ผู้เป็นแม่และพ่อหัวใจแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ หลังจากที่รับรู้ว่า 'วนิดา' ลูกสาวคนเดียวของพวกเขาอายุเพียง24 ปี ได้ทำเรื่องที่น่าอับอายตั้งครรภ์ทั้งที่ยังไม่แต่งงานและยิ่งไปกว่านั้นเธอก็เป็นความหวังเดียวที่จะชูหน้าตาของคนครอบครัวในอนาคตเช่นกัน
แต่มาวันนี้ความคาดหวังเหล่านั้นที่พวกเขาได้ปูทางวางแผนอนาคตเอาไว้ที่จะให้หญิงสาวมีหน้าที่การงานที่ดีและมีมั่นคงในชีวิต เมื่อถึงเวลาแต่งงานก็จะได้ไปเป็นสะใภ้คนรวยในวันข้างหน้า แต่สุดท้ายแล้วก็พังทลายลงไปในพริบตาเดียวเพราะความไม่เอาไหนของเธอ... ทำให้ผู้เป็นแม่ทั้งเสียใจและโกรธมากในเวลาเดียวกัน ได้พุ่งเข้ามาทุบตีหญิงสาวทั้งน้ำตาด้วยความโกรธเกรี้ยวพลางด่าทอเธอสารพัดจนผู้เป็นพ่อต้องรีบเข้ามาห้ามปราม อย่างไม่อยากให้ทุกอย่างมันแย่ลงไปกว่านี้ “แม่พอเถอะ อย่าตีลูกเลยนะพ่อขอร้อง” ผู้เป็นสามีรั้งร่างภรรยาเอาไว้พลางเอ่ยเสียงสั่นทั้งน้ำตาลูกผู้ชาย “ทำไมแกถึงกับฉันแบบนี้ รู้มั้ยฉันคาดหวังกับแกมากขนาดไหน ทำไมแกไม่เคยนึกถึงใจฉันกับพ่อแกบ้างเลยนังลูกเนรคุณ!” ฝ่ามือของแม่ผู้ให้กำเนิดยังคงเอื้อมฟาดไปตามร่างกายของหญิงสาวไม่ยั้ง อย่างโกรธจนเลือดขึ้นหน้าทั้งตะเบ็งเสียงเกรี้ยวกราดส่วนลึกของวิญญาณความด้วยความเสียใจที่พุ่งเข้าจุกอก “แม่หนูขอโทษ หนูผิดไปแล้ว หนูขอโทษจริงๆ” หญิงสาวเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นปล่อยให้ผู้เป็นแม่ทุบตีเธออย่างไม่คิดจะขัดขืนแต่อย่างใด เอ่ยคำขอโทษน้ำเสียงสั่นร่ำไห้สะอื้นทั้งน้ำตาพลางยกมือไหว้ด้วยความรู้สึกผิดไม่น้อยราวกับว่าหัวใจถูกใครสักคนบดขยี้ไม่เหลือชิ้นดีไม่ต่างอะไรกับพวกท่านทั้งสองเลยในตอนนี้ “มาขอโทษตอนนี้มันได้อะไรขึ้นมา ตอนแกทำลงไปเคยนึกบ้างมั้ยว่าฉันกับพ่อแกต้องเจ็บปวดกับความไม่รักดีของแกทั้งขายหน้าขนาดไหน หากคนอื่นรู้เจ้าว่าแกท้องก่อนแต่งแบบนี้นะหะ!” “หนูรู้ค่ะว่าหนูผิดจนไม่น่าให้อภัยจริงๆ แต่หนูไม่ได้ตั้งใจให้แม่กับพ่อต้องมาเสียใจและไม่อยากให้เรื่องมันเกิดขึ้นแบบนี้เลยนะคะแม่” นัยน์ตาแดงก่ำที่มีหยดน้ำตาหลั่งลงมาไม่ขาดสายของหญิงสาวเต็มไปด้วยความชอกช้ำ นั่งคุกเข่าต่อหน้าท่านทั้งสองเงยใบหน้าขึ้นจ้องมองอย่างวิงวอนทั้งขอความเห็นใจ “ถ้าแกรู้ว่าตัวเองดีว่าผิด แล้วตั้งแต่แรกทำไมไม่รู้จักป้องกันดีๆ ถึงได้ปล่อยให้ท้อง เคยเห็นหัวฉันบ้างมั้ยในสายตาแก ตอนนี้ฉันไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยลูกสาวอย่างแกจะทำให้ฉันผิดหวังได้ถึงขนาดนี้!” “อึก! แม่” “ใจเย็นๆ เถอะนะแม่ ลูกมันผิดไปแล้วจะดุจะด่าไปตอนนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก ทางที่ดีเรารีบมาช่วยแก้ปัญหาดีกว่านะ” ผู้เป็นสามียกมือใหญ่ขึ้นลูบไหล่บางของภรรยาเบาๆ พลางเอ่ยปลอบประโลมให้เธอสงบสติใจเย็นลง ทั้งที่ในใจก็รู้สึกผิดหวังในสิ่งที่หญิงสาวลูกสาวคนเดียวของเขาทำลงไปไม่น้อย แต่หากอารมณ์จะทำให้ทุกอย่างแย่ลงเขากลับเลือกที่จะใจเย็นและคิดหาวิธีแก้ไขเสียดีกว่า “คุณก็เหมือนกันนะพ่อ ดีแต่เป็นอยู่แบบนี้เหมือนกัน ตามใจลูกจนเคยตัวไม่เคยดุเคยว่า ใจเย็นจนลูกมันถึงได้เสียคนจนท้องแบบนี้ไง” ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นแล้วแทนที่จะให้ภรรยาใจเย็นลงแต่กลับยิ่งทำให้เธอน้ำเสียงแข็งอย่างมีโทสะมากขึ้นกว่าเดิม หันหลังกลับมาสั่งสอนชี้หน้าต่อว่าผู้เป็นสามีทันทีด้วยความโกรธเดือดดาลจนคนใจเย็นอย่างเขาถึงกับหดตัวหวาดกลัวในทันที “มะ แม่ใจเย็นก่อนนะจ๊ะ อย่าขึ้นเสียงเลยมันไม่ดี” “ไม่ดีตรงไหน” “เชื่อพ่อเถอะนะ ถึงยังไงยัยดาก็ลูกเรานะแม่” ผู้เป็นสามีพยายามเกลี้ยกล่อมกับภรรยาแทนลูกสาวอย่างกล้าๆ กลัวๆ “หึ่ย เป็นเหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก!” “นะแม่นะ เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว โกรธยัยดาไปก็ไม่ได้อะไรหรอก อารมณ์ไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะแม่ ไม่สู้เรามาช่วยกันหาทางแก้ปัญหาดีกว่านะ” ผู้เป็นสามีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระคนแสดงสีหน้าวิงวอนขอร้องให้ภรรยาเชื่อฟังตามคำแนะนำของเขา จนสุดท้ายทำให้เธอต้องยอมใจอ่อนสงบสติอารมณ์โกรธลงตามคำขอร้องอย่างช่วยไม่ได้ แต่ในดวงตาของเธอยังคงฉายแววของความเจ็บปวดไม่จางหาย ได้หันกลับมาก้มลงมองลูกสาวที่นั่งกุมหน้าตัวงอร้องไห้สะอื้นอยู่ตรงหน้าจนแทบจะสิ้นสติไปอยู่รอมร่ออยู่ครู่หนึ่งอย่างคับแค้นใจ แต่ถึงอย่างไรแล้วผู้เป็นแม่ก็เกลียดลูกตัวเองที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจไม่ลงอยู่ดี ก่อนจะระบายลมหายใจออกมาเบาๆ ข่มกลั้นความรู้สึกร้องไห้เก็บความเจ็บปวดเหล่านี้เอาไว้ในใจ แล้วค่อยๆ ยกมือหลังมือขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตาที่เปื้อนบนใบหน้า “ก็ได้ ฉันจะยกโทษให้แกก็ได้…” หญิงสาวได้ยินคำให้อภัยดังนั้น เธอได้ค่อยๆ เหงนใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้มขึ้นมอง ดวงตาเธอเบิกกว้างอย่างตื้นตันใจก่อนจะลุกขึ้นยืนพุ่งเข้ามากอดร่างของผู้เป็นแม่เอาไว้แน่นแล้วร้ำไห้สะอื้นอย่างหนักออกมาอีกครั้ง “แม่…หนูรักแม่นะ อึกๆ” “…” เสียงสะอื้นแต่ละครั้งของหญิงสาวดุจดั่งมีดคมเฉือนหัวใจของผู้เป็นแม่ทีละแผล ทรมานจนสุดที่จะทนทาน ถึงแม้ว่าเขาจะทำเป็นเย็นชาไม่เอ่ยพูดตอบอะไรทำได้เพียงแค่ยืนนิ่งปล่อยให้ลูกสาวอย่างเธอกอดอยู่อย่างนั้น ความรักความห่วงใยหญิงสาวรับรู้ได้ผ่านอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของท่าน ความรู้สึกผิดมากมายถูกกลั่นออกมาเป็นน้ำตา เธอได้แต่ยืนสำนึกผิดอยู่ในอ้อมกอดของท่าน ทำให้ผู้เป็นพ่อที่เห็นภรรยาและลูกสาวคืนดีต่อกันแล้วเขาก็รู้สึกซาบซึ้งและสบายใจขึ้นไม่น้อยเช่นกันที่ความสัมพันธ์ครอบครัวได้กลับมาเป็นดังเดิม “แกหยุดร้องได้แล้ว...รีบเช็ดน้ำตาซะ” “อึก ค่ะแม่” น้ำเสียงผ่อนคลายของผู้เป็นแม่ได้เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา หญิงสาวได้ยินดังนั้นจึงได้คลายอ้อมกอดออกแล้วรีบยกหลังมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าตามคำสั่งในทันทีต่อหน้าท่านทั้งสองอย่างกระตือรือร้นและดีใจมาก “ไหนๆ เรื่องมาถึงขั้นนี้จะแก้ไขตอนนี้สายไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นมีทางเดียว...คือแกต้องไปกับฉัน” น้ำเสียงไม่ร้อน ไม่เย็นแต่กลับแฝงความน่าเกรงขามอยู่ในทีของผู้เป็นแม่พูดออกมาด้วยสีหน้าที่จริงจังกว่าครั้งไหนๆ ทำให้หญิงสาวและผู้เป็นพ่อถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะเอ่ยปากถามออกมาอย่างเคลือบแคลนสงสัย “ปะ ไปไหนคะแม่” “นั่นสิแม่จะพาลูกไปไหน” “ก็ไปหาตัวการที่ทำให้แกท้องยังไงล่ะ” น้ำเสียงเฉียบขาดจริงจังของผู้เป็นแม่เอ่ยตอบขึ้น “ตะ แต่แม่คะ หนูคิดว่าคงไม่…” “คงไม่อะไร แฟนแกทำแกท้องมันก็ต้องรับผิดชอบ…เลือกเอาถ้าแกไม่ไปกับแม่ แม่ก็จะไปเอาเลือดหัวมันออกด้วยตัวเอง!” “แม่จ๋าใจเย็นก่อนนะ แม่จะไปตอนนี้เลยเหรอ” จิตใจที่สงบลงได้ไม่นานก็เกิดความกระวนกระวายขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาสุกใสของหญิงสาวกลอกตาซ้ายขวาอย่างลังเลและเต็มไปด้วยความกังวลใจจนหยาดเหงื่อไหลซึม เพราะในใจเธอนั้นไม่อยากจะให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่หากเมื่อผู้เป็นแม่กลับยืนกรานด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นห้ามโต้แย้งใดๆ แบบนี้แล้วก็ยากที่จะขัดขืน “หยุดเลยนะพ่อ เงียบไปเลยท้องลูกมันก็โตขึ้นทุกวันนะ เรื่องแบบนี้จะให้รอช้าได้ยังไง วันนี้ต้องไปคุยกันให้รู้เรื่องเอาให้รู้ดำรู้แดงไปเลย ดูสิว่ามันจะมีความเป็นลูกผู้ชายอยู่ไหม” “เอ่อ…” ผู้เป็นสามีถึงกับพูดอะไรไม่ออกและไม่สามารถช่วยเกลี้ยกล่อมได้อีกต่อไป “แต่แม่คะหนูว่า…” “ไม่ต้องมีตงมีแต่อะไรทั้งนั้น ไปกับแม่เดี๋ยวนี้!” "อ๊ะ แม่" "แม่จ๋ารอพ่อด้วย" ไม่ทันได้เปิดโอกาสให้หญิงสาวพูดหาข้ออ้างมากไปกว่านี้ ผู้เป็นแม่ใจร้อนไม่รอช้าที่จะคว้าข้อมือของเธอลากให้เดินตามไปขึ้นรถมุ่งหน้าไปหาชายหนุ่มในทันทีความโศกเศร้าปกคลุมไปทั่วบริเวณภายในวัด แขกที่ตามร่วมงานกันมากมายต่างสวมใส่ชุดสีดำเพื่อไว้อาลัยให้กับผู้ล่วงลับ“ดิฉันขอแสดงความเสียใจกับคุณหญิงด้วยนะคะ” มารดาของหญิงสาวเดินทางมาร่วมไว้อาลัยให้กับลูกเขยอย่างจิรายุ ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะทำไม่ดีกับบุตรสาวเอาไว้มากมายแต่ในเมื่อเขาจากไปแล้วก็ทำได้แค่อโหสิกรรมให้แก่กันเท่านั้น“ขอบคุณจากใจนะคะที่คุณหญิงอุตส่าห์เดินทางมาร่วมงาน อีกอย่างต้องขอโทษคุณหญิงแทนวายุลูกชายดิฉันด้วยนะคะกับในสิ่งที่เคยทำไม่ดีกับหนูวนิดา”ผู้เป็นมารดาพูดขอโทษทั้งน้ำตาอย่างเจ็บปวดใจที่ต้องมาสูญเสียลูกชายคนเดียวทั้งที่ยังไม่ได้ตั้งตัวและยังทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เลยสักนิด หัวอกของคนเป็นแม่แตกสลายเมื่อได้เห็นร่างไร้ลมหายใจของลูกชายชิงตายจากไปก่อนอย่างไม่อาจจะยอมรับความจริงได้ในตอนนี้“คุณหญิงไม่ต้องขอโทษดิฉันเลยค่ะ เรื่องแบบนี้คงไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น...แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว เราคนเป็นแม่ก็ทำให้ได้แค่ต้องทำใจยอมรับมันให้ได้เท่านั้น” มารดาของหญิงสาวก็เศร้าใจไม่น้อยทั้งเห็นใจหัวอกคนเป็นแม่ด้วยกันว่ามันทรมานเจ็บปวดเจียนตายแค่ไหนที่ต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ ทุกอย่า
หญิงสาวที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องทำงานชายหนุ่มพร้อมกับแม่สามี เธอพยายามตั้งสติระบายลมหายใจออกมาเบาๆ ข่มกลั้นความรู้สึกอยากร้องไห้เอาไว้ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือไปเคาะบานประตูทันทีก๊อก ก๊อก ก๊อกเพียงไม่นานนักผ่านประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงของชายหนุ่มที่เสื้อผ้าอยู่ในสภาพยับเยิน คงไม่ต้องเดาเลยว่าเขาเพิ่งจะเสร็จจากภารกิจทางกายมาแต่ทว่าทันทีที่ได้เห็นเธอกับมารดาอยู่ตรงหน้าเขาถึงกับเบิกตากว้าง ใบหน้าก็ซีดเผือดลงทันทีหญิงสาวที่เห็นสภาพของชายหนุ่มที่รักมากในตอนนี้แล้ว ริมฝีปากของเธอถึงกับสั่นระริกอย่างแค้นใจ แต่ทำได้แค่ผ่อนลมหายใจระงับอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ในอก “คะ คุณแม่กับดา…มากันตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ทำไมไม่โทรมาบอกผมก่อน” ชายหนุ่มเอ่ยถามน้ำเสียงอึกอัก“ว่าไงพ่อตัวดี คุยกับหนูวนิดาเขาเถอะนะ ฉันไม่อยากจะคุยกับแก” น้ำเสียงของผู้เป็นแม่แข็งกระด้าง ชักสีหน้าใส่ลูกชายด้วยความโกรธก่อนจะยืนกอดอกหันหลังให้กับเขา“เห็นช่วงนี้คุณทำงานหนักไม่ค่อยได้กลับไปทานข้าวที่บ้าน...ดาก็เลยซื้อข้าวมาฝากคุณค่ะ”“อะ อ๋อขอบคุณนะครับ” ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน ยื่นมือมารับถุงข้าวในมือของหญิงส
คฤหาสน์“หนูวนิดาไปยังไงมายังไงลูก” แม่สามีอ้าแขนโอบกอดร่างของลูกสะใภ้ด้วยความรักก่อนที่ทั้งสองจะนั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก แต่เธอในตอนนี้เมื่อเห็นใบหน้าของท่านแล้วถึงกับลำคอตีบตัน พยายามสะกดความรู้สึกที่แสบร้อนในดวงตาเอาไว้“สวัสดีค่ะคุณแม่” เธอยกมือพนมไหว้“แม่คิดถึงหนูจังเลย เป็นยังไงบ้างลูกช่วงนี้”“ก็ดีค่ะคุณแม่ หนูกับคุณวายุก็เพิ่งจะกลับมาจากเที่ยวทะเล”“ดีจริง วายุลูกชายของแม่ดูเอาใจใส่หนูเก่งจังเลยนะช่วงนี้ เห็นแบบนี้แล้วแม่ค่อยสบายใจหน่อย” เมื่อเห็นท่าทีว่าแม่สามีกำลังสบายใจ เธอจึงเค้นยิ้มรับบางๆ ที่แสนอ่อนโยนและขมขื่นใจยังไม่อยากจะพูดอะไรออกไปในตอนนี้“คุณแม่คะ เย็นนี้คุณแม่ว่างหรือเปล่าคะ พอดี…ดาอยากจะพาคุณแม่ไปที่หนึ่งหน่อยนะค่ะ”“ได้สิสำหรับลูกสะใภ้ของแม่ แม่ว่างอยู่แล้วจ้ะ ว่าแต่หนูวนิดาอยากพาแม่ไปที่ไหนเหรอลูก”“ดายังขอไม่บอกตอนนี้นะคะ พอดีเป็นเซอร์ไพรส์ค่ะ”“แหมะ ลูกสะใภ้คนนี้มีเซอร์ไพรส์ให้แม่ด้วย น่ารักจริงๆ เลย” พูดจบแม่สามีก็คว้าร่างตั้งครรภ์ของลูกสะใภ้เข้ามากอดด้วยความรัก หญิงสาวรรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นอ่อนโยนจากท่านพลันทำให้น้ำตาแวววาวค่อยๆ เอ่อขึ้นมาคลอเบ้าตาอย่าง
อารมณ์ของหญิงสาวในตอนนี้ดิ่งลงสู่เหว แววตาคู่นั้นมองลึกเข้าไปในตาของชายหนุ่มอย่างพยายามสะกดกลั้นความขมขื่นเจ็บปวดในใจ ไม่ว่ารสชาติของอาหารตรงหน้ามันจะอร่อยมากขนาดไหนแต่ความรู้สึกของเธอในตอนนี้นั้นมันชั่งขมฝาดลิ้นกินเหลือเกิน จนกินได้ไม่กี่คำก็ต้องวางช้อนยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มแต่ผิดกับชายหนุ่มที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเขากำลังนั่งทานอาหารตามปกติทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น แต่เธอก็แอบสังเกตได้ว่าสายตาของเขาเหลือบมองไปยังโต๊ะของหญิงสาวซึ่งอยู่โต๊ะถัดไปที่เขาได้แอบเจอกันก่อนหน้าตอนไปห้องน้ำเป็นครั้งคราว แลดูแล้วอายุของหล่อนน่าจะน้อยกว่าเธอไม่กี่ปีแต่ทว่าผู้หญิงคนนั้นดูมีเสน่ห์ไม่น้อย ใบหน้าดูสะสวยรสนิยมในการแต่งตัวก็ดูเซ็กซี่ทั้งน่าค้นหา ไม่เหมือนกับเธอในตอนนี้ที่ดูจืดชืดมองไปตรงไหนก็ไม่มีชีวิตชีวาแตกต่างราวฟ้ากับเหว สรุปแล้วเธอไม่มีอะไรเทียบผู้หญิงคนนั้นได้เลยจริงๆ …ห้องพัก“เดี๋ยวผมจะลงไปซื้อยามาให้ คุณนอนรอผมอยู่ที่ห้องก่อนนะ”“อย่าไปนานนะคะ ดา…ไม่อยากอยู่คนเดียว”“ครับที่รัก รอแป๊บนึงนะแล้วผมจะรีบกลับมา”“ค่ะ” ริมฝีปากชมพูดยกเป็นรอยยิ้มขมๆ หลังจากจบบทสนทนาหญิงสาวพยักหน้ารับ
00.45น.ด้วยฮอร์โมนของคุณแม่ตั้งครรภ์ทำให้หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกรู้สึกปวดฉี่อยากเข้าห้องน้ำแทบจะทุกเวลา ทว่าหัวใจของภรรยาอย่างเธอหล่นไปกองอยู่ปลายเท้าเมื่อไร้เงาของสามี“คุณคะ”เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ หญิงสาวจึงพยุงร่างขึ้นมาแล้วก้าวขาลงจากเตียง ก่อนที่เธอกวาดสายตามองหาร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มรอบห้องแต่ก็ไม่มีแม้แต่เงาของเขาแต่โทรศัพท์เขาก็ยังไม่เอาไปหญิงสาวทำได้เพียงเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจเธอจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วกลับมานอนบนเตียงเช่นเดิมราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนเวลาล่วงเลยผ่านไปพักหนึ่งเปลือกตาบางยังคงข่มตานอนไม่หลับนอนพลิกตะแคงไปมาอย่างเป็นกังวลทั้งข้องใจว่าชายหนุ่มนั้นหายไปไหนในเวลาดึกขนาดนี้ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกวูบโหวงอยู่ภายในใจราวกับว่าเซ้นส์สัมผัสกำลังทำงานขึ้นมาอย่างน่าแปลกประหลาด อีกทั้งลูกน้อยในท้องก็ออกแรงดิ้นจนเธอรู้สึกจุกราวกับว่าเด็กน้อยกำลังสื่อสารอะไรบางอย่างให้เธอรู้02.30น.แกร๊กเสียงประตูห้องพักถูกเปิดออกแม้มันจะแผ่วเบามากแค่ไหนแต่ก็ยังมีเสียงเล็ดลอดออกมาท่ามกลางความเงียบงัน เพียงไม่นานเสียงฝ่าเท้าหนักๆ ก็เดินเข้ามาในห้องนอน หญิงสาวที่ยังคงนอนไม
หลายวันต่อมา“หน้าตาคุณดูอิดโรยจังเลยนะคะช่วงนี้ พักผ่อนก็น้อยทำงานก็หนักดาเป็นห่วงคุณจัง”หญิงสาวเอ่ยขึ้นในขณะที่กำลังนั่งทานอาหารเช้า เธอมองหน้าของสามีด้วยความเป็นห่วงทั้งกังวลอยู่ในใจลึกๆ เพราะเห็นว่าช่วงนี้เขาทำงานจนต้องกลับบ้านดึกทุกวัน เวลาพักผ่อนก็ไม่ค่อยจะมีแถมรุ่งเช้าก็รีบขับรถออกไปทำงานอีกเป็นแบบนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว“คุณไม่ต้องเป็นห่วงผมนะ ที่ผมทำงานหนักก็เพื่อให้คุณกับลูกได้อยู่อย่างสุขสบายนะรู้มั้ย” ชายหนุ่มยื่นฝ่ามือไปกุมมือหญิงสาวเอาไว้ทั้งยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนให้เธอเหมือนกับในทุกครั้งๆ“ขอบคุณนะคะที่คุณยอมทำงานหนักเพื่อดากับลูก”“อีกไม่กี่เดือนก็ใกล้จะคลอดแล้ว คุณอยู่แต่บ้านคงจะเบื่อแย่เลยใช่มั้ย งั้นเราไปหาที่ผ่อนคลายสมองสักหน่อยดีมั้ยครับเผื่อคุณจะได้สบายใจขึ้น คุณอยากไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่าเดี๋ยวผมพาไป”“ดาไปได้เหรอคะ” ได้ยินชายหนุ่มพูดแบบนั้นแล้วดวงตากลมโตก็เบิกกว้างอย่างตื่นเต้นขึ้นมาทันที“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ แต่ห้ามไกลเกินไปนะคุณท้องแก่แล้วผมไม่อยากให้คุณต้องรถเดินไกลนานๆ” ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบหญิงสาวคลี่ยิ้มหวานอย่างรื่นเริงใจ เธอจึงไม่รอช้ารีบบอกสถานที่ที่อยากจ