน กานพลูก็สะดุ้งโหยง กรีดเสียงออกมาอีกทั้งที่ยังหลับตาแน่น“คุณกาน...” เธอเรียกให้เสียง “ลืมตาก่อนเถอะค่ะ ไม่มีอันตรายแล้ว”แต่ในอกของเธอกำลังหนักใจแทน นี่กานพลูเกิดเป็นอะไรขึ้นมากันหนอ“คุณกาน ไม่ค่ะ...ไม่ต้องกลัว”ด้วยความเวทนาต่อสภาพของหญิงสาววัยคราวลูก ทำให้เธอกอดหล่อนเอาไว้แน่ แล้วปลอบโยนไปตามเพลง“เกิดอะไรขึ้นคะ คุณร้องเสียลั่นไปหมดทั้งบ้าน ท่านเองก็ยังกลัวนี่ไปตั้งหลักที่ไหนแล้วก็ไม่รู้”“กาน...กาน...” น้ำตาไหลพราก หล่อนยึดคุณจินดาเอาไว้แน่นแล้วสะอึกสะอื้นบอกต่อ “กานกลัว...กลัวผู้ชาย กานไม่อยากนอนกับผู้ชาย”…แล้วมันจะลงเอยกันแบบไหนนะนี่…เธอรำพึงอยู่ในใจ“ท่านเป็นสามีคุณแล้วนะคะ ถูกต้องตามกฎหมาย…” เธอปลอบประโลมเท่าที่จะทำได้ “แล้วถ้าคุณยังบ่ายเบี่ยง คุณแน่ใจไหมคะว่าไม่มีปัญหา”กานพลูมองหน้าเธอเขม็ง แววตางุนงงสงสัย“ไอ้เรื่องปัญหาของคุณกานน่ะค่ะ ตรงนี้…” เธอชี้ที่ท้องของหญิงสาว ลดเสียงให้เบาลง “ถ้าเกิดมันป่องขึ้นมาแล้วคุณยังไม่เคยนอ
แม่กาน เฮ้อ...เป็นอะไรกันแน่นะ ดูซิ นอนตาปรอยเชียว”คุณนายจันทร์เพ็ญบ่นออกมาเมื่อเข้ามาเห็นหลานสาวนอนซมปากแห้งซีด ดวงตาลอยคว้างจับเฉพาะเพดานเหมือนไม่ยินดียินร้ายใดๆ อีกแล้ว อังมือดูตามหน้าผากและเนื้อตัวของกานพลูก็พบว่าเย็นชืดไปหมด “ไม่มีไข้นี่ ค่อยยังชั่วหน่อย เด็กบอกว่าข้าวเที่ยงก็ไม่อยากกิน กินแต่ยาแก้ปวดหัวไปหลายเม็ดแล้ว”“คุณป้า” หล่อนคว้าจับมือนางขึ้นมาบีบแน่น จ้องมองสบตากับนางเขม็งแล้วนางก็ได้เห็นน้ำตาเต็มตาของหลานสาว “กรุณากานสักหนได้ไหมคะ พากานกลับไปกรุงเทพฯ อย่าให้กานอยู่ที่นี่ มันเหมือนนรก”นางหันมองรอบๆ ตัวก่อนที่จะเอ็ดกานพลูด้วยเสียงเด็ดขาดนัก“พูดบ้าๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน ใครมาได้ยินเข้าเอาไปรายงานท่าน จะพลอยชวด”“กานไม่อยากอยู่ที่นี่ กานยังไม่อยากมี...สามี...”หล่อนกระดากปากที่จะใช้คำว่า ‘ผัว’ แต่คุณนายจันทร์เพ็ญมองหล่อนด้วยแววตาดุๆ ติดจะเหี้ยมเกรียมเล็กน้อย พร้อมกับมือหนึ่งผลักร่างที่ผงกขึ้นมาของกานพลูให้นอนราบลง“ป้าน่ะหาทางออกที่ดีให้กับแก พูดมาได้ว่าไม่อยากมีผัว...คุณบดินทร์เขาไม่ใช่คนเลวเกวอะไร...ทีเวลาแกวิ่งไปหาผู้ชายข้างถนนมาทำผัวได้ ทำไมไม่เอามาคิดเทียบกันมั่งหรือ
แม่กาน เฮ้อ...เป็นอะไรกันแน่นะ ดูซิ นอนตาปรอยเชียว”คุณนายจันทร์เพ็ญบ่นออกมาเมื่อเข้ามาเห็นหลานสาวนอนซมปากแห้งซีด ดวงตาลอยคว้างจับเฉพาะเพดานเหมือนไม่ยินดียินร้ายใดๆ อีกแล้ว อังมือดูตามหน้าผากและเนื้อตัวของกานพลูก็พบว่าเย็นชืดไปหมด “ไม่มีไข้นี่ ค่อยยังชั่วหน่อย เด็กบอกว่าข้าวเที่ยงก็ไม่อยากกิน กินแต่ยาแก้ปวดหัวไปหลายเม็ดแล้ว”“คุณป้า” หล่อนคว้าจับมือนางขึ้นมาบีบแน่น จ้องมองสบตากับนางเขม็งแล้วนางก็ได้เห็นน้ำตาเต็มตาของหลานสาว “กรุณากานสักหนได้ไหมคะ พากานกลับไปกรุงเทพฯ อย่าให้กานอยู่ที่นี่ มันเหมือนนรก”นางหันมองรอบๆ ตัวก่อนที่จะเอ็ดกานพลูด้วยเสียงเด็ดขาดนัก“พูดบ้าๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน ใครมาได้ยินเข้าเอาไปรายงานท่าน จะพลอยชวด”“กานไม่อยากอยู่ที่นี่ กานยังไม่อยากมี...สามี...”หล่อนกระดากปากที่จะใช้คำว่า ‘ผัว’ แต่คุณนายจันทร์เพ็ญมองหล่อนด้วยแววตาดุๆ ติดจะเหี้ยมเกรียมเล็กน้อย พร้อมกับมือหนึ่งผลักร่างที่ผงกขึ้นมาของกานพลูให้นอนราบลง“ป้าน่ะหาทางออกที่ดีให้กับแก พูดมาได้ว่าไม่อยากมีผัว...คุณบดินทร์เขาไม่ใช่คนเลวเกวอะไร...ทีเวลาแกวิ่งไปหาผู้ชายข้างถนนมาทำผัวได้ ทำไมไม่เอามาคิดเทียบกันมั่งหรือ
“คราวนี้เกิดอะไรขึ้นคะ ทุกทีไม่เคยเห็นคุณนิจจะขัดขวาง เวลาท่านจะมีเมียสักคน”“เพราะผมรู้ว่าแค่ของเล่นมังครับ นี่เกิดจะเอาจริงขึ้นมา อายุก็ปาเข้าไปปูนนี้แล้ว บอกจริงๆ นะครับ ตัวผู้หญิงน่ะยังพอจะวางใจได้ว่าซื่อๆ แต่ป้าของเขานั่นตะหาก ผมว่าท่าแกจะเค็มไม่เบา พาหลานสาวมาทำแบบนี้ก็นับว่าร้ายนะครับ...ไม่ใช่หวังดีหรอก”“เด็กไม่มีทางเลือกค่ะ” คุณจินดาบอก “แล้วก็กำลังมีปัญหามาด้วยซิ...”ชายหนุ่มหวนคิดถึงคืนนั้นที่เขาพากานพลูออกมาจากเธค แล้วไปที่โรงแรม แต่เขาก็ไม่ได้แตะต้องล่วงเกินหล่อนเลย เพียงแต่ยังไม่แน่ใจเท่านั้นว่า ก่อนหน้าคืนนั้นหล่อนเคยผ่านผู้ชายคนใดมาบ้าง...แล้วที่ป้าของหล่อนกลัวหล่อนจะท้องนั้น มันมีมูลความจริงเพียงใดกัน“คุณนิจรับปากดิฉันก่อนแล้วกันว่า จะไม่ไปหาเรื่องเธอ”ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย “นี่คุณจินดาเตรียมกางกั้นหล่อนเอาไว้แล้วหรือครับ”“ถ้าคุณกานจะต้องแต่งกับท่าน อยู่ที่นี่กับท่าน ดิฉันคิดว่าเธอควรจะมีใครสักคนเป็นพี่เลี้ยง แล้วการเป็นคุณนายบ้านนี้ เธอก็ควรอยู่บนลำแข้งตัวเอง ไม่ใช่เป็นหุ่นเชิดของคุณป้าเธอเอง...ไม่อย่างนั้นคุณเพ็ญแกคงจะสูบเลือดเอาไปจนหมดนั่นแหละ อย่างที่คุณนิ
“กานไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไรเลย”หล่อนบอกซ้ำๆ ซากๆ แต่ดวงหน้าขาวเผือดนั่นก็ทำให้นายบดินทร์ไม่อาจจะปักใจเชื่อได้“แค่ตกใจเท่านั้นเองค่ะ เดี๋ยวก็คงจะหาย กานซุ่มซ่ามไปมากกว่า”กานพลูออกตัว และนั่นเป็นสิ่งที่คุณนายจันทร์เพ็ญเห็นด้วยอย่างมาก นางกล่าวเสริมว่า“แม่คนนี้น่ะ ได้แผลเพราะความซุ่มซ่ามมาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะนี่ก็คงจะเพราะอยากลงไปเดินเล่น จนได้ดี มันยังมืดอยู่เลย...ทีหลังก็รอให้ฟ้าสว่างก่อนนะจ๊ะ แล้วเวลาเดินก็ดู ๆ ซะมั่ง เดี๋ยวดิฉันทายาเอง” นางบอกกับเขาให้คลายความห่วงใยลงไป พอเขาเดินไปจากห้องแล้ว นางก็เอ็ดหลานสาวทันที “ทีหลังระวังหน่อยนะ แกไม่ใช่เด็กเล็กๆ อีกแล้วจะได้ซุ่มซ่ามได้น่าเอ็นดูตลอด เขาจะเอือมระอาเอาได้ เพราะเขาจะให้แกเป็นเมีย ไม่ใช่เอามาเลี้ยงเป็นลูก”นั่นทำให้กานพลูไม่กล้าปริปากบอกนางเกี่ยวกับเรื่องพินิจนัยหล่อนนึกหวาดๆ ความหวาดนั่นทำให้หล่อนไม่อยากปรากฏตัวที่โต๊ะอาหารมื้อเช้า ซึ่งผึ้งบอกด้วยหน้าตาระรื่นว่า“คุณนิจจะมาทานข้าวเช้าด้วย เธอไม่ได้มานานแล้วนะคะ...ใครๆก็คิดถึงเธอ ยายแม่ครัวงี้ดีใจนักหนาที่จะได้ทำอาหารอร่อยๆ ให้เธอทาน”หญิงสาวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วนั่งห้อย