เสียงฟ้าร้องครืนครั่นดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้าสีหม่น บรรยากาศทั่วทั้งหมู่บ้านคล้ายกับถูกปกคลุมไปด้วยม่านสีเทาเข้ม ฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ห้าแล้ว น้ำฝนไหลรินลงมาตามชายคา สาดซัดใส่พื้นดินจนเละเป็นโคลน และลมก็พัดแรงขึ้นทุกวันเหมือนกับว่าโกรธเคืองบางสิ่งบางอย่าง
ลุงเหมืองยืนมองฟาร์มเหมืองแดงจากใต้ชายคาบ้าน ร่างกายเปียกโชกจากฝนที่พึ่งกลับมาจากการตรวจแปลงตอนเช้า
“ห้าวันติด มันตกไม่หยุดเลยจริง ๆ” เขาพึมพำกับตัวเองพลางส่ายหัวไปมา
ต้นมะเขือเทศที่ออกผลแล้วหลายสิบต้นถูกลมแรงกระโชกพัดจนโยกซ้ายเอนขวาเหมือนจะหักคาแปลง ฝนตกกระหน่ำโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยสักนิด ใบไม้ปลิวว่อนร่วงหล่นจากต้นลงสู่พื้นอย่างไร้ความปรานี
ในคืนวันที่หก เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาใกล้ ๆ ราวกับส่งสัญญาณสงครามจากฟากฟ้า พายุลมหมุนที่ตามมาต่อจากฝนได้กวาดเอาทุกอย่างที่ขวางหน้า ลุงเหมืองวิ่งออกไปถึงฟาร์มในความมืดโดยมีเพียงไฟฉายในมือ วิ่งฝ่าฝนและลมไปอย่างไม่คิดชีวิต
“ขอให้ไม่เป็นอะไรมากนะ” เขาท่องในใจมาตลอดทาง
แต่เมื่อมาถึง สิ่งที่เห็นตรงหน้ากลับทำให้หัวใจของลุงเหมืองแทบหยุดเต้น แปลงมะเขือเทศที่เคยเขียวชอุ่มมีดอกออกผลให้ชื่นชม กลายเป็นลานโคลนที่เต็มไปด้วยซากต้นไม้ที่ล้มระเนระนาด
ลูกมะเขือเทศสีแดงสุกงอมร่วงหล่นกระจัดกระจายบนพื้นดินที่เปียกชื้น บางต้นหักครึ่งกลางลำ บางต้นเกือบถอนรากถอนโคน ลุงเหมืองทรุดเข่าลงบนพื้นดินที่เปียกแฉะ แม้ว่าน้ำฝนจะซัดหน้าอย่างแรงเขาก็ไม่สนเลยแม้แต่น้อย ในใจหนักอึ้งยิ่งกว่าน้ำฝนทุกหยดที่เทลงมา
“นี่มันจบแล้วเหรอ..”
เช้าวันต่อมา
ท้องฟ้าสางด้วยแสงสีส้มอ่อน แต่กลับไม่มีความอบอุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว ลุงเหมืองยังคงนั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน สวมเสื้อเปียก ๆ จากเมื่อคืนที่ยังไม่ได้ถอด เปลือกตามีถุงใต้ตาที่เห็นได้ชัด บ่งบอกว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาไม่ได้นอนแม้แต่ชั่วโมงเดียว
“ลุง” เสียงของแพรดังมาจากหน้าบ้าน ก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งเข้ามาในสภาพที่เปียกเล็กน้อยจากละอองฝน
“เมื่อคืนฝนตกลมแรงมาก ฟ้าเปรี้ยง ๆ ตลอดทั้งคืนเลย วันนี้พอฝนซาลงหนูเลยรีบมาดู”
ลุงเหมืองไม่ตอบ ยังคงนิ่งเงียบอยู่ดั่งเดิมจนแพรต้องเอ่ยถามต่อ
“ลุงเหมือง ลุงไปดูแปลงมายังคะ”
แพรยังคงถาม พลางหอบหายใจเบา ๆ เพราะความเหนื่อยจากการที่รีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ลุงเหมืองพยักหน้าแทนคำตอบ ก่อนจะเปรยเสียงแหบต่ำออกมา
“ต้นมะเขือเทศพังหมดแล้ว ลูกก็หล่นเลอะโคลนไปหมด”
แพรนิ่งเงียบ ถึงแม้เธอจะคาดไว้บ้างแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจะรุนแรงขนาดนี้
“หนูขอโทษนะลุง”
“มันไม่ใช่ความผิดของหนูหรอก” ลุงเหมืองส่ายหน้า
“แต่ลุงก็ หมดแรงใจแล้ว”
ลุงเหมืองเงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่แพรจะเอื้อมมือไปจับที่แขนของเขาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ลุงเหมือง ลุงรู้ไหมคะ ว่ามะเขือเทศที่พังไป มันยังไม่เท่ากับสิ่งที่ลุงสร้างมาในหัวใจของคนทั้งหมู่บ้าน ในหัวใจของลูกค้าที่รอกินมะเขือของลุง”
“แต่มันทดแทนกันได้เหรอ” ลุงเหมืองถามเสียงสั่น
“ไม่ได้ค่ะ แต่เชื่อหนูเถอะ ทุกคนจะไม่ยอมให้ลุงสู้คนเดียวแน่นอน”
ในจังหวะนั้นเอง เสียงประตูไม้ของบ้านก็ถูกเปิดออก ยายคำแดง หญิงชราร่างเล็กผิวเหี่ยวย่นแต่แววตากลับเด็ดเดี่ยวเดินออกมาอย่างช้า ๆ พร้อมกับไม้เท้า
“แม่” ลุงเหมืองรีบลุกขึ้นไปประคองผู้เป็นแม่
“แม่รู้หมดแล้ว” ยายคำแดงพูดเสียงเรียบ
“ฝนฟ้ามันก็ดีแต่ตอนมันรินให้ต้นไม้โตแหละ พอเกรี้ยวกราดขึ้นมาทุกอย่างก็พังหมด นี่คือธรรมชาติ”
“แม่เห็นเอ็งทำสวนปลูกผักแล้วมีความสุข แม่ก็มีรอยยิ้มทุกวัน แต่วันนี้แม่ไม่อยากเห็นเอ็งต้องนั่งหน้างอไร้แรงใจแบบนี้”
ลุงเหมืองเงยหน้าขึ้นมองแม่ แววตาเหมือนเด็กเล็กที่กำลังขอโทษโดยไม่พูด
“ตอนแม่ยังสาวเคยปลูกข้าว” ยายคำแดงพูดต่อ
“อยู่ ๆ น้ำก็หลากท่วมนาก่อนเก็บเกี่ยว แทบอยากกระโดดลงคลองเพื่อตายหนีโลก แต่ก็ไม่ตาย เพราะอะไรรู้ไหม”
“เพราะหัวใจยายยังอยู่” แพรพูดเบา ๆ
“ใช่” ยายคำแดงยิ้ม
“เอ็งฟังแม่นะเหมือง หัวใจของคนปลูกสำคัญกว่าต้นกล้าเยอะเลยลูกเอ๊ย”
ลุงเหมืองหลุบตาลงต่ำ ยกมือไหว้แม่แนบอกพลางเอ่ยเสียงสั่นเครือ
“ฉันขอโทษนะแม่ ฉันแค่เหนื่อย”
“เหนื่อยก็พักก่อนลูก แต่จะถอยไม่ได้ เพราะฟาร์มนี้มันคือชื่อของแม่และของเหมือง จำไว้สิ คนเราเกิดมาต้องสู้”
เงียบไปอึดใจใหญ่และแล้วลุงเหมืองก็พยักหน้า เหมือนยอมรับบางอย่างกับตัวเอง
“หนูว่าเรายังพอฟื้นได้อยู่นะลุง” แพรพูดขึ้นบ้าง
“ต้นที่ไม่เสียหายมาก เรายังพอพยุงไว้ได้ แล้วก็ค่อยเพาะใหม่พร้อมกันอีกรอบ”
“แล้วบ่อน้ำยังอยู่ใช่ไหม” ยายคำแดงถาม
“ยังอยู่จ้ะยาย น้ำก็ยังพอมีในบ่อ”
“นั่นล่ะสิ่งที่แม่จะบอก มันคือชีวิต ในเมื่อมันยังอยู่ เราก็ยังสู้ได้ไม่ใช่เรอะ เอ็งอย่าท้อสิ” ยายคำแดงพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่ลุงเหมืองไม่ได้เห็นมาหลายปี
ตลอดสัปดาห์นั้น ลุงเหมืองกับแพรช่วยกันลงแรงเก็บกวาด
ใช้ไม้ไผ่ทำโครงค้ำต้นมะเขือเทศที่ยังไม่ตาย เก็บลูกมะเขือเทศที่ยังพอกินได้มาทำซอส ส่วนต้นที่ล้มทั้งหมดก็นำมาสับทำปุ๋ยหมัก
ถึงแม้ว่าฝนจะยังตกทุกวัน แต่หัวใจของลุงเหมืองกลับไม่สั่นคลอนอีกแล้ว ลุงเหมืองใช้เวลาทำป้ายใหม่ บนป้ายเขียนว่า “ฟาร์มเหมืองแดง ฤดูที่สอง” ตัวหนังสือเขียนด้วยลายมือของตัวเอง ถึงแม้จะเบี้ยวไปหน่อย แต่ก็ภาคภูมิใจมากกว่าครั้งแรกเสียอีก
“ฤดูที่สองนี่แหละ ที่จะโตไปพร้อมหัวใจที่แข็งแรงกว่าเดิม”
ลุงเหมืองหันไปบอกกับแพรที่ยืนอยู่ข้างกัน และแพรก็ส่งยิ้มให้แทนคำตอบ
“หนูจะอยู่ปลูกมะเขือเทศไปกับลุงทุกฤดูเลยค่ะ”
ถึงแม้ว่าพายุฝนจะทำให้แปลงปลูกพัง ทำให้ต้นมะเขือเทศล้ม ทั้งดอกทั้งผลร่วงหล่นเละไม่เป็นท่า แต่พายุฝนไม่ได้พังหัวใจของคนที่รักในสิ่งที่ทำไปด้วย หัวใจของลุงเหมืองยังคงอยู่ และสิ่งนี้ ก็คือสิ่งที่พายุฝนไม่มีวันพรากจากไปได้...