ด้านอี้หมิง เมื่อไม่รู้จะทำอะไร ก็เดินสำรวจไปรอบ รอบ ๆ จนมาได้ยินเสียงคุยกัน น้ำเสียงเคร่งเครียด พลันเท้าหยุดชะงัก! ค่อย ๆ ย่องไปฟังอย่างอัตโนมัติ
"ท่านอาสาม ท่านคิดเช่นนั้นรึ"
'เอ๊ะ!! ทำไมคุ้น ๆ ชายชุดดำคนนั่นจัง อี้หมิงคิดในใจ มือเรียวยังเกาะที่แผ่นหิน เงี่ยหูฟังแต่ก็ได้ยินไม่ค่อยถนัดนัก อี้หมิงกำลังมองชายชุดดำสามคนที่ควบม้าผ่านเธอมาระหว่างทาง และชายอีกคนที่สวมใส่ชุดสีขาว ท่าทางดูสงบ แต่สง่า ผ่าเผยกำยำ กำลังพูดคุยกันน่าเคร่งเครียด
"อะไรทำให้ท่านคิดเช่นนั้นกัน"
"ถึงแม้น้องรองจะเป็นเงียบๆ ดูไม่มีพิษไม่มีภัย แต่เจ้าก็อย่าชะล่าใจไปล่ะ ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน อย่าหาว่าข้าไม่เตือนแล้วกัน"
"หลายวันมานี้มีคนกลุ่มหนึ่งสวมรอยเป็นกองกำลังของข้า ออกปล้นตามเขตชายแดนที่ปล้นไปส่วนใหญ่ล้วนเป็นเสบียงข้าว และอาหาร" ชายที่ดูจะอายุน้อยสุดแต่ท่าทางมีอำนาจเอ่ยขึ้น
"แถมแต่งตัวคล้ายทหารของหวางจื่อไม่ผิดเพี้ยน ข้าตามมาหลายคราแล้ว แต่พวกมันปลิดชีพฆ่าตัวเองหมด ตามสืบไม่ได้เลย" ชายร่างสูงใหญ่กำยำอีกคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวล
"ฮือ หวางจื่อๆ ๆ ชื่อคุ้น ๆ คืออะไรน๊า จิ๊!" อี้หมิงคุ้น ๆ กับคำว่า หว่างจื่อ แต่นางนึกจำความหมายไม่ได้ แต่ที่เเน่ ๆ เป็นคนสำคัญของราชวงศ์ชัวร์ อี้หมิงคิดในใจ พยายามแนบหูเข้าไปฟังการพูดคุยของบุรุษทั้งสี่อีกด้วยความอยากรู้
ด้านอี้เฟิน
"หนิงเยว่ ข้ารู้ว่าเจ้ายังเคืองข้าอยู่ แต่เรื่องมันก็ผ่านมานานโขแล้ว อีกอย่างบ้านเมืองเราก็แตกสาแหรกขาด ท่านพี่เจ้าก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ใด ข้าขอโทษที่ครั้งนั้นช่วยท่านเรื่องยกเลิกงานอภิเสกไม้ได้" อี้เฟินเข้าไปจับมือบางที่เคยสวยเต่งตึง บัดนี้เริ่มหย่อนยานตามกาลเวลาของสตรีที่สวมใส่ชุดขาวตรงหน้า
"ช่างเถอะ! เรื่องมันผ่านมาแล้ว ข้าไม่เก็บมาใส่ใจหรอก เจ้าล่ะไม่เห็นมาพบข้านานแล้ว วันนี้ลมอะไรหอบเจ้ามากันล่ะ" นางเอ่ยถามอย่างเหน็บแนมเสียง เนิบๆ มองดูหญิงตรงหน้าที่สวมชุดมอซอ ที่ผ่านการประเย็บไปทั้งตัว แล้วสะท้อนในใจ
"ข้า คือ" อี้เฟินเริ่มชั่งใจ
"พูดมาเถอะ"
"ข้าอยากจะขอชุดท่านซักชุด ให้ลูกสาวข้าจะได้หรือไม่ คือพรุ่งนี้นางจะเริ่มค้าขาย นางอยากได้ชุดใหม่ข้าจนปัญญาจริง ๆ จึงได้บากหน้ามาขอรบกวนเจ้า"
"ฮึ! หมิงอี้นะรึ หลานข้าป่านนี้โตเป็นสาวแล้วนะ ปีนี้คงเลยวัยปักปิ่นแล้วกะมัง"
"เลยแล้ว ๆ ล่ะ แต่เสียดายข้าไม่มีของขวัญสิ่งใดให้นางเลย ได้แต่หวังว่าจะได้พบคู่ครองที่ดี นางคงจะมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าตอนอยู่กับข้า" อี้เฟินกล่าวเสียงเศร้า
"ช่างเถอะ ๆ ไหนล่ะหลานข้า เรื่องมันแล้วมาแล้วเจ้าอย่าคิดมากเลย หากมีสิ่งใดขาดเหลือก็มาหาข้าได้ ถ้าข้าพอมีกำลังช่วยข้ายินดี เช่นไรเราก็เหลือกันแค่นี้ ถ้าข้าไม่ช่วยเจ้าคงรู้สึกผิดต่อท่านพี่เป็นแน่" หนิงเยว่ใช้มือยกประคองร่างของอี้เฟินที่นั่งอยู่ให้ยืนขึ้น
"อีกอย่างถ้าท่านพี่รู้เข้าว่า ข้าไม่ช่วยเหลือใด ๆ ภรรยากับลูกของเขาเลย คงจะโกรธข้าเป็นแน่" พูดแล้วดึงมือของอี้เฟินให้เดินตามเข้าไปยังห้องพักตน
หนิงเยว่หันไปเปิดกระบุงผ้า แล้วเลือกหยิบอาภรณ์สีขาวสวยออกมา 3 ชุด แล้วยื่นให้อี้เฟิน
"อ่ะ ชุดที่ข้าพอหยิบออกมาได้ตอนโดนปลดตำแหน่งแล้วย้ายมาที่นี่ พอมีเหลืออยู่บ้าง เจ้ากับลูกเอาไปใส่นะ ชุดที่เจ้าสวมตอนนี้ช่างไม่สมฐานะเจ้าเลยจริงๆ อี้หวงโฮ่ว" หนิงเยว่เอ่ยเย้า
"เฮอะ ๆ เจ้าก็ ไม่มีแล้วล่ะฐานันดรนั้น เฮ้ออ ยังไงก็ขอบใจเจ้ามาก ๆ นะ บุญคุณนี้ข้าต้องได้ตอบแทนแน่" อี้เฟินเมื่อได้ยินคำพูดหยอกเย้าก็อดหัวเราะออกมาเบา ๆ กับโชคชะตานางไม่ได้ ก้มมองอาภรณ์สวยในมือ นิ้วค่อย ๆ ไล่ไปตามเนื้อผ้า ลูบไปมา นึกในใจว่านานเท่าไหร่แล้วที่นางไม่ได้สัมผัสอาภรณ์ดี ๆ เช่นนี้ แล้วเงยหน้าเอ่ยล่ำลาหนิงเย่
"เจ้าจะไม่พาหลานมาพบข้าหน่อยรึ" เมื่อเห็นอี้เฟินล่ำลา แต่ยังไม่มีแววของหลานสาวตนจึงสอดส่องหา แล้วเอ่ยถาม
"อ่อ ได้สิ เดี๋ยวข้าไปตามมาประเดี๋ยว" อี้เฟินเดินออกมาตามหาลูกสาว ตรงไปยังจุดนัดพบก็ไม่ไร้เงาของนาง ด้วยความร้อนใจจึงออกเดินตามหนาด้วยใบหน้ากังวล
'อยู่ไหนนะ หมิงอี้ไปไหนกัน' เดินมาจนถึงด้านหลังวัดที่ติดกับธารน้ำใส ก็เห็นร่างลูกสาวเกาะอยู่ที่ผนังหินของวัดแล้วส่องดูอะไรซักอย่างด้านหน้านาง
"อ๊ะ! พรึบ" อี้หมิงอุทานออกมาเบา ๆ อย่างตกใจ แล้วรีบยกมือปิดปาก
"เจ้าทำอะไรหนะ" อี้เฟินถามเบา ๆ เมื่อเห็นท่าทางของลูกสาว
"ชู่วว! ป่ะ" อี้หมิงรีบคว้ามือมารดาแล้วค่อย ๆ เดินย่องออก เมื่อพ้นแล้วก็ดึงแขนนางให้เดินตามนางเร็ว ๆ ให้ออกห่างจากกลุ่มชายทั้งสี่ทันที
🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃
“หมิงอี้ ไม้ไผ่ที่เจ้าต้องการ ตอนนี้ตัดได้ครบตามจำนวนตามที่สั่งแล้วล่ะ” อู๋ไป๋รีบเดินปรี่เข้ามารายงานหมิงอี้ในทันทีที่ทำงานลุล่วงตามที่หมิงอี้สั่งไว้ ด้วยสภาพที่โชกไปด้วยเหงื่อแต่ก็ทำเพียงใช้หลังมือเช็ดออกเพียงเท่านั้น โดยที่เจ้าตัวนั้นมิได้สนใจที่จะใช้ผ้าเช็ดออกแต่อย่างใดภาพของอู๋ไป๋ตรงหน้านางในเวลานี้ทำให้หมิงอี้ได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ พร้อมทั้งยื่นน้ำเย็นชื่นใจเพื่อเป็นการขอบคุณอยู๋ในที“ครบแล้วเช่นนั้นพวกเราก็เดินทางกลับกันเถิด เดี๋ยวจะค่ำมืดเสียก่อน เฮ้อชินอีหากมีเวลามากกว่านี้ข้าเองก็ยังอยากว่ายน้ำในลำธารนั่นอีกอยู่ดี” หมิงอี้อดที่จะเอ่ยออกมาอย่างนึกเสียดายเสียมิได้ แต่ภาระงานข้างหน้ายังรออยู่อีกอย่างในใจก็ยังเป็นห่วงมารดาอยู่มากจึงเร่งเดินทางกลับในทันที“โธ่ นายหญิงน้ำเย็นเพียงนั้นชินอีล่ะไม่เห็นว่าจะน่าภิรมย์เลยเจ้าค่ะ”“ก็เจ้าไม่ชอบอาบน้ำนี่นา เจ้าไม่เข้าใจหรอกชิ ไปเถอะ ๆ ” หมิงอี้เอ่ยพร้อมทั้งเร่งเดินตามขบวนคนงานเพื่อมุ่งออกจากป่าตรงกลับหมู่บ้านคนอพยพของตนคล้อยหลังเหล่าขบวนขนไม้ของหมิงอี้ เฉิงอี้ที่ซ่อนกายเพื่อซุ่มดูมาครู่ใหญ่ก็ได้เผยตนออกมา พร้อมทั้งหันไปสั่งราชองครักษ์คนสนิ
เฉิงอี้ไม่ปล่อยให้ถูกความใครรู้ครอบงำ เขาค่อย ๆ ขยับกายอย่างแผ่วเบาย่องเข้าไปประชิดหลบหลังต้นไม้ใหญ่ใกล้ริมธารน้ำ ทันทีที่แลเห็นใบหน้าหญิงงามที่เข้าใจว่าฝ่ายตรงข้ามวางกลอุบายหวังลวงหลอกตนเข้า ฉับพลับใบหน้าคมคายหล่อยเหลาพลันแดงก่ำ ก่อนครู่ต่อมาจะกัดฟันกรอดหันไปสั่งองครักษ์ของตนอย่างรวดเร็วให้รีบหันหน้ากลับไป“บัดซบ เย่หลาง!หยุดตรงนั้นแล้วหันกลับไปซะ!”“....เอ่อ พะย่ะค่ะ” เย่หลางที่กำลังเตรียมเคลื่อนตัวตามผู้เป็นนายพลันชะงักเท้ากึก แล้วหันไปอย่างรวดเร็วในใจสับสนแลสังสัยอยู่มิน้อยกับคำสั่งกะทันหันของผู้เป็นนายเฉิงอี้หลังออกคำสั่งแล้วเสร็จ แต่ทว่าตนนั้นกลับขยับเท้าเข้าใกล้ริมลำธารอย่างเผลอไผล ภาพสตรีเรือนร่างขาวกระจ่างยวนตาท่ามกลางแสงจันทร์รำไรที่ตกกระทบกับสายน้ำจนเกิดเป็นแสงระยิบระยับขึ้น ทำให้ภาพหมิงอี้เวลานี้ที่เขามองซุ่มดูอยู่นั้นดูราวกับนางฟ้านางสวรรค์ก็มิปาน“นายหญิงขึ้นมาได้แล้วเจ้าค่ะ อากาศเริ่มเย็นมากแล้วเดี๋ยวไม่สบายเอานะเจ้าคะ อีกอย่าง ...เอ่อ แถวนี้น่ากลัวพิลึก นายหญิงขึ้นเถอะเจ้าค่ะ”ชินอีที่เริ่มกลัวขึ้นมาเมื่อบรรยากาศโดยรอบถูกปกคลุมด้วยความมืด มีเพียงแสงโคมไฟพอสลัวที่ตนนั้นห
ขบวนคาราวานของหมิงอี้และพวกที่เดินทางมุ่งหน้าสู่ชายป่าวัดฉงซิ่งในที่สุดก็มาถึงจุดที่เหมาะแก่การตั้งกระโจมที่พัก พื้นที่พักติดริมธารน้ำ ด้านหลังเป็นป่าไผ่ขนาดใหญ่เกิดเรียงกันเป็นทิวแถวสลับกอกันไปทั้งน้อยใหญ่ซึ่งการเดินทางนั้นต้องเดินให้ลึกเข้ามาพอสมควรเพราะต้นไผ่ที่ตนต้องการนั้นต้องลำอวบใหญ่ ฉะนั้นจำต้องเข้าป่ามาลึกกว่าปกติ และชายป่าที่ตนและพวกกำลังตั้งกระโจมอยู่นี้นั้นได้ยินอู๋ไป๋บอกกับว่าที่ ๆ พวกต้นกำลังตะว่าเกือบสุดเขตเมืองหลี่ก็ว่าได้ เวลานี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้วแสงตะวันเริ่มจะลาลับขอบฟ้าทำให้ต้องจุดไฟเสียตั้งแต่ยังไม่มืด สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่าน ต้นไผ่เอนไหวโน้มกิ่งเข้าหากันลำต้นเสียดสีไปมาพลันเกิดเป็นเสียงเอี๊ยดอ๊าดคล้ายคนบรรเลงเพลง หากแต่ในความคิดของหมิงอี้คิดว่าเสียงนี้ช่างน่ากลัวและวังเวงยิ่งนักจนอดที่จะยกมือขึ้นมาลูบเรียวแขนของตัวเองเสียมิได้“ชินอี ทำไมข้ารู้สึกว่าเสียงนี้มันช่าง...”ชินอีหันมาสนใจผู้เป็นนายอย่างใคร่สงสัยนางนั้นไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดแปลก ป่าก็คือป่าและเสียงเอี๊ยดอ๊าดสีกันของต้นไผ่ในเวลานี้ก็ย่อมเป็นเรื่องปกติ“ช่างกะไรรึเจ้าคะ”“ก็มันช่างน่ากลัวพิลึกน่ะสิ”หมิงอี
“หมิงอี้เจ้าจะไปจริงรึ”อี้เฟินมองบุตรสาวด้วยสายตาเป็นห่วง ในใจนั้นรู้สึกโหวงหวิวพิกล ตั้งแต่เล็กจนโตแม้กระทั่งผ่านความเป็นความตายมาตนและบุตรสาวนั้นล้วนไม่เคยต้องห่างกันเลยซักครา“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ข้าไปเพียงสองคืน หากได้ไม้ไผ่ครบแล้วจะรีบกลับมาทันทีเลยเจ้าค่ะ อีกอย่างป่าแถบวัดฉงเซิ่งก็ไม่ไกลล้วนไม่มีอันตรายแน่นอนเจ้าค่ะ อู๋ไป๋ก็ไปด้วยท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงข้านะเจ้าคะ”หมิงอี้โอบกอดมารดาพลางมือยกลูบหลังผู้เป็นมารดาไปมาก่อนจะผละออกเพื่อเตรียมขึ้นรถม้า ส่วนสาเหตุที่ตนต้องไปคุมการตัดไม้ด้วยตนเองนั้นเป็นเพราะว่าลำไม้หากเล็กเกินไปก็ไม่ดีใหญ่เกินไปก็ไม่ดี งานนี้งานใหญ่และเป็นครั้งแรกจำต้องไปดูด้วยตนเอง“พี่หมิงอี้! รอข้าด้วยสิ”เฟิน เฟิน ที่วิ่งเข้ามาพร้อมกับย่ามในมือท่าทางเตรียมพร้อม“เฟิน เฟิน เจ้าจะไปที่ใดเจ้าอยู่กับท่านแม่ข้าที่บ้านดีกว่านะ ข้าไม่ไว้ใจใครนอกจากเจ้า”“แต่พี่หมิงอี้ เฟิน เฟิน ยะ”“เถอะนะ แค่เพียงสองคืนเท่านั้นเองเจ้าอยู่ที่เรือนนี่แหละ นะข้าจะได้สบายใจอีกอย่างเจ้าอยู่ช่วยแม่ข้าจัดหาพวกฟักนุ่นและผักบวบปห้งดีกว่าเมื่อพวกข้ากลับมาจะได้ลงปลูกได้เลย นะ นะ”หมิงอี้
‘ผักสะ สลัด รึ อะไรอีกนะ อะออ’‘ชื่อเรียกช่างประหลาดนัก สะ สะ สาลัด ฮะ ฮาย ดะ โอ๊ยชื่อช่างเรียกยากนัก’‘นั่นหนะสิ ชักอยากเห็นแล้วล่ะ’“เอาล่ะทุกท่าน ทุกท่านอาจจะมิคุ้นกับชื่อผักของข้าเท่าใดนัก นั่นเป็นเพราะว่าข้าอยากตั้งชื่อให้แปลกใหม่ ส่วนคำว่า ไฮโดรโปนิกส์ นั้น”ส่วนเหล่าบรรดาลูกค้ารวมไปถึงคนงานในร้าน ไม่เว้นแม้กระทั่งอู๋ไป๋ก็ต่างตั้งอกตั้งใจฟังอย่างใคร่รู้หมิงอี้ตั้งเว้นจังหวะพูดให้ดูน่าสนใจ ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาอีกครั้งพลางเอ่ยต่อ“ไฮโดรโปนิกส์ คือ การปลูกพืช/ผักโดยการเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งก็มีหลายอย่างนัก หากผู้ใดสนใจข้ายินดีให้คำแนะนำได้ หากแต่ในครั้งนี้นั้นข้าเลือกใช้การปลูกแบบใช้น้ำแทน โดยที่ผักของข้านั้น...”เมื่อพูดมาจนถึงจุดสำคัญหมิงอี้ก็จับปลายผ้าคลุมและกระตุกเพียงเล็กน้อยผ้าก็เลื่อนหลุดลงพื้นโดยง่ายเผยให้เห็นโครงไม้ไผ่ที่ถูกต่อกันขึ้นเป็นชั้น ๆ สูงเกือบถึงศีรษะโดยแต่ละชั้นถูกเจาะรูและมีผักอยู่ในแต่ละรูที่เจาะมีทั้งสีเขียวสีม่วงสลับกันไป พลันเกิดเสียงฮือฮาขึ้นอีกครั้ง“โอ้โห เฮ้ย! สิ่งใดกันละนั่น”“ดะดูสิ! พวกเจ้าดู ๆ ”หมิงอี้นั้นรู้สึกพอใจเป็นอย่างมากที่เห็นการตอบรับที่เกิ
หน้าร้านเทียนฝู ยามซื่อ (09.00 น.)หญิงชายทั้งบุรุษทั้งสตรีทั้งเด็กหญิงเด็กชายต่างทยอยเดินข้ามฝั่งจากตลาดใหญ่ของเมืองข้ามมายังร้านผักร้านใหญ่ที่ตั้งอยู่ลานหน้าทางเข้าหมู่บ้านของคนอพยพ จนทำให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาดสงสัยกันใหญ่บัดนี้ผู้คนในตลาดลดลงอย่างหนาตาเมื่อมองหาสาเหตุก็พบว่าผู้คนนั้นต่างเดินมุ่งหน้าข้ามฝั่งไปยังร้านผักชื่อดังในเวลานี้นั่นเอง“เกิดอันใดขึ้นกัน ลูกค้าหายไปเสียหมด แล้วนั่นจะไปที่ใดกันเล่า”พ่อค้าร้านขนมปังเจ้าดังของตลาดถึงกับเดินออกมาส่องดู ปกติยามนี้ตลาดจะคึกครึ้นไปด้วยผู้คนที่ออกมาจับจ่ายซื้อของแต่ยามนี้ช่างหนาตาลงอย่างผิดปกตินัก“อ๋อ ได้ยินประกาศว่าร้านเทียนฝูจะเปิดขายผักชิดใหม่หนะ”พ่อค้าร้านถังหูลู่ที่ได้ยินเสียงประกาศตอนเตรียมตั้งร้านนั้นเอ่ยบอก“อ๋อถึงว่าล่ะ! ปกติแค่ถั่วงอกกับผักบุ้งก็ได้ยินมาว่าแทบจะขายไม่ทัน นี่ ๆ ข้าเห็นสาวใช้ในวังออกมาซื้อด้วยนะ พูดแล้วข้าก็ชักอยากมีบุญลิ้มลองซักครั้งแล้วสิ เช่นนั้น เมิ่งเอ๋อร์ ๆ ”“ว่าไงตาแก่ฮึ ตะโกนโหวกเหวกแต่เช้า มีเรื่องอันใด”เมิ่งเอ๋อร์ที่เจ้าของร้านขนมปังเรียกเดินออกมายืนท้าวสะเอวส่องดูผู้เป็นสามี“ถ้าจะไปร้านเทียนฝูประ