ขณะที่ขันทีอันยื่นแขนออกมารับเสี่ยวหู่นั้น ฮ่องเต้ก็ชักมือของตนที่อุ้มเสี่ยวหู่กลับเข้าหาตัว
“ไม่ต้องล่ะ เดี๋ยวอาบพร้อมกับเจิ้นเลย”
เถียนจิ้งหลานได้ยินดังนั้นก็พลันตื่นตระหนก ‘อะ อะ อาบน้ำกับฝ่าบาท ไม่นะ สตรีใสซื่อไร้เดียงสาบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างฉันเกิดมายังไม่เคยเห็นอะไรอย่างนั้นเลยนะ’
ปฏิกิริยาของร่างกายตอบสนองทั้งดิ้น ตะกุยตะกายในอ้อมแขนของฮ่องเต้ เล็บข่วนแขนเสื้อของฮ่องเต้จนผ้าเป็นรอยยาว
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว มองการกระทำของแมวน้อยในอ้อมแขน
“เจ้าเป็นอะไร วันนี้กลัวน้ำหรืออย่างไร ไม่ต้องกลัว เจิ้นไม่ให้เจ้าจมน้ำหรอก” ว่าแล้วเขาก็อุ้มเสี่ยวหู่ไปยังห้องสรงน้ำส่วนพระองค์
เสี่ยวหู่ชอกช้ำใจอยู่ในอ้อมกอดฮ่องเต้ พลางบ่นในใจ
‘ไอ้ฮ่องเต้โรคจิต มีมนุษย์กี่คนกันที่อาบน้ำกับแมว’
ภายในห้องสรงน้ำของฮ่องเต้นั้นมีขนาดใหญ่มาก สระน้ำกว้างราวกับสระว่ายน้ำที่บรรจุด้วยน้ำใสสะอาด มีไอน้ำลอยขึ้นมาบางๆทั่วบริเวณ พื้นของห้องอาบน้ำนั้นปูด้วยแผ่นกระเบื้องสีสว่างสะอาดวาววับ แสงไฟดูสลัวแต่ก็ยังมองเห็นสิ่งต่างๆภายในได้อย่างชัดเจน
เหล่าขันทีน้อยนำอุปกรณ์อาบน้ำและผ้าคลุมมาแขวนไว้ ก่อนออกไปยืนเรียงแถวรอด้านนอก แสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้ชอบการอาบน้ำด้วยตนเองและรักความเป็นส่วนตัว
เสี่ยวหู่ถูกอุ้มมาวางอยู่ข้างสระ สายตามัวแต่ตะลึงกับความโอ่โถงหรูหราของห้องอาบน้ำ รู้สึกตัวอีกทีก็โดนอุ้มลงสระแล้ว
“กรี๊ดดดดดด อย่าเพิ่ง ขอทำใจก่อน” “เหมียวๆๆๆ”
“ช่วงนี้บ่นเก่งนัก” ฮ่องเต้พูดพลางหยิบผ้ามาถูลงบนขนที่เปียกของเสี่ยวหู่ จากนั้นก็หยิบผงอะไรสักอย่างมาใส่ ดมจากกลิ่นแล้วน่าจะเป็นสมุนไพรผสมดอกไม้ กลิ่นสมุนไพรจางๆร่วมกับกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ หอมกำลังดี
‘มีคนปรนนิบัติอาบน้ำ อย่างฟิน’ เพลินไปไม่เท่าไหร่ รู้สึกตัวอีกครั้ง ตอนโดนจับหงายท้องอาบน้ำ ตามองเห็นหน้าอกล่ำๆกับซิกแพคของฮ่องเต้ก็จ้องอย่างลืมตัว
‘อาศัยช่วงที่เป็นแมวนี่แหละ ทำอะไรไม่มีผู้ใดดูออก มันดีจริงๆนะเนี่ย’
‘เอ๊ะ เอวของฉันโดนอะไรอยู่นะ สังหรณ์ใจไม่ดีเสียแล้ว อย่าบอกนะว่า...’ ปฏิกิริยาร่างกายไวอีกครั้ง พยายามจะพลิกตัวให้พ้นจากสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนใจ แต่แล้วก็พลาด ‘พรืดดดดดดด’ พลิกตัวได้แต่ไถลลื่น หน้าไปทิ่มกับความใหญ่โตของฮ่องเต้แทน อื้อหือออ เต็มๆหน้าของแมวน้อย
“อ๊ากกกกก” “หม๊าววววว” เสี่ยวหู่กรีดร้องด้วยความตกใจ แล้วก็พุ่งพรวดขึ้นมาจากน้ำ
เถียนจิ้งหลานในร่างเสี่ยวหู่นั่งอยู่ริมสระใจสั่นโครมคราม ตกใจก็ตกใจ เขินก็เขิน
ฮ่องเต้สะดุ้งเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นท่าทางของเสี่ยวหู่นั้นก็รู้สึกขำขันขึ้นมา “ฮ่าๆๆๆ” เขาหัวเราะไม่หยุด เสียงดังก้องห้องสรงน้ำ สายตามองเสี่ยวหู่ด้วยความเอ็นดูปนสมเพช
“เซ่อซ่าขึ้นนะ สมองมีปัญหาแน่ๆ”
ใครจะรู้ว่าในกาลต่อไป ไม่ได้มีแค่แมวตัวนี้ที่ฮ่องเต้มองว่าเซ่อซ่า
ฮ่องเต้หยิบผ้าที่เปียกมาบิดให้หมาด ลูบขนเสี่ยวหู่ให้สะอาดจนเสร็จ
“เจิ้นอาบน้ำต่อก่อน เจ้านั่งรอตรงนี้อย่าไปดื้อที่ไหนเสียล่ะ”
‘พ่อจ๋าแม่จ๋า ลูกไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้สัมผัสสิ่งนั้นจริงๆนะ จริ๊งจิ๊ง’
เถียนจิ้งหลานสติเกือบหลุด นอกจากเต็มหน้าแล้วยังเต็มตาอีกต่างหาก เธอภาวนาอย่าให้ฮ่องเต้พิศวาสสตรีเลย กลัวเจ็บระบมแทนพวกนางจริงเชียว
หากเถียนจิ้งหลานอยู่ในร่างสตรีตอนนี้แล้วล่ะก็ ฮ่องเต้คงได้เห็นใบหน้าที่แดงเถือกเหมือนเปลือกแก้วมังกร!!
หลังจากอาบน้ำ รับประทานอาหารเสร็จ ใจของแมวน้อยก็ยังสั่นตึกตักๆอยู่
‘คืนนี้ฉันคงนอนร่วมเตียงกับฮ่องเต้ไม่ได้ล่ะ แค่นี้ก็หัวใจสั่นจนแทบหลุดออกมาจากร่าง ถ้าโดนซุกพุงอีกคงไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้อีกแน่ๆ หัวใจวายตายก่อน’
คิดแล้วก็ค่อยๆย่องออกนอกตำหนัก กระโดดขึ้นผ่านคานที่มีองครักษ์เงาเฝ้าอยู่ เวลานี้เธอไม่สนใจคนหล่อแล้ว มุ่งหน้าไปยังหลังคาตำหนัก มองวิวทิวทัศน์ของพระราชวังในยามค่ำคืน
ดวงดาวส่องสกาวมากมายจนนับไม่ถ้วน ราวกับอัญมณีจำนวนมากที่แข่งกันเปล่งแสงพร่างพราว
เธอนึกถึงยุคสมัยที่จากมา มีแต่แสงไฟจากตึกสูงระฟ้าที่ยามกลางคืนก็ยังสว่างบดบังจนมองไม่เห็นดวงดาวบนท้องฟ้า
ระหว่างที่ดูดาวเพลินๆอยู่นั้น สายตาก็มองเห็นเงาดำผ่านไปมาหน้าประตูทางเข้าตำหนักเหอเซิ่ง
‘เวลาอย่างนี้ ทำไมองครักษ์วังหลวงกลับไม่สนใจนะ องครักษ์เงาก็ด้วย หรือว่ามีแต่ฉันที่มองเห็นกันแน่ เอาแล้วไง แมวนี่เป็นสัตว์ที่มีสัมผัสพิเศษหรือเปล่า ฉันต้องกลัวดีมั้ย จะกลับไปนอนใต้ผ้าห่มหรือจะตามไปดูดีนะ ถ้าหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวจะทำยังไง มือยาวแลบลิ้นปลิ้นตานี่ก็ไม่ไหว’
เธอคิดไปมาหลายตลบสุดท้ายความอยากรู้ก็ชนะความกลัว ‘ไปส่องดีกว่า’ แมวน้อยค่อยๆกระโดดลงจากหลังคาไปยังหน้าตำหนักเหอเซิ่ง
นางกำนัลหน้าแดงอย่างขวยเขินเพราะเข้าใจสิ่งที่องค์หญิงซิงหยวนต้องการ นางรีบวิ่งไปทำตามสั่งโดยไม่คิดชีวิตฤกษ์ดีๆ อย่าให้พลาดเรื่องดีๆหยางหย่วนเฟิงรู้สึกงุนงงหลังจากได้ดื่มน้ำแกงสร่างเมา เขาพอมีสติอยู่บ้างแต่ก็ยังอยากนอนมากกว่า“ข้าอยากพักผ่อนแล้ว เจ้าลิงน้อยก็นอนเถอะ” น้ำเสียงงัวเงียบอกกับหญิงสาวที่มีสีหน้าบอกบุญไม่รับ“ไม่ได้” นางตอบ มือเรียวทั้งสองค่อยๆปลดเสื้อผ้าของชายหนุ่มออก มือหนายกขึ้นมาปัดป้อง “บอกว่าง่วง” เสียงเขาราวกับเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ แต่สตรีตรงหน้าไม่สนใจ นางยังคงทำตามปณิธานของตน “อย่าดื้อสิ” นางสั่งเขาพลางถอดเสื้อผ้าของพวกเขาทั้งคู่ออกจนหมด เจ้าบ่าวป้ายแดงดิ้นขัดขืนส่งเสียงงอแง กลับถูกเจ้าสาวจับคางให้นิ่งก่อนก้มลงจุมพิตเขา เมื่อถูกริมฝีปากหวานฉ่ำรุกล้ำภายในปากของตน ก็ทำให้สติสัมปชัญญะของเขาตื่นเต็มที่ มือแกร่งยกขึ้นมารั้งที่ท้ายทอยหญิงสาว อีกมือลูบบริเวณสะโพกกลมกลึง ก่อนที่จะเปลี่ยนพลิกตัวขึ้นเป็นฝ่ายที่ควบคุมนางแทน ในตำหนักเหอเซิ่ง มีเพียงแค่ชายหญิงสองคนเกี่ยวพันกันอย่างเร้าร้อน พวกเขาสั่งให้กงกง ขันทีและองครั
ที่ประตูเมืองหลวงของรัฐต้าเซี่ย เถียนจิ้งหลานยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง“ซือฝุจะไปจริงๆหรือเจ้าคะ” เธอรู้ว่าซือฝุตัดสินใจแล้วยังไงก็ไม่เปลี่ยนใจ เพียงแค่ใจหายที่ต้องบอกลากันเร็วถึงเพียงนี้“อืม” เถียนเหว่ยฉีบอกกับหญิงสาว เขามองฮ่องเต้แล้วพยักหน้าให้ถือว่าเป็นอันรู้กัน“ตอนที่ข้าเดินทางไปแอบดูท่านพี่หม่า ซือฝุจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ”เถียนเหว่ยฉีนิ่งไปพักหนึ่งก่อนตอบว่า “ถ้าข้าสำเร็จวิชาและมีเวลาว่างข้าจะไป” เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเข้าสำนักที่ปรมาจารย์ไป๋แนะนำเพื่อฝึกตนเป็นเทพเซียนปฐพี การจากไปครั้งนี้ก็เพื่อแสวงหาความก้าวหน้าให้แก่ตนเอง“โชคดีนะเจ้าคะ ถ้ามีโอกาสข้าจะให้ฝ่าบาทพาไปพบซือฝุ” เธอกล่าวเช่นนั้นเพราะจำได้ว่าสามีของตนเคยอวดอ้างว่าขนาดเทพเซียนปฐพียังต้องเกรงใจเขา นั่นหมายความว่าเขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับเทพเซียนปฐพีและน่าจะสามารถเดินทางไปได้ฮ่องเต้ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธหรือตอบรับ เขาเอื้อมมือโอบไหล่ เถียนจิ้งหลาน ก่อนจะกล่าวกับบุรุษตรงหน้า “เดินทางปลอดภัย”เถียนเหว่ยฉีหันหลังให้พวกเขาก่อนหยิบของบางอย่างและทำตามคำแนะนำของปรมาจารย์ไป๋ก่อนที่เขาจะหายตัวไปท่ามกลางฝูงชนเถียนจิ้งห
ด้วยความที่เสียเวลาเดินทางมานาน เมื่อพวกเขานั่งเรือกลับมาถึงฝั่งก็เปลี่ยนเป็นเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่และรับทุกคนเดินทางกลับต้าเซี่ยเลยทีเดียว เว่ยฟางหลิงยังต้องกลับไปเก็บของที่วัง เยี่ยนไป๋อวิ๋นและองค์หญิงซิงหยวนขอลงที่ท่าเรือของรัฐเฉียนเยี่ยนและอวิ๋นโจวเพื่อจัดการธุระของตน ที่ดูหงอยเหงามากที่สุดคงหนีไม่พ้นหยางเหว่ยเสียง ปกติเขาจะชอบพูดคุยกับราชครูหม่า ตอนนี้ราชครูหม่าก็ย้ายไปอยู่ในที่แสนไกลแล้ว เขาคงไม่มีคนให้ซักถามเกี่ยวกับเรื่องโหราศาสตร์และดาราศาสตร์ที่เก่งขนาดนั้นอีกแล้ว ส่วนเยี่ยนไป๋อวิ๋นนั้นถือเป็นสหายที่รู้ใจเขามากที่สุด อยู่ด้วยกันมานานพูดคุยเข้าใจกันทุกเรื่อง พอคิดว่าเยี่ยนไป๋อวิ๋นจะต้องกลับสำนักหลานถาเป็นผู้สืบทอด นานทีปีหนจะลงจากเขา ความเศร้าหดหู่ก็เข้ามาเกาะกุมหัวใจของเขาจนยากที่จะขจัดออก “เจ้าเป็นอะไรไป” เยี่ยนไป๋อวิ๋นเดินมานั่งลงข้างกายเขาหลังจากที่พูดคุยกับเถียนเหว่ยฉีเสร็จ “เดี๋ยวไม่กี่วันเจ้าก็ต้องกลับสำนักแล้ว ข้าคงเหงาน่าดู” เยี่ยนไป๋อวิ๋นเขยิบกายเอาไหล่ตนชนกับไหล่ของหยางเหว่ยเสียง “ถ้าข้ามีเวลาไปหาเจ้า เจ้าจะแต่งกายเป็น
เถียนจิ้งหลานนอนซุกอกกำยำของฮ่องเต้ นิ้วเรียวเขี่ยหน้าอกเขาเล่นด้วยความเพลิดเพลิน“เป่าเป้ยเล่าเรื่องท่านพี่หม่าให้หม่อมฉันฟังเลยเพคะ”“อืม เรื่องมันยาว” เขาไม่รู้จะเริ่มต้นเล่าอย่างไรดี“เจิ้นต้องเล่านิทานเรื่องหนึ่งก่อน จึงจะเล่าเรื่องของ หมิงเจ๋อต่อได้” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขากระตุ้นให้สตรีน้อยยิ่งอยากฟังมากขึ้น“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสตรีโฉมงามปานเทพธิดานางหนึ่งครองรักอยู่กับบุรุษรูปงามดั่งเทพเซียน พวกเขาทั้งสองวางแผนไว้ว่าหากสตรีนางนั้นทำภารกิจที่อาจารย์มอบหมายไว้ให้เรียบร้อยคนทั้งคู่ก็จะแต่งงานกัน” เขาก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของหญิงสาวที่นอนฟังราวกับกระต่ายตัวน้อยก่อนจะเล่าต่อ“สตรีนางนั้นต้องต่อสู้กับศิษย์ร่วมสำนักอีกคน ตามกฎของการประลองคือห้ามผู้ใดเข้าช่วยเหลือได้ เมื่อสตรีนางนั้นเพลี่ยงพล้ำถูกกระบี่ของอีกฝ่าย เขาก็ไม่ได้นิ่งเฉยรีบเข้าไปหวังจะช่วยเหลือนาง เพียงแต่ว่าเขาไปช้าเพียงเสี้ยวเวลาเดียวเท่านั้นจึงทำให้ช่วยนางไว้ไม่ทัน นางสิ้นใจในอ้อมอกของเขา”ร่างแกร่งของชายหนุ่มที่เล่าเรื่องเริ่มสั่นไหว ความรู้สึกเศร้าจนหายใจไม่ออกทำให้หน้าอกกระเพื่อมมากขึ้น น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่น
ฮ่องเต้อุ้มเถียนจิ้งหลานเดินนำคนอื่นๆไปยังทางออกอีกฝั่งของถ้ำ ภายในถ้ำยังคงสว่างไสวจากประกายแสงของคริสตัลสีฟ้าน้ำทะเล พวกเขาใช้เวลาเดินประมาณสามก้านธูปก็ได้พบกับประตูหินบานใหญ่ซึ่งเป็นทางออกอีกด้านของถ้ำ เนื่องจากตอนที่พวกเขาเปิดประตูถ้ำนั้นต้องใช้แก้วมณีมังกรทำให้กลไกของประตูเปิดและตอนนี้มันก็ยังคงอยู่ในลิ้นของหินรูปร่างมังกร เมื่อสำรวจกับประตูบานตรงหน้าก็คล้ายกับว่าต้องใช้แก้วมณีมังกรเช่นกัน “เดี๋ยวกระหม่อมจะย้อนไปหยิบให้พะย่ะค่ะ” เจียงจิ้นเผิงเสนอตัวอาสา “ช้าก่อน” เถียนเหว่ยฉีรั้งเขาไว้ “ปรมาจารย์ไป๋ไม่น่าจะขยันหยิบแก้วมังกรไปมา เขาต้องมีวิธีเรียกมันมาได้แน่ๆ” “ข้าคุมน้ำให้มากับน้ำดีหรือไม่เจ้าคะ” เถียนจิ้งหลานที่กำลังอ่อนล้าก็อยากช่วยเช่นกัน “ไม่ต้องๆ ไม่รบกวนเถียนเฟยพะย่ะค่ะ” ทั้งเจียงจิ้นเผิงและเมิ่งจื่อหานกล่าวห้ามพร้อมกัน พวกเขาไม่ได้ประจบเอาใจ เพียงแต่ว่าถ้านางควบคุมน้ำได้ไม่ดี พวกเขาอาจจะต้องไหลไปตามน้ำหรือไม่ก็ตัวเปียกอีกรอบ ฮ่องเต้เพ่งมองไปรอบๆบริเวณอย่างช้าๆ ก่อนที่จะฝากให้เถียนเหว่ยฉีอุ้มเถียนจิ้งหลา
เมื่อเดินใกล้ถึงด้านหัวของหินก้อนนั้นจึงมองออกว่าหินก้อนนั้นคือหินรูปมังกร ศีรษะมังกรขนาดใหญ่อ้าปากคำรามน่าเกรงขาม ข้างหลังของศีรษะมังกรเป็นถ้ำถูกปิดด้วยประตูหินที่แกะสลักลวดลายมังกรอย่างวิจิตรบรรจงเจียงจิ้นเผิงเดินเข้าไปใกล้ประตูหินนั้น เขาลองผลักประตูแต่ไม่ว่าจะใช้แรงมากเท่าไหร่ประตูก็ไม่มีทีท่าจะขยับเลยแม้แต่น้อยฮ่องเต้พินิจพิเคราะห์ในปากมังกร เขาล้วงมือเข้าไปหยิบห่อผ้าออกมาจากหน้าอกตนเอง ก่อนหยิบแก้วมณีมังกรใส่ลงไปตรงกลางลิ้นของมังกร เมื่อแก้วมณีมังกรลงช่องที่พอดีกับขนาดของมันก็ทำให้หินรูปมังกรนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงบริเวณลำตัวจากสีน้ำตาลเข้มแกมดำเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกตสดใส ดวงตาของมังกรก็เปล่งประกายสีแดงก่ำราวกับโกเมน จากนั้นประตูหินค่อยๆแง้มออกต้อนรับแขกผู้มาเยือนภายในถ้ำของเกาะแห่งนี้แตกต่างจากเกาะแรกราวฟ้ากับเหว ขนาดพื้นที่กว้างขวาง โอ่โถง พื้นและผนังถ้ำเป็นหินอ่อน ส่วนเพดานเต็มไปด้วยหินคริสตัลสีฟ้าน้ำทะเลส่องแสงระยิบระยับสะท้อนไปทั่วทั้งถ้ำ ทำให้ไม่จำเป็นต้องจุดคบไฟเพื่อให้ความสว่างก่อนที่จะเดินเข้าไปในถ้ำ ฮ่องเต้คว้าตัวเถียนจิ้งหลานไว้ มือใหญ่ทั้งสองจับที่คางของนางก่อนที่