จวนสกุลซ่งรับรององค์ชายรองอย่างระมัดระวังโดยไม่รู้เลยสักนิดว่าองครักษ์ที่สวมหน้ากากเหล็กยืนอยู่ทางด้านหลังคือผู้ใด สายตาของเขาไม่ได้ละไปจากใบหน้าของโม่ชิงเยว่เลยจนนางมองเข้าไปในดวงตาของเขา เขาจึงได้รีบถอนสายตาของตนเองออกด้วยสามารถรับรู้ได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของนาง
“จุดประสงค์ของข้าล้วนแจ้งอย่างตรงไปตรงมาเป็นอย่างยิ่งแล้ว ข้าก็แค่อยากจะพบหน้าซ่งฮูหยินเพียงเท่านั้น เอ๋ หรือว่าฮูหยินผู้เฒ่าคิดว่าข้าจะยังมีจุดประสงค์อื่นอีก” เมื่อองค์ชายรองทรงตรัสเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็รีบส่ายหน้าในทันที
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เพียงแต่ก่อนหน้านี้องค์ชายรองทรงตรัสถึงสกุลสุ่ย หม่อมฉันจึงได้คิดว่าสาเหตุที่มาที่นี่เพราะคนจากสกุลสุ่ยผู้นั้น” ประโยคหลังของฮูหยินผู้เฒ่าแฝงน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขัดเคืองใจปะปนมาด้วย
"อ้อ กับญาติผู้น้องคนนั้นของข้า ข้าไม่เองก็ค่อยจะสนิทสนมมากนักถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรีในเรือนหลัง ข้าที่มีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ย่อมไม่อาจจะพบหน้านางได้บ่อยครั้งอยู่แล้ว แต่สาเหตุที่ข้ามาที่นี่เป็นเพราะพอได้ยินว่าสหายของข้ามีทายาทแล้วข้าก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะซ่งเหวินจิ้งไม่เคยบอกสิ่งใดกับข้าเลย แถมดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองมีบุตรสาวหนึ่งคนและบุตรชายหนึ่งคนเช่นนี้ ในฐานะที่เป็นสหายสนิทกันข้าก็เลยจะต้องมาดูให้ได้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เหตุใดทางจวนสกุลซ่งจึงไม่ได้ส่งข่าวไปแจ้งเขาเรื่องที่เขาได้เป็นบิดาคนแล้ว" คำถามประโยคนี้ขององค์ชายรองทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเม้มปากแน่น
"สาเหตุที่ไม่ได้แจ้งเรื่องนี้ให้เขารู้ก็เพราะไม่ต้องการให้เขาเสียสมาธิระหว่างกรำศึก ต้องขอบพระทัยองค์ชายรองแทนบุตรชายของหม่อมฉันด้วยที่ทรงเป็นห่วงเรื่องในเรือนหลังของเขาได้มากถึงขนาดนี้" คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความประชดประชันแต่ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นล่วงเกิน แต่องค์ชายรองกลับนิ่วพระพักตร์แล้วตรัสออกมาด้วยความไม่พอพระทัย
“ที่ข้าให้ความสนใจก็เพราะซ่งเหวินจิ้งเป็นสหายของข้า เขาต้องไปปฏิบัติภารกิจเพื่อชาติบ้านเมือง ต้องทิ้งมารดาที่แก่ชรา น้องสาวที่ยังไม่รู้ความกับภรรยาที่พึ่งจะแต่งเข้าบ้านมาไม่นาน เดิมทีความเป็นห่วงที่มีต่อมารดาและน้องสาวก็ย่อมจะมากมายพอสมควร แต่พอมีภรรยาห่วงของเขาก็ยิ่งจะมีมากขึ้น ข้าในฐานะที่เป็นสหายของเขาเมื่อได้ทราบว่าที่จวนของเขาเกิดเรื่องที่แปลกประหลาด ภรรยาเอกของเขาคลอดทายาทแต่กลับไม่มีการประกาศออกไปให้ผู้อื่นรู้ ส่วนอนุภรรยาของเขาก็ถูกตัดเส้นเอ็นมือเส้นเอ็นเท้าแล้วถูกส่งไปคุมขังที่ศาลบรรพชน ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่สหายที่ดีเช่นข้าจะต้องมาดูที่จวนของเขาเสียหน่อยว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ นี่ล้วนเป็นความหวังดีที่สหายส่วนใหญ่พึงมีต่อกัน” คำพูดขององค์ชายรองทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ส่วนซ่งเหวินหนิงที่ถูกมารดาสั่งให้สงวนถ้อยคำของตนเอาไว้อดทนทำตามคำสั่งของมารดาต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
“ในเมื่อนางคลอดลูกชู้ออกมาแล้วเหตุใดจะต้องประกาศให้ผู้อื่นรู้เล่าเพคะ ในเมื่อองค์ชายทรงเป็นสหายที่ดีของพี่ชายของหม่อมฉันก็ไม่ควรจะประกาศเรื่องนี้ออกไปนะเพคะ” คำพูดของซ่งเหวินหนิงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปตำหนิบุตรสาวของตนเองด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจในทันที
“หนิงเอ๋อ! นี่ใช่เรื่องที่ควรจะเอ่ยหรือ” สีหน้าและแววตาของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้ซ่งเหวินหนิงรีบเก็บงำถ้อยคำของตนเองในทันที
“โอ้! จวนสกุลซ่งแห่งนี้ช่างเต็มไปด้วยสีสันเสียจริง” องค์ชายรองทรงตรัสออกมาแล้วทอดพระเนตรจ้องมองเด็กน้อยทั้งสองด้วยสายพระเนตรที่เต็มไปด้วยความสนพระทัย ส่วนเด็กน้อยทั้งสองยามนี้ต่างก็ก้มหน้าบ่งบอกว่าได้รับการอบรมมาแล้วอย่างดี
“นั้นสินะ ส่งข่าวไปบอกซ่งเหวินจิ้งว่าฮูหยินของพวกเขามีชายอื่นแต่กลับไม่กล้าส่งข่าวไปบอกว่าฮูหยินของเขาคลอดทายาทให้เขาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าท่านช่างเป็นมารดาที่ประเสริฐแท้” องค์ชายรองตรัสออกมาพลางลุกขึ้น
“เอาล่ะ เรื่องในเรือนหลังของผู้อื่นไม่เหมาะที่ข้าจะเข้ามายุ่มย่ามจริงๆ นั่นแหละ เอาไว้ซ่งเหวินจิ้งกลับมาถึงจวนเมื่อไหร่เขาก็คงจะมาจัดการเรื่องยุ่งเหยิงที่นี่ด้วยตนเอง” ถ้อยคำขององค์ชายรองทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าพลันเอ่ยถามในทันที
“เขาใกล้จะกลับมาแล้วหรือเพคะ” คำถามของฮูหยินผู้เฒ่าแม้ว่าจะเต็มไปด้วยความยินดีแต่ก็ไม่อาจจะปกปิดร่องรอยความกังวลใจไว้ได้มิด ทำให้องค์ชายรองอดหันไปทอดพระเนตรจ้องมององครักษ์ที่สวมหน้ากากเหล็กของตนเองไม่ได้
“ชายแดนสงบแล้วอีกไม่นานเขาก็ย่อมจะต้องกลับมา เพียงแต่เพราะอาการบาดเจ็บของเขาทำให้ยามนี้ยังไม่อาจจะกลับมาได้” เมื่อองค์ชายรองทรงตรัสออกมาเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็มีสีหน้าหวั่นวิตกในทันที
“ได้รับบาดเจ็บ! เหตุใดจึงไม่มีข่าวคราวส่งมาที่จวนเลยเล่าเพคะ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามเช่นนี้องค์ชายรองก็ทรงแย้มพระสรวลในทันที
“ก็คงจะเหตุผลเดียวกันกับฮูหยินผู้เฒ่ากระมัง กลัวว่าท่านจะกังวลจนเกินไป เฮ้อ! ได้ยินมาว่าอาการบาดเจ็บในครั้งนี้อาจจะทำให้เขาไม่สามารถมีทายาทได้อีกแล้ว” ถ้อยคำประโยคนี้ขององค์ชายรองทำให้องครักษ์หน้ากากเหล็กขององค์ชายถึงกับลอบกำหมัดแน่นและได้แต่ลอบตำหนิองค์ชายผู้นี้อยู่ในใจที่ทรงทำเกินกว่าที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้
“ไม่สามารถมีทายาทได้อีกแล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยออกมาด้วยความตื่นตระหนกแต่สายตาขององค์ชายรองกลับทอดพระเนตรไปที่เด็กน้อยทั้งสองด้วยสายพระเนตรที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์
“เคราะห์ยังดีที่เขายังมีลูกอยู่แล้วทั้งหญิงและชาย ดังนั้นข้าจึงได้รีบมาดูว่าข่าวที่สกุลสุ่ยส่งไปเป็นความจริงหรือไม่ แต่ได้เห็นเช่นนี้แล้วข้าก็เบาใจ เพราะใบหน้าน้อยๆ นี่คงจะเป็นลูกใครไม่ได้นอกจากลูกของเขา” เมื่อองค์ชายรองทรงตรัสเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็จ้องมองใบหน้าของเด็กน้อยทั้งสองอย่างจริงจัง ในใจของนางย่อมรู้ดีว่าพวกเขาคือหลานแท้ๆ แต่เพราะอคติที่มีต่อมารดาของหลานทำให้นางจงใจละเลยพวกเขา แต่ยามนี้เมื่อได้จ้องมองดวงหน้าน้อยๆ ที่อยู่ตรงหน้านางก็พลันรู้สึกว่าความตื่นตระหนกและความเสียใจที่ถาโถมเข้ามาเมื่อครู่นี้ของนางราวกับได้รับการปลอบประโลมในทันที ส่วนโม่ชิงเยว่นั้นกำลังจ้องมององค์ชายรองด้วยความประหลาดใจเช่นเดียวกัน ในใจก็ได้แต่คิดว่าเหตุใดอยู่ๆ องค์ชายผู้นี้จึงได้คิดจะช่วยเหลือนางกับลูก
“เฮ้อ เวลาก็ล่วงเลยไปมากแล้ว ข้าสมควรกลับเสียที” เมื่อองค์ชายรองตรัสเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้ลุกขึ้นมาภายใต้การประคองของซ่งเหวินหนิงเพื่อถวายการคารวะอำลา โม่ชิงเยว่และทุกคนในโถงรับรองก็ต่างรีบถวายการคารวะอำลาเช่นเดียวกัน องค์ชายรองแค่เพียงพยักพระพักตร์แล้วเสด็จออกไปจากโถงรับรองโดยมีองครักษ์ประจำพระองค์เดินติดตามออกไป
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ