“ไท่จื่อท่านลงโทษพระชายาแล้ว ยังต้องรับธิดาเจ้าบาดาลไว้อีกหรือ”
เทพสงครามจิ่นลี่มาพบไท่จื่อถึงตำหนักเฉิงคุน หลังจากองค์จักรพรรดิประทานอภิเษกของไท่จื่อกับธิดาของเจ้าบาดาล
“หากพระชายารู้จะเสียใจแค่ไหน ท่านลงโทษพระนางเพราะฆ่าคนที่ทำร้ายตนเอง แล้วยังรับคนที่พูดให้ร้ายมาเป็นสนม ราวท่านไม่นึกถึงใจพระนางเลย”
มีเพียงเทพสงครามเท่านั้นที่กล้าออกความเห็นกับไท่จื่อ เพราะเป็นน้องชายในฮองเฮาพระมารดาเดียวกัน เรียนรู้ทั้งด้านกลการรบและวิชาความรู้มาด้วยกันเหมือนเพื่อนคู่คิด
“เรื่องราวคลุมเครือ นางไม่อาจแก้ต่างให้ตัวเองพ้นผิดได้ จะให้ข้าทำอย่างไร ข้าไม่อาจมองข้ามได้จิ่นลี่ หากช่วยนางก็ต้องผิดใจกับเผ่าบาดาล ข้าคือไท่จื่อสวรรค์จะลำเอียงไม่ได้”
ไท่จื่อเจิ้งหานถอนหายใจเคร่งเครียด
“ถึงอย่างนั้นข้าก็คิดว่าท่านไม่จำเป็นต้องยอมรับธิดาของเจ้าบาดาล”
“จุดประสงค์เจ้าบาดาลกับบุตรีมีหรือที่ข้าจะมองไม่ออก ยิ่งสูญเสียบุตรชายก็คงยากที่จะล้มเลิกความตั้งใจ ไม่ทำเช่นนี้คิดหรือว่าเผ่าบาดาลจะยอมจบโดยง่าย หากเรื่องถึงพระบิดา หนิงเฟิ่งอาจไม่เพียงแค่รับสายฟ้าฟาด”
ใช่ว่าจิ่นลี่จะไม่เข้าใจไท่จื่อว่าที่ลงโทษพระชายาหนักเช่นนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อช่วยนาง ให้เผ่าบาดาลไม่อาจแย้งได้ว่าลงโทษสถานเบาทั้งที่ฆ่าคน แต่ยิ่งรู้ทันเจ้าบาดาลและไท่จื่อก็ยินยอมทำตามเขายิ่งขุ่นเคืองใจ
“เจ้าบาดาลมักใหญ่ใฝ่สูงนัก”
จิ่นลี่ทำได้เพียงเข่นเขี้ยว
“เคราะห์ร้ายกลับตกไปอยู่ที่พระชายา”
ได้ฟังคำของน้องชายแล้วไท่จื่อเจิ้งหานก็ขบกรามเข้าหากันก่อนจะเอ่ย
“หนิงเฟิ่งย่อมต้องเข้าใจในตัวข้า นางคือชายาคู่ใจข้า”
“แล้วท่านล่ะ เข้าใจในตัวพระนางหรือไม่ ท่านเชื่อใจพระนางหรือไม่ หรือแคลงใจและเชื่อคำพูดของคนเผ่าบาดาล”
คำถามนี้แม้แต่ไท่จื่อเองก็ไม่อาจหาคำตอบให้ตนได้
อิงอิงปลูกอวี้หลันสีทองด้วยพลังเวทย์ของตน อุทยานส่วนตัวของพระชายาน้อยคนนักจะมีสิทธิ์เข้ามา แต่นางก็เฝ้าต้นอวี้หลันตามคำสั่งพระชายา แม้โล่งใจอยู่บ้างที่วันนี้พระนางจะกลับมาหลังจากรับโทษสายฟ้าครบสามวัน แต่ก็อดห่วงไม่ได้ว่านายตนอาจบาดเจ็บสาหัส
“หรือข้าควรไปรับพระชายา”
ระหว่างที่ไม่อาจตัดสินใจได้อยู่นั้น ก็รับรู้ได้ถึงความอึกทึกด้านนอกจึงออกไปดู และเห็นว่าภายในวังมีงานใหญ่
“พี่สาว นี่คืองานมงคลอะไร”
นางไม่ได้ออกไปไหน เพราะเกรงดวงจิตน้อยมีภัย ทั้งยังเศร้าโศกกังวลใจเรื่องนายของตนเกินกว่าจะพบเจอใครจึงไม่รู้ความเป็นไปในวัง
“องค์จักรพรรดิประทานอภิเษกไท่จื่อกับธิดาของเจ้าบาดาล เพราะมีความชอบในการศึก ให้เป็นพระสนมเอก”
นางกำนัลในวังนางหนึ่งหันมาตอบก่อนจะรีบไปทำธุระของตนต่อ
อิงอิงถึงกับนิ่งงันไป อึดใจต่อมาความร้อนใจก็ทำให้นางไม่อาจนิ่งเฉยได้
“พระชายา”
อิงอิงมาถึงก็เห็นร่างสะบักสะบอมเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลไหม้รอยเลือดบนเนื้อตัวกับเสื้อผ้าและนอนฟุบอยู่บนแท่น นางถลาเข้าไปหาทันใด
เทพสายฟ้ามองภาพที่เห็นอย่างสะท้อนใจ พระชายาหนิงเฟิ่งช่างใจเด็ดน่าชื่นชมนัก แม้จะบาดเจ็บสาหัสพระนางก็ฝืนยืนรับการลงทัณฑ์อย่างไม่ยอมอ่อนแอ เพิ่งล้มลงในครั้งสุดท้ายที่เขาฟาดสายฟ้าใส่เมื่อแสงอรุณรุ่งมาเยือนนี่เอง
“อิงเอ๋อร์ เจ้ามาที่นี่ทำไม เหตุใดไม่ทำตามที่ข้าสั่ง”
หนิงเฟิ่งตำหนิคนของตนเสียงอ่อนระโหย ยังรู้สึกตัวไม่ถึงกับสลบไสลไป ร่างกายทั้งแสบและรวดร้าวแทบไม่มีแรงขยับ
“ข้าเป็นห่วงท่าน”
“เอาเถอะ เมื่อมาแล้วก็พาข้ากลับตำหนักฮวาหรงเถิด”
“ข้าว่าท่านเจ็บหนักเช่นนี้อย่าเพิ่งเร่งรีบกลับตำหนักเลย”
อิงอิงหาทางถ่วงเวลา อย่างน้อยก็สักชั่วยามให้งานอภิเษกใหญ่ผ่านพ้น แม้จะยังเต็มไปด้วยการประดับประดาจนรับรู้ได้หากก็ยังดีกว่าไปถึงและพบขบวนเกี้ยวเข้าพอดี
“ข้าไม่อยากชักช้า เจ้าละทิ้งหน้าที่ ข้าเป็นห่วง...”
เพราะเทพสายฟ้ายังอยู่หนิงเฟิ่งจึงยั้งตนเองไว้
“ข้าเองก็เห็นด้วยกับเซียนบุปผา พระชายาพักสักครู่เถิด”
เทพสายฟ้าเองก็ออกความเห็นเช่นกัน ในเมื่อเวลานี้ร่างกายของพระชายาบอบช้ำอย่างหนัก ยังไม่อาจฟื้นฟูพลังปราณกลับมาได้โดยเร็วจึงไม่ควรรีบร้อนใช้พลังนัก
“ข้าไม่เป็นไร”
หนิงเฟิ่งส่ายหน้าพร้อมจับมืออิงอิงให้ช่วยพยุง
“ข้าต้องรีบไป”
“พระชายาโปรดถนอมตัวเอง ตำหนักฮวาหรงเรียบร้อยดีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
แม้จะทัดทานแต่อิงอิงก็พยุงร่างให้นายตนลุกขึ้น ขณะที่กำลังจะก้าวหนิงเฟิ่งก็ทรุดลงอีกครั้ง และร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นช่วยรั้งประคองอีกข้างให้นางสามารถทรงตัวได้
“ท่านเทพสงคราม”
หนิงเฟิ่งพึมพำขณะหันมองคนที่ปรากฏตัวใกล้ตน
“ข้ามาพาท่านกลับพระชายา”
เมื่อเป็นผู้พามา จิ่นลี่ก็ทำหน้าที่พากลับ เขาไม่อาจละเลยพระชายาได้ ทั้งเวลานี้ไท่จื่อก็ต้องทำหน้าที่ของตนไม่สามารถมาที่นี่ได้เช่นกัน
“เทพสงครามช่างมีน้ำใจ ขอบคุณท่านมาก”
หนิงเฟิ่งไม่อยากนึกเปรียบเทียบเขากับสวามีของตน หากในใจก็ราวถูกบั่นทอน ไท่จื่อไม่ดูดำดูดีนางเลยหรืออย่างไร ไม่แม้แต่จะมาเยือนที่นี่ในสามวันที่ผ่านมา ไม่สนใจด้วยว่าถูกลงทัณฑ์แล้วร่างกายของนางจะบาดเจ็บแค่ไหน
“เดี๋ยวท่านเทพ ข้าว่าให้พระชายาพักก่อนเถิด”
อิงอิงรีบเอ่ยรั้ง นางไม่อยากให้นายตนไปเผชิญกับงานอภิเษกใหญ่โตของไท่จื่อ พยายามอ้อนวอนเทพสงครามด้วยสายตาหวังจะเข้าใจในความนัยของนาง
“อิงเอ๋อร์ ข้าอยากกลับตำหนัก เดี๋ยวนี้”
แม้จะอ่อนแรงแต่หนิงเฟิ่งก็ฝืนเสียงเข้มกับคนของตน
แรกทีเดียวจิ่นลี่ยังไม่ทันสังเกต แต่เห็นแววตาราวขอร้องของอิงอิงแล้วเข้าก็เดาจุดประสงค์ของนางได้
“อิงอิงหวังดีกับพระชายา ข้าเองก็เห็นว่าท่านควรพักก่อน”
หนิงเฟิ่งไม่ฟังใครทั้งนั้น นางห่วงลูกน้อยของนาง ยังไม่ทันได้เติบโตในครรภ์นางด้วยซ้ำก็ต้องออกมาเผชิญโลกภายนอกก่อนเวลาอันควร นางต้องการหาทางช่วยโอบอุ้มให้ลูกได้มีชีวิตและเติบโตขึ้น
“ข้าไม่ได้อ่อนแอจนต้องพึ่งพาใคร หากท่านไม่พากลับ คิดว่าข้ากลับเองไม่ได้หรือ”
นางสะบัดมือออกจากทั้งสองคน แต่ก็เซถลาจนทั้งเทพสงครามกับอิงอิงต้องรีบเข้ามาช่วยไว้
“พระชายา ท่านอย่าทำร้ายตัวเองเช่นนี้เลย”
อิงอิงห้ามเสียงสั่นเครือน้ำตาคลอ แต่หนิงเฟิ่งก็ยังขยับตัวต้องการกลับตำหนักให้ได้โดยเร็ว
“หากท่านต้องการกลับจริง ข้าจะช่วยท่านเอง ท่านอย่าใช้พลังปราณของท่านอีกเลย”
เทพสงครามจำต้องช่วยอย่างไม่อาจเลี่ยง หากยังปล่อยให้พระชายาดื้อดึงต่อไป นางจะยิ่งทำให้ตนเองสูญเสียพลังที่ยังไม่ได้ฟื้นคืนลงไปยิ่งกว่าเดิม
อิงอิงยิ่งไม่สบายใจแต่นางไม่มีอำนาจสั่งผู้ใดได้ จำต้องประคองร่างอ่อนแรงของพระชายาไปพร้อมกับเทพสงคราม
==========
ไท่จื่อคิดว่าหนิงเฟิ่งจะเข้าใจ แต่ไปเยี่ยมหน่อยจะได้คุยกัน หนิงเฟิ่งเองก็จิตใจแกร่งมาก ไม่ยอมอ่อนแอเลย T^T
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นทำให้นางหันมอง แล้วก็ลุกขึ้นยืนด้วยสัญชาตญาณ เพราะสองคนผู้มาใหม่พร้อมกับบิดามารดานั้นดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ทั้งฝ่ายผู้หญิงยังเดินตรงมาหานางเร็วกว่าคนอื่นและจับมือทันที“ช่างสวยน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก”อวี้หลันยืนงง ขณะอีกฝ่ายลูบผมนาง“หลันเอ๋อร์ นี่คือท่านย่าของเจ้า”มารดาเดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยเสียงเบา“ท่านย่า”สาวน้อยย่อตัวลงเล็กน้อยแม้จะยังอึ้งแปลกใจ และบิดาก็เอ่ยขึ้นนางจึงต้องหันมองตาม“แล้วนี่ก็ท่านปู่”“ท่านปู่”นางย่อตัวลงอีกครั้ง สบตาคมดูมีอำนาจของผู้เป็นปู่แวบเดียวก็หลบ แล้วก็ต้องยิ้มบางกับท่านย่าที่ประคองสองข้างแก้มตน“ไหนให้ย่าดูชัดๆ สิ เหมือนเจิ้งหานเมื่อยังเด็ก แต่ก็คล้ายหนิงเฟิ่ง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะโตถึงเพียงนี้”“หากพวกท่านมาเยี่ยมท่านพ่อบ่อยๆ ก็จะไม่คิดว่าข้าโตเร็ว”“หลันเอ๋อร์”หนิงเฟิ่งดุเสียงเบา ทว่าอวี้หลันไม่ได้สลดนัก นางคิดว่านางพูดความจริง ตนนั้นเห็นว่าบิดาเป็นเซียนปลายแถวทำสวน หากก็รักท่านมาก ทั้งเมื่อเห็นญาติฝ่ายมารดามาเยี่ยมไม่เคยขาด ยังอดคิดไม่ได้ว่าบิดาคงโดดเดี่ยวไร้ญาติ น่าสงสาร แต่นางก็ไม่เคยพูดสิ่งนี้กับผู้ใด“จริงนี่เจ้าคะ ข้าคิดว่
“แล้วนี่จะเรียกว่าท่านปรนนิบัติได้อย่างไร”นางนึกหมั่นไส้คนที่ถูกตำหนิแล้วยังยิ้มกลับมาตรงหน้านัก“อย่างนี้ไงเล่า”มือหนาข้างหนึ่งวางกระชับสะโพกผาย ส่วนอีกข้างทาบเหนือทรวงอวบขาวแล้วฟอนเฟ้นพร้อมเพรียงกัน ทั้งยังสลับไปมาขณะที่สะโพกแกร่งด้านล่างก็ขยับเร้าร่างหญิงสาวจนในที่สุดหนิงเฟิ่งก็ต้องเคลื่อนไหวสะโพกตนตามอีกฝ่าย“อืม ไม่นะ นี่ข้าปรนนิบัติท่าน”มือเกาะบ่าหนาเป็นหลักขณะเอ่ยแย้ง“แล้วอย่างนี้เล่า”คราวนี้ปลายนิ้วแกร่งเปลี่ยนมาไล้วนเหนือสัดส่วนบอบบางด้านหน้าเร็วรี่จนหญิงสาวต้องกัดฟันครางยาวในลำคอ ซุกซบใบหน้าลงกับซอกคอแกร่งเพราะอ่อนไหวเสียดสยิวจนไม่อาจขยับได้อีกแล้ว ร่างงามเกร็งขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกร้อนเหมือนไฟลุกท่วมตัวกระทั่งกระตุกอย่างรุนแรง เอนกายเข้าหาร่างแกร่ง และแขนกำยำก็โอบกอดนางไว้ ขณะที่สะโพกหนาเคลื่อนไหวเชื่องช้าเหมือนกำลังเริ่มต้น หากหนิงเฟิ่งก็รู้ว่าเขาจะไม่หยุดเพียงเท่านี้“พอใจหรือยังชายาที่รักของข้า”นางกัดฟันไม่ยอมตอบหากกลับนั่งตั้งหลักอย่างมุ่งมั่น โยกไหวสะโพกสวนกลับชายหนุ่ม เร่งจังหวะให้เร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว เห็นว่าชายหนุ่มเองก็ขบกรามแน่นเช่นกันนางก็นึกพอใจ ในเมื่อถูกเล่นง
“องค์ชายเจิ้งหานมาขอพบเจ้าค่ะ”อิงอิงกระซิบบอกผู้ที่อยู่ในสระอาบน้ำเล็กหนิงเฟิ่งขมวดคิ้ว นึกแปลกใจด้วยปกติแล้วเจิ้งหานจะไม่เข้ามาในตำหนักหากไม่มีกิจจำเป็น ทั้งยังในเวลาส่วนตัวเช่นนี้ทว่าวันนี้เขามาร่วมโต๊ะกับเทพธิดาบุปผาที่ต้อนรับไท่จื่อสวรรค์ในตำหนัก ส่วนหนิงเฟิงกับลูกอยู่ที่ตำหนักเล็กของตน เพราะเห็นว่าเป็นการใหญ่เกินไป นางไม่อยากให้อวี้หลันคิดว่าตนนั้นอยู่เหนือผู้อื่น อยากให้ลูกเป็นเทพเซียนน้อยผู้หนึ่งในดินแดนบุปผาเท่านั้น“เวลาเช่นนี้น่ะหรือ”เวลาที่นางอาบน้ำอยู่...อีกฝ่ายคงเพิ่งแยกจากไท่จื่อจิ่นลี่แล้วมายังตำหนักเล็กนี้“อิงอิงจะไปทูลว่าองค์หญิงยังไม่สะดวก”อิงอิงเอ่ยอย่างรู้ใจ ทว่าเสียงเข้มดังขึ้นห่างออกไป“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเจ้า”เจิ้งหานเชิญตนเองเข้ามา ทำเอาอิงอิงหน้าเสีย ตำหนักเล็กของหนิงเฟิ่งนั้นมีเพียงอิงอิง เพราะนางต้องการเพียงเท่านี้ และถือว่าตนนั้นเป็นเพียงผู้อาศัยเทพธิดาบุปผาจึงไม่ต้องการมีคนมาคอยห้อมล้อมเช่นตอนที่อยู่เผ่าวิหค หรือแม้แต่บนสวรรค์ นางต้องการเลี้ยงลูกด้วยตัวเองแม้มีม่านกั้นหากหนิงเฟิ่งก็รู้สึกขนลุกและวูบวาบตามผิวกายเพียงได้ยินเสียงเข้มของเจิ้งห
ไท่จื่อจิ่นลี่เพิ่งเคยมายังดินแดนบุปผาครั้งแรก ความงดงามชื่นตาชื่นใจจากพันธุ์ไม้ดอกไม้ให้ความรู้สึกสดชื่นในทันทีที่เหยียบย่างเข้ามา“ท่านมาพบผู้ใด โปรดแจ้งนาม”ผู้ที่เฝ้าประตูทางเข้าดูค่อนข้างมีอายุ หากก็ไม่ถึงกับดุเข้มจนน่ากลัว“ข้ามาพบเจิ้งหาน บอกเขาว่าจิ่นลี่มาเยี่ยมเยือน”ครั้งนี้เขาลงไปแก้ปัญหาน้ำหลากท่วมบ้านเรือนมนุษย์กับหวังหย่ง และผ่านดินแดนบุปผาจึงอยากเยี่ยมพี่ชายที่ไม่พบหน้ากันมาถึงพันสองร้อยปี“ชื่อท่านช่างคุ้นยิ่งนัก”หวังหย่งขยับจะพูด ทว่าจิ่นลี่เหลือบมองห้ามปรามจึงเงียบไป“เชิญตามข้ามาทางนี้”อีกฝ่ายไม่ซักไซ้สงสัย ทั้งยังนำทางโดยง่าย จิ่นลี่ก็ยิ้มบางแล้วเดินตามไปโดยมีหวังหย่งผู้ที่มีหน้าที่ช่วยราชกิจไท่จื่อแบบใช้กำลังตามติดไม่ห่าง ส่วนจางหย่งนั้นเป็นผู้ดูแลงานด้านงบประมาณและฎีกาเมื่อมาถึงหน้ากระท่อมเนินเขาที่มีไร่ดอกไม้ล้อมรอบจิ่นลี่ก็รู้สึกไม่ดียิ่งนัก พี่ชายตนต้องลำบากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ที่อยู่หลับนอนก็เป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ หากมารดามาเห็นคงปวดใจ ยิ่งบิดาคงยิ่งกรุ่นโกรธผู้นำทางไปแล้วจิ่นลี่กำลังคิดว่าจะเคาะประตูดีหรือไม่ก็มีเสียงหวานใสของผู้หนึ่งดังขึ้นไม่ห่างนัก“พ
“ยอดดวงใจของข้า เจ้าเจ็บปวดกับสิ่งที่ข้าทำ ไม่ยกโทษให้ไปอีกแสนปีก็ย่อมได้ ตามแต่ใจเจ้าต้องการ แต่ความรักของข้าก็ยังเป็นเจ้า หัวใจของข้าอยู่ที่เจ้าเสมอหนิงเฟิ่ง”บอกแล้วปากได้รูปก็จูบลงบนหน้าผากสวยราวตอกย้ำคำพูดตน เขาไม่ต้องการขอให้อีกฝ่ายยกโทษให้อีกแล้ว นับจากได้ยินว่าตนสั่งลงทัณฑ์สายฟ้าจนเกือบสูญเสียลูกน้อยและหนิงเฟิ่งพยายามเพียงไรเพื่อให้อวี้หลันมีชีวิตอยู่ เจิ้งหานก็ปวดร้าวในอก เขาเกือบฆ่าลูกของตนไปแล้ว หากไม่เพราะหนิงเฟิ่งคงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าหรือได้อุ้มลูกน้อย“ข้าไม่รู้”เสียงหวานพร่าเอ่ยเบาหวิว“แต่ข้ารู้เพียงว่า มีท่านอยู่ใกล้ ข้ากับลูกจะปลอดภัย”ใบหน้างดงามนองน้ำตาเงยขึ้น เจิ้งหานยิ้มรับกับคำพูดของอีกฝ่ายด้วยหัวใจที่ชุ่มชื่นขึ้น เท่านี้ก็ดีมากแล้ว เขาก้มลงทาบทับปากได้รูปบนหน้าผากสวย เปลือกตาทั้งสองข้าง และข้างแก้มที่ชื้นด้วยน้ำตา ก่อนจะไล่มายังริมฝีปากอิ่ม จูบซับบางเบาแล้วค่อยเพิ่มน้ำหนักขึ้น มือช้อนใต้ศีรษะเล็กเมื่ออีกฝ่ายเริ่มแหงนเงยรับเขาปลายลิ้นอุ่นเริ่มเคลื่อนไล้ก่อนจะรุกล้ำภายในปากนุ่มเพราะอีกฝ่ายเปิดหนทาง หนิงเฟิ่งจูบตอบคลอเคลียกับชายหนุ่มอย่างยินยอม สองแขนเรียวเค
หนิงเฟิ่งลืมตาขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่จำเหตุการณ์สุดท้ายได้จึงรีบผวาลุกขึ้น เมื่อเห็นว่าบุตรสาวนอนอยู่ในอ้อมกอดระหว่างกลางร่างตนกับเจ้าของร่างสูงสง่า ทั้งยังหายใจขึ้นลงผะแผ่วเป็นปกติก็ถอนหายใจ เหลือบมองใบหน้าคมคายที่ค่อนข้างซีดแล้วก็แตะหลังมือบนหน้าผากกว้างอีกฝ่ายตัวอุ่นแต่ดูเหมือนคนป่วยทำให้นางขมวดคิ้ว ทว่ามาคิดดูแล้วคงเพราะเจิ้งหานใช้พลังเพื่อช่วยนางกับลูก เห็นอย่างนี้แล้วนางจะพาอวี้หลันกลับไปเลยก็คงไม่ได้ร่างอ้อนแอ้นลุกขึ้นพร้อมกับอุ้มลูกน้อยไปวางบนเตียงด้านใน ส่วนร่างสูงของเจิ้งหานนางร่ายเวทย์เคลื่อนย้าย เปลี่ยนเสื้อผ้าของทั้งเขากับลูกและตนเอง ห่มผ้าให้ทั้งคู่อย่างเรียบร้อยก่อนจะออกไปด้านนอกหนิงเฟิ่งไปยังบ่อน้ำทิพย์และนำน้ำกลับมาให้เจิ้งหานดื่ม นางพยายามค่อยๆ ประคองอีกฝ่ายให้ดื่มน้ำทิพย์จนสำเร็จ เช็ดปากและห่มผ้าให้เช่นเดิม ทว่าพอจะลุกขึ้นกลับถูกจับข้อมือไว้“นี่ท่านฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ”นางหันไปมองพร้อมกับเอ่ยเสียงเข้ม“เพิ่งรู้สึกตัวก่อนที่เจ้าจะเข้ามานี่แหละ พอได้ยินเสียงก็เลยหลับตาลงต่อ”“ท่านหลอกข้า”หนิงเฟิ่งพยายามดึงมือออกจากอีกฝ่ายให้ได้“เปล่าเลย แค่หลับตา