ในขณะที่คนอื่น ๆ ได้ของที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว หวังเยี่ยนหลงเป็นเพียงคนเดียวที่ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง วังธาราเหมันต์ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของแคว้นฉิน เส้นทางเดินนั้นยาวไกลและคดเคี้ยว
หวังเยี่ยนหลงตัดสินใจเข้าพักบ้านน้อยหลังหนึ่งเพราะรู้สึกว่าร่างกายของตนกำลังมีบางอย่างผิดแปลกไป นับตั้งแต่ได้ฝึกฝนวิชาลับของพรรคทลายฟ้าเพื่อฟื้นฟูเส้นชีพจร เขาก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง เดิมทีพอเข้าใจอยู่บ้างว่าปราณมารนั้นมีลักษณะเช่นไร บางครั้งจึงสามารถควบคุมมันเอาไว้ได้ แต่บางครั้งมันกลับย้อนมากัดกินเขา
เขานึกถึงไปตอนที่อยู่กับเซี่ยฟาน เวลานั้นแม้จะทำอะไรที่ไม่เข้าใจตัวเองไปบ้างแต่กลับรู้สึกว่าเขาสามารถควบคุมปราณมารได้ดีกว่าทุกวันนี้
หลังจากวันนั้น หวังเยี่ยนหลงก็เอาแต่วนเวียนวุ่นวายกับเหลียนเฟินไม่จบสิ้นไม่ว่าจะพูดยั่วยุเท่าใดก็ไม่เป็นผล จิตวิญญาณของเหลียนเฟินยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ปล่อยให้ความแค้นเกาะกุม ปราณมารจึงไม่อาจเข้าครอบงำได้อีก ในเมื่อเวลานี้รู้แล้วว่าเขาเป็นผู้ใดจึงไม่มีเหตุผลต้องปิดบังอีกต่อไป หวังเยี่ยนหลงจึงพาเขากลับมาที่สำนักตระกูลหวัง ระหว่างพรรคมารกลุ่มหนึ่งตาดีมองเห็นหวังเยี่ยนหลงแต่ไกล คนในนั้นรู้ทันทีว่าเป็นหวังเยี่ยนหลง ยิ่งอยู่เพียงลำพังกับชายหนุ่มอายุน้อยกว่าก็คิดว่าตนเองมีแต้มเป็นต่อ หากกำจัดเขาได้ก็คงจะมีชื่อเสียงเลื่องลือว่าสามารถโค่นล้มประมุขสำนักตระกูลหวังได้ จึงรวมหัวกันวางแผนพร้อมลอบโจมตี
ครั้นสำนักสะสางเรื่องพรรคมารได้แล้ว จึงหันมาสืบสวนเรื่องภายในอย่างเคร่งเครียดบาดแผลบนร่างกายเกิดจากคมกระบี่เงิน ร่องรอยอาคมที่บ่งชัดได้ว่ามาจากผู้ที่สอบผ่านขั้นกลางไปแล้ว ศิษย์ที่อยู่ในที่แห่งนี้มีเพียงศิษย์ระดับต้นเท่านั้น “ซิ่นเฉิง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้อาจารย์ฟังได้หรือไม่” อาจารย์ผู้หนึ่งถามซิ่นเฉิง ซิ่นเฉิงกลับเล่าเรื่องราวบิดเบือนจากความจริงไปมากนักราวกับว่าความทรงจำของเขาถูกใครบางคนควบคุมอยู่ เหลียนเฟินเห็นว่านี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้เขาถูกลงโทษอย่างสมน้ำสมเนื้อ จึงยอมรับว่าทำเรื่องทั้งหมดนั่นแต่โดยดี
“เหลียนเฟิน!” เสียงคุ้นเคยของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น เรียกความสนใจของหวังเยี่ยนหลงได้เป็นอย่างดี “หมิงฮวา ดีใจนักที่ได้เจอเจ้าเสียที” เขาพูดกับนางอย่างเป็นกันเอง “หวังเยี่ยนหลง?” หมิงฮวาไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะยังมีชีวิตอยู่ นับตั้งแต่ปะทะกันครั้งก่อน ไม่มีข่าวของหวังเยี่ยนหลงหลุดออกมาอีกเลย“เจ้าทำอะไรเขา” หมิงฮวาสงสัย หากเป็นโลหิตมารย่อมไม่สามารถทำอันใดกับศิษย์ทุกคนในสำนักได้ พลังของมันรุนแ
คนกลุ่มหนึ่งในชุดสีขาวแถบเขียวอ่อนวิ่งเข้ามาด้านในศาลาว่าการสายตามองเห็นศิษย์สำนักตนและคนอื่น ๆ ในนั้นนอนจมกองเลือดก็รู้สึกสลดใจที่มาช้าไป “แยกย้ายกันตรวจดู” อาจารย์ผู้หนึ่งสั่งศิษย์ของตน เขามองภาพที่เกิดขึ้นเห็นทั้งไอปราณมารและร่องรอยการต่อสู้ บาดแผลบนตัวทหารหลายคนดึงดูดความสนใจจากเขาเป็นอย่างมาก “อาจารย์ ช่วยหลิ่งอินด้วยขอรับ” เสียงของศิษย์คนหนึ่งดังขึ้น เขาร่ายอาคมรักษาขั
ครั้นทั้งสองคนเดินผ่านโรงเตี๊ยมเดิมเมื่อตอนนั้น หวังเยี่ยนหลงจึงหยุดอยู่ข้างหน้าพลางชี้ให้เหลียนเฟินดู “อาหารที่นี่ขึ้นชื่อ” เขายักยิ้ม “ข้าว่าไปที่อื่นดีกว่า อยู่ตรงนี้นานเหมือนจะไม่สบาย” เหลียนเฟินนึกถึงครั้งที่แล้ว เขาตื่นมาด้วยความงงงวยจนนึกว่าตัวเองป่วยไข้ ค้นหาอาการในตำรารักษาทั่วไปก็ไม่พบเจอสิ่งใดสายตาเหลือบเห็นสิ่งที่เรียกว่าตำราต้องห้ามจึงเปิดดูเนื้อหาด้านใน จึงได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร นึกโกรธตัวเองนักที่จำไม่ได้ จะถามใครก็ไม่ได้อีกเพราะเป็นเรื่องต้องห้าม
ทางสำนักเซียนต่าง ๆ ได้รับข่าวมาว่าหลายพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนจากคนพรรคมารที่ก่อความไม่สงบราวกับพวกมันไม่เกรงกลัวอำนาจของสำนักเซียนอีกต่อไป ทั้งยังรังแกข่มเหงชาวบ้านอย่างเหิมเกริม ไม่เว้นแม้แต่เด็กและสตรี ศิษย์สำนักเซียนแต่ละแห่งจึงแยกย้ายกันไปช่วยเหลือชาวบ้าน เกิดการปะทะกันเป็นหย่อม ๆ ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บไม่น้อย วังธาราเหมันต์เองก็ได้รับสารนั้นด้วยเช่นกัน ศิษย์ที่ผ่านการสอบขั้นกลางทั้งหมดจะถูกส่งลงไปตรวจตรา หากแต่เรื่องราวความวุ่นวายนั้นโกลาหลมากกว่าคิดและกินพื้นที่หลายแห่ง ศิษย์แต่ละคนจึงจำต้องแยกย้ายกันไปตามพื้นที่ที่ตนรับผิดชอบโดยไร้คู่หู