ฉันยืนอยู่หน้าประตูห้องพักในปีกตะวันออกของวัง
แสงจันทร์สาดผ่านกระจกสีหลากเฉด ทาบเงาอ่อน ๆ ลงบนพรมลวดลายวิจิตร ยามเย็นคลี่ตัวลงอย่างเงียบงัน บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความสงบแบบที่ไม่แน่ใจว่าจะเชื่อได้หรือไม่
เมื่อประตูเปิดออก
เบื้องหน้าคือห้องพักกว้างขวาง ตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าอ่อนและเงิน ราวกับห้องของเจ้าหญิงที่หลุดออกมาจากภาพวาดโบราณ
เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องทำจากน้ำแข็งแกะสลักอย่างประณีต เงาวาวใสราวผลึกแห่งหิมะพันปี
สายตาฉันหยุดลงที่โต๊ะเครื่องแป้ง เครื่องประดับเล็ก ๆ ถูกจัดเรียงไว้อย่างประณีต
“องค์ชายหลงอวิ๋น...”
ฉันพึมพำแผ่วเบา รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในห้องนี้สะท้อนถึงความเอาใจใส่ของเขา ทั้ง ๆ ที่เขามักจะทำตัวเย็นชา...แต่กลับอบอุ่นในแบบที่คาดไม่ถึง
ฉันเดินสำรวจต่ออย่างช้า ๆ จนสายตาเหลือบไปเห็นหมอนอิงใบหนึ่งบนเตียงขนาดใหญ่ ด้วยความเคยชิน ฉันยื่นมือไปจัดให้เข้าที่ แต่แล้ว...ปลายนิ้วสัมผัสเข้ากับบางสิ่งที่แข็งกว่าเนื้อผ้า
“หือ?” ฉันขมวดคิ้ว ก่อนจะค่อย ๆ ยกหมอนขึ้น
ใต้หมอนนั้น...คือสมุดบันทึกเล่มเล
เสียงลมหายใจของฉันแผ่วเบาในห้องเงียบ มีเพียงแสงจันทร์อ่อนที่ส่องลอดผ้าม่านลงมากระทบหลังมือฉันขณะสับไพ่ทาโรต์ เสียงกระดิ่งจากข้อมือดังกริ่งเบา ๆ ทุกครั้งที่นิ้วลากผ่านไพ่ ราอูลเพิ่งจากไปหลังเอ่ยคำเตือนเพียงประโยคเดียว—ประโยคที่ยังสั่นอยู่ในอกฉันจนถึงตอนนี้“หากเจ้าอยากรู้ว่าความรักครั้งนี้จะสิ้นสุดอย่างไร...จงถามไพ่ของเจ้า”ฉันวางไพ่สามใบเรียงลงบนโต๊ะไม้เก่า ทุกใบเหมือนจะสั่นเล็กน้อย—หรืออาจเป็นฉันเองที่กำลังสั่นอยู่ใบแรก: The Lovers (กลับหัว)ใบที่สอง: Death (ตั้งตรง)ใบที่สาม: The Star (กลับหัว)ฉันรู้ทันที…ว่ามันไม่ใช่คำตอบที่ดีนักรักที่ต้องเลือกระหว่างสองทางการจบสิ้น…และความหวังที่ริบหรี่ หากใจไม่มั่นพอ“จะต้องมีคนหนึ่ง...ที่เสียสละ” ฉันกระซิบออกมา ลูบแผ่นไพ่ด้วยปลายนิ้ว เสียงหัวใจเต้นหนักจนรู้สึกได้ถึงชีพจรที่ข้อมือ รอยสักที่ข้อมือฉันเรืองแสงจาง ๆทันใดนั้นเอง—แสงสีฟ้าม่วง
หลังจากเอลาเรียฟื้นคืนจากห้วงหลับใหล เธอได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดภายในตำหนักส่วนพระองค์แม้หลงอวิ๋นจะไม่อยากห่างจากเธอแม้เพียงหนึ่งลมหายใจ แต่ในฐานะองค์ชายผู้ถือดุลอำนาจแห่งราชวังเทียนหลง เขายังต้องแบกรับภาระ…เพื่อทั้งราชวงศ์ และโลกทั้งใบทุกเช้า เขาจะเป็นผู้ประคองเธอลุกจากเตียงด้วยมือตนเอง ก่อนจะก้มจูบหน้าผากเธอแผ่วเบา แล้วผละจากมาอย่างเงียบ ๆ พร้อมคำมั่นสัญญาซ้ำเดิม“อีกไม่นาน ข้าจะกลับมา...พร้อมข่าวดี”แต่ภายในห้องประชุมของราชสภามังกร ไม่มีสิ่งใดใกล้เคียงคำว่า ‘ข่าวดี’เหล่าองค์ราชาแห่งมังกรทั้งห้าทิศประจำที่อยู่ในที่นั่งสูง แวดล้อมด้วยขุนนางอาวุโส มังกรเวท และบรรดาสายสืบจากแต่ละแคว้น ผู้ทำหน้าที่รายงานการเคลื่อนไหวของเหล่าศัตรูที่ยังหลบซ่อนอยู่ในเงามืด“...มีรายงานจากหุบผาดำ” ไคเซอร์ องค์ชายแห่งมังกรดำ กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“พบร่องรอยเวทที่ใกล้เคียงกับเนรูไซร์ แม้มันจะถูกผนึก แต่แก่นเวท...ยังไม่สลาย”“มันจะตื่นไม่ได้” หลงอวิ๋นกล่าวเสียงเย็นเยียบ&
ณ ห้องบรรทมแห่งวังเทียนหลง — เมื่อม่านจันทราปิดบังสายตาจากท้องฟ้าเบื้องบนเสียงประตูห้องบรรทมปิดลงเบา ๆ ราวกับไม่อยากรบกวนเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นรัวอยู่ในห้วงเดียวกันแสงเทียนนับสิบเล่มล่องลอยกลางห้องอย่างสงบ เปลวไฟสะบัดปลายไหวในจังหวะอ้อยอิ่ง พาแสงส้มอุ่นทอดเงาบนผนังหินแกะลาย เงาสองร่างทาบทับกัน ใกล้...จนแทบกลืนเป็นหนึ่งเดียวหลงอวิ๋นไม่ได้พูดสักคำ...แต่ในดวงตาของเขา มีคำมากมายที่ถูกกักเก็บไว้นานนับคืนความโหยหา ที่กัดกินทุกวินาทีของการรอคอยความรัก ที่ถูกหล่อหลอมด้วยทั้งเวทมนตร์และความเจ็บปวดความต้องการ ที่ไม่เคยลดน้อยลงเลยแม้ในวันที่ฉันไม่อาจรับรู้ถึงมันเขาก้าวเข้ามาใกล้ ช้า...แต่มั่นคงมือของเขาเลื่อนไปประคองแผ่นหลังฉันเบา ๆ อีกมือหนึ่งรั้งใต้เข่าด้วยความระมัดระวัง ก่อนที่ร่างสูงสง่าจะช้อนฉันขึ้นจากพื้น—อ้อมแขนของเขาอุ่นและแน่นหนาราวกับจะไม่ยอมให้ฉันหลุดหายไปอีกแม้เพียงวินาทีเดียวฉันซุกหน้าไว้ที่อกของเขา รับรู้ได้ถึงแรงเต้นของห
โลกทั้งใบ...เริ่มชัดขึ้นอีกครั้งแสงจันทร์ทอดพาดผ่านเปลือกตา กลิ่นชาอ่อน ๆ ลอยแตะจมูก ปลายนิ้วฉันรู้สึกถึงไออุ่นจากมืออีกข้างที่กำมันไว้แน่นหนา ไม่ยอมปล่อยแม้สักวินาทีฉันกะพริบตาช้า ๆ เสียงแรกที่ได้ยิน—“เอลาเรีย…!”เสียงที่ฉันรู้จักดี ไม่ว่าจะอยู่ในฝัน ในความมืด หรือแม้แต่ในความว่างเปล่า...เพราะเขา—คือ บ้าน ของฉันฉันลืมตาขึ้นช้า ๆ แสงจันทร์ที่ส่องผ่านม่านบางทำให้สายตาพร่ามัวเล็กน้อย แต่ภาพตรงหน้ากลับชัดเจนในใจชายผู้มีดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งงดงามราวผลึกเวทมนตร์นั่งอยู่ชิดขอบเตียง เขาจ้องฉัน...นิ่งงัน ไม่แม้แต่กะพริบตา ใบหน้าของเขาซีดเผือด ผมยาวกระเซิงไม่ได้รวบไว้เช่นทุกวันหลงอวิ๋น...เขาอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีดำในแววตานั้น—ฉันเห็นรอยแตกร้าว ...แต่มันเริ่มจางหายไปเมื่อฉันลืมตา“...เอลาเรีย...” เขาเอ่ยชื่อฉันอีกครั้ง เสียงสั่นเครือราวกับยังไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงฉันยิ้มให้เขา ลมหายใจแผ่วเบา ฉันพยายามขยับริมฝีปาก...แต่สิ่งแรกที่หลุดออกมากลับเป็น—น้ำตา
กลิ่นชาหอมอ่อนจากมวลดอกไม้ยามราตรีลอยอบอวลทั่วห้องบรรทม ผ้าม่านโปร่งลายจันทราโบราณปลิวไหวตามลมหิมะที่ลอดผ่านหน้าต่างแสงจันทร์พาดผ่านเนื้อผ้าและไหลแตะลงบนผ้าห่มสีเงินอ่อนที่คลุมร่างของหญิงสาวหนึ่งไว้แนบเนื้อ—อย่างแผ่วเบาเอลาเรียยังคงหลับใหล...นานถึงสิบแปดวันแล้วร่างกายของเธอยังอุ่น เวทจันทรายังเรืองแสงบางใต้ผิวบริเวณหัวใจ แต่เปลือกตาคู่งามของเธอ...ยังคงปิดสนิท ราวกับหลับลึกในห้วงแห่งคำสัญญาที่ไร้เสียงบนเก้าอี้ไม้แกะลายมังกรน้ำแข็งข้างเตียง หลงอวิ๋นนั่งนิ่งไม่ไหวติง มือข้างขวาของเขากุมมือของเธอไว้แน่น...นิ้วโป้งลูบเบา ๆ ที่หลังมือซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ใช่เพื่อปลุกเธอแต่เพื่อบอกกับเธอทุกวินาที...ว่าเขายังอยู่ตรงนี้“ข้าจะรอ…ไม่ว่านานแค่ไหน” เขากระซิบ ดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งยังจ้องใบหน้าอ่อนหวานของเธอ...อย่างไม่ละสายตาเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น ก่อนบานประตูไม้จะถูกแง้มออกช้า ๆ ด้วยมือเรียวในชุดคลุมผ้าทอมือ“องค์ชายเพคะ…”หลงจื่อ สาวใช้คนสนิทกล่าวเสียงอ่อน เธอถือถาดอาหารไม้แกะลา
เช้าวันใหม่คลี่คลายลงเหนือปราสาทน้ำแข็งสีเงินในเทือกเขานอร์วัล ดวงอาทิตย์เพิ่งลอยขึ้นเหนือขอบฟ้า แต่สนามเวทเบื้องหน้าปราสาทกลับเต็มไปด้วยละอองเวทมนตร์ที่ระยิบระยับตั้งแต่รุ่งสางซิลวาเอลินหมุนปลายนิ้วอย่างเชื่องช้า ทิศทางลมเปลี่ยนทันที—คลื่นหิมะที่เคยสงบลุกขึ้นเป็นพายุหมุนเล็ก ๆ ล้อมรอบร่างนาง เธอหลับตาแน่น ตั้งสมาธิกับแก่นเวทในกาย ท่ามกลางความหนาวที่กัดผิวหลงอวิ๋นยืนห่างออกไปไม่ไกล มือข้างหนึ่งประคองเปลวเพลิงสีฟ้าที่ลอยเหนือฝ่ามือ ส่วนอีกข้างหนึ่งถือยันต์เวทมังกรโบราณที่ลอยหมุนรอบตัว“แก่นเวทเจ้าผสานกับพายุได้แน่นขึ้นแล้ว” เขากล่าวเสียงราบเรียบ แต่ดวงตาแฝงความชื่นชม“อีกไม่นาน เจ้าจะหลอมเวทระดับอัสนีได้แน่”ซิลวาเอลินหอบน้อย ๆ เมื่อยกมือปล่อยเวทสุดท้ายจนเสร็จ ร่างกายเปียกเหงื่อ แม้จะอยู่กลางหิมะเธอหันมาหาเขา ยิ้มให้ดวงตาพราวระยับ“หากมีเจ้าอยู่ตรงนี้...ข้าก็พร้อมจะฝึกทุกวัน”“แต่ข้ากลัวว่าคืนนี้ เจ้าจะหมดแรงซะก่อน”เขาหยอก ริมฝีปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์ สะท้อนแววไฟแห่งปรา