ช่วงบ่ายที่บริษัทใหญ่ใจกลางเมืองกรุงเทพ บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก พนักงานเดินไปมาในชุดสูทที่เรียบร้อยทุกระเบียบนิ้ว เสียงเครื่องถ่ายเอกสารและการพูดคุยเบาๆ ของพนักงานในแต่ละแผนกสะท้อนความมีชีวิตชีวาขององค์กรวันนี้เป็นวันที่นายหัวสิงหาจะเข้าบริษัท
สิงหาก้าวลงจากรถหรูของเขาที่หน้าบริษัท ด้วยสายตาคมและบุคลิกเคร่งขรึมตามแบบฉบับของผู้นำ เขาเดินผ่านล็อบบี้ไปยังลิฟต์โดยมีบอดี้การ์ดตามประกบ แต่ในระหว่างที่เขารอให้ลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่าง เสียงซุบซิบจากพนักงานสองคนใกล้ๆ ก็ดังแว่วมาให้ได้ยิน
“แกว่าไงกับโปรเจกต์ของคุณพลวะ” เสียงสาวสองพูดขึ้นถามเพื่อนในกลุ่มด้วยความอยากรู้
“ฉันว่าดีนะแกได้ช่วยเหลือชาวบ้านที่โคกสะแบงด้วย เห็นทีฉันต้องไปเห็นกับตาที่โคกสะแบงให้ได้เลย”
“ใช่ๆ โปรเจกต์โคกสะแบงของคุณพลน่าทึ่งจริงๆ เลยนะ เห็นว่ามีการพรีออเดอร์กระเป๋าไปแล้วเพียบ ฉันว่าต้องเก็บไว้สักใบแล้ว”
“ใช่ๆ ฉันก็ว่านั้นนะแก เริ่มแรกฉันก็เอะๆ นะว่ามันจะสวยเหรอ ฉันว่ามันแก่ๆ แต่พอเห็นแบบที่คุณพลเสนอมาฉันชอบนะแก เริศๆ”
“เดี๋ยวนะแก แกดูโพสใหม่ที่คุณพลโพสต์ลงเพจบริษัทยังว่ะแก โปรโมทสร้างโรมแรมโปรเจกต์พันล้าน” เสียงเจี้อยแจ้วพูดขึ้นที่อยากจะนำเสนอก่อนที่เพื่อนที่อยู่ข้างๆ จะมามุงดูด้วยความตื่นเต้น ทุกคนก็ต่างตะลึง
“อู้วววว ฉันว่าฉันต้องไปเรียนภาษาละ เผื่อฉันจะได้เป็นพนักงานต้อนรับ”
“เข้าท่าว่ะ เราก็ว่าต้องไปลงคลาสเรียนอิ๊งแล้ว”
สิงหาที่ยืนฟังเสียงพนักงานที่พูดคุยกันอยู่สักพัก ใบหน้าของนายหัวสิงหาก็เริ่มเอะใจขึ้นพลอยขมวดคิ้ว เมื่อได้ฟังพนักงานพูดเริ่มต้นจนเมื่อฟังไปฟังมา ใบหน้าที่เข้มขรึมก็กลับผ่อนคลายลงเล็กน้อย เสียงพนักงานคุยกันเรียกได้ว่าดึงดูดความสนใจเขาเป็นอย่างดี
“เฮ่ย พากูไปที่ห้องประชุมที” สิงหาพูดขึ้นด้วยความอยากรู้ ที่จริงเขาก็อยากมาร่วมประชุมในยามเช้าแต่เมื่อเขาไม่อยากมาฟังเรื่องไร้สาระของลูกชายตนจึงขออยู่บ้าน แต่เมื่อได้ฟังที่พนักงานซุบซิบกันก็ทำเอาเขาอยากรู้ขึ้นมาว่าไอ้ลูกชายจะทำโปรเจกต์อะไร สิงหาตรงไปยังห้องประชุมที่เป็นพื้นที่สำหรับวางแผนโปรเจกต์ใหญ่
เมื่อเขาเปิดประตูห้องประชุมเข้าไป สิ่งแรกที่เห็นคือบอร์ดขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยแผนการนำเสนอสินค้า ตัวอย่างผลิตภัณฑ์จากโคกสะแบงที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ไม่ว่าจะเป็น เสื่อทอมือ กระเป๋าจากผ้าขาวม้า และของจัดสานต่างๆ พร้อมแผนการตลาดที่ดูจริงจังและเต็มไปด้วยไอเดียสร้างสรรค์
สายตาของสิงหาเลื่อนผ่านโปสเตอร์อีกแผ่นที่แสดงโปรเจกต์โรงแรมพันล้านที่พลนำเสนอ การออกแบบเน้นเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยผสานกับความหรูหราสมัยใหม่ แผนการตลาดและงบประมาณถูกจัดทำไว้อย่างรัดกุม
ในใจของสิงหาคล้ายกับมีบางอย่างพังทลายลง... ความคิดผิดๆ ที่เขามีต่อพลตลอดมา เขาเคยเชื่อว่าลูกชายคนนี้ไม่มีความสามารถพอที่จะสืบทอดธุรกิจ แต่วันนี้เขาได้เห็นความตั้งใจ ความมุ่งมั่น และความสามารถของพลอย่างชัดเจน สิงหาเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าที่ทำจากผ้าขาวม้าขึ้นมา พร้อมกับยิ้มเขานึกถึงภรรยาเขาเป็นคนแรก พร้อมกับมองของจัดสานที่สานอย่างประณีตและความใส่ใจ
เขาพึ่งนึกขึ้นได้ว่าโพสต์ที่ลูกชายของตนโพสต์อะไรไปในเพจ สิงหาล้วงโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงพร้อมกับเลื่อนสายตาไปยังหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง ภาพในโพสต์หนึ่งปรากฏขึ้นในฟีดโซเชียล เป็นภาพสินค้าจากโปรเจกต์โคกสะแบงที่กำลังเปิดพรีออเดอร์ พร้อมกับแคปชันจากลูกค้าและคำชื่นชมจากผู้ที่สนใจ ภาพนั้นตอกย้ำให้เขาเห็นว่า ลูกชายของเขาไม่ใช่เพียงคนที่เขาคิดว่าไม่เอาไหนอีกต่อไป
พร้อมกับโพสต์โปรเจกต์โรงแรมพันล้านที่ตนหมายหมั้นปั้นมือมาเกือบสิบปี เป็นปีแรกที่เป็นรูปเป็นร่าง สิงหาเขาเอ่ยชมลูกชายในใจอย่างสุดซึ้ง สิงหาเดินตรงนำหน้าบอดี้การ์ดเพื่อตรงไปหาลูกชายที่ห้องทำงาน
ก๊อก....ก๊อก....ก๊อก
พลที่กำลังง่วนอยู่กับการปรับปรุงแผนงานและตอบอีเมล และการสั่งจองพรีออเดอร์ พร้อมกับโปรเจกต์ที่เขาอยากจัดที่โคกสะแบงเป็นนิทรรศการ และนำเสนอหมู่บ้านออกไป ไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เข้ามาได้ครับ” พลเงยหน้าขึ้น และต้องแปลกใจเมื่อเห็นสิงหาเดินเข้ามาในห้อง พลเขารู้ในใจว่าคงมาหาเรื่องเขาเป็นแน่ เพราะเรื่องโปรเจกต์ที่โคกสะแบง
“ป๊า?” พลลุกขึ้นยืน ใบหน้าฉายแววประหลาดใจ สิงหาปิดประตูเบาๆ และเดินเข้ามาใกล้ลูกชาย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่พลไม่เคยได้ยินมานาน จนพลเองก็เกิดความตกใจและประหลาดใจ
“พ่อขอโทษนะ พล” คำพูดนั้นทำให้พลนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะถามขึ้น
“ขอโทษเรื่องอะไรครับ?” สิงหาถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมกับพูดออกมาจากใจจริงให้กับลูกชายฟัง
“พ่อเคยคิดว่าลูกจะไม่มีวันรับผิดชอบธุรกิจของครอบครัวได้ แต่พ่อคิดผิดมาตลอด... วันนี้พ่อได้เห็นสิ่งที่ลูกทำ พ่อภูมิใจในตัวลูกมาก” พลมองหน้าพ่อของตนด้วยความประหลาดใจและซาบซึ้ง
“ป๊า... พูดจริงเหรอครับ?”
“จริงที่สุด” สิงหายิ้มจางๆ ให้กับลูกชายเพื่อยืนยังความจริงใจ
“เรื่องอิสระ ตอนนี้พ่อคิดว่าพ่อจะปล่อยแล้วนะ พ่ออยากให้ลูกทำทุกอย่างที่ลูกต้องการ แต่พ่อขอแค่ข้อเดียว...ได้ไหมพลทำเพื่อพ่อเถอะนะ”
“ข้อเดียวอะไรครับ?” พลถามขึ้นได้แต่หวังในใจว่าจะไม่ใช่เรื่องแต่งงานนั้นอีกหรอกนะ
“อย่าลืมพาครอบครัวของเราก้าวไปข้างหน้า ให้คนอื่นเห็นว่าเรามีคุณค่า” สิงหาวางมือลงบนไหล่พล พร้อมกับในตาคมที่น้ำตาซึมหน่อยๆ ก่อนที่ที่จะสูดหายใจเข้าลึกและพูดขึ้นอีกครั้ง
“ลูกจะกลับไปโคกสะแบงกี่ครั้งก็ได้ จะทำโปรเจกต์อะไรก็ได้พ่อจะไม่ห้าม แต่ขอให้ลูกอยู่ตรงนี้ด้วย ดูแลธุรกิจนี้ให้ยิ่งใหญ่ไปพร้อมกับความฝันของลูกได้ไหม” พลพยักหน้า น้ำตาเริ่มคลอเบ้า
“ขอบคุณครับพ่อ ผมสัญญา”
ทั้งในวันของวันนั้น ทั้งคู่พ่อลูกเริ่มเปิดใจกันในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และพลก็รู้ว่าเขาจะมีทั้งครอบครัว และโอกาสที่จะเดินตามความฝันของตัวเองอย่างแท้จริง เขาอยากกลับไปใช้ชีวิตที่โคกสะแบง และกลับไปหาคนที่เขารัก
บ่ายคล้อยในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวที่โคกสะแบงแปลกที่วันนี้อากาศไม่ค่อยเย็นสักเท่าไร เป็นรางว่าฝนจะเทลงมาแน่ๆ เข้มที่กำลังซ่อมคันไถอยู่ใต้ถุนบ้านต้องหยุดมือเมื่อพ่อมีบิดาของตนเดินเข้ามาพร้อมกับกล่องพัสดุสีน้ำตาลในมือ
"เข้มเอ่านี้ พ่อไปรับมามื่อเซ่านิ เขาว่าส่งมาจากกรุงเทพฯ" (เข้มอะนี่ พ่อไปรับมาตอนเช้า เขาว่าส่งมาจากกรุงเทพ)
เข้มหันมามองกล่องในมือพ่ออย่างแปลกใจ ก่อนจะรีบล้างมือที่เปื้อนน้ำมันเครื่อง แล้วรับกล่องมาแกะดูอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังเอะใจอยู่ไม่น้อยเมื่อเปิดขึ้น ก็เผยข้างในนั้นก็คือโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่เอี่ยม สีดำเงาวับ พร้อมจดหมายแนบที่เขียนด้วยลายมือที่ไม่คุ้นตา
"ถึงพี่เข้ม โทรศัพท์เครื่องนี้เพื่อให้เราคุยกันได้ทุกวัน ผมคิดถึงพี่เข้มมาก และมีแผนจะกลับไปหาพี่อีกแน่นอน รอผมนะครับ"
เข้มยิ้มออกมาบางๆ หัวใจเต้นรัว มือใหญ่รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดใช้งานอย่างเก้ๆ กังๆ ความที่ไม่ค่อยชินกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้เขาต้องใช้เวลาสักพักในการตั้งค่า แต่เพราะเคยจับโทรศัพท์เก่าของพ่ออยู่บ้าง ก็พอทำให้เขาใช้ได้ ไม่นานโทรศัพท์ก็สั่นและดังขึ้น สายเรียกเข้าปรากฏชื่อว่า “พล” เข้มรีบกดรับสายด้วยมือสั่นเล็กน้อย พร้อมกับยกขึ้นข้างหู
“ฮะ... ฮัลโหล?” เสียงของพลดังมาจากปลายสาย น้ำเสียงสดใสร่าเริงที่เข้มคิดถึงมาตลอด
“อ้ายเข้ม! พลเองนะ!”
“เออ พี่รู้แล้ว...ว่าไงหือ”
เข้มตอบกลับ พร้อมกับยิ้มออกมาจนแก้มจะแตก พลหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวในช่วงเวลาที่ผ่านมาที่กรุงเทพ ตั้งแต่ที่เขากลับจากโค้กสะแบงและการประชุมใหญ่ และไม่ลืมการที่เขาจะเล่าว่าเขาได้รับอนุญาตจากพ่อ ว่าเขาสามารถกลับไปโค้กวะแบงอีกครั้ง
“พี่เข้มครับ พ่อของพลเปลี่ยนไปมากเลยนะครับ” พลเล่าด้วยความตื้นเต้น มีเพียงเข้มเองที่คิ้วขมวดเขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายอยากจะสื่ออะไร ก่อนที่พลจะโทรใครบางคนแย่งโทรศัพท์ไปพร้อมกับปลายเสียงที่ทำเอาเข้มแทบขนลุก
“เข้มใช่ไหม?ฉันสิงหาเองนะ พ่อของพล” เข้มตัวแข็งทื่อ มือที่จับโทรศัพท์แทบหลุด
“เอ่อ... สะ... สวัสดีครับ” เข้มพูดด้วยเสียงที่ตะกุกตะกะขึ้น พร้อมกับสีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนสี
“ฉันรู้เรื่องของแกกับลูกชายฉันแล้ว ไม่ต้องตกใจไป ฉันไม่ได้จะห้าม แต่ฉันคิดว่า... คงต้องไปเจอแกที่โคกสะแบงสักครั้ง และคุยเรื่องสำคัญ...” เข้มเบิกตากว้างพร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัว พลเองที่จ้องหน้าผู้เป็นพ่อพร้อมกับลุ้นไม่ต่างกัน
“เรื่อง... เรื่องอะไรครับ?” เข้มถามขึ้นอีกครั้งด้วยความที่สงสัย ก่อนที่ปลายสายจะหัวเราะขึ้นในลำคอเบาๆ พลเองที่นั่งดูพ่อของตนที่คุยกับเข้ม ก่อนที่สิงหาจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่หนักแน่น
“เรื่องการหมั้นหมาย...”
ณ คฤหาสน์
บรรยากาศในคฤหาสน์กลางกรุงเงียบสงบมีเพียงเสียงรถที่ขับผ่านไปมา เสียงนกร้องจากสวนข้างบ้าน พลเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับสิงหาผู้เป็นพ่อ ทั้งคู่พูดคุยและหัวเราะกันเบาๆ อย่างเป็นกันเอง ฐา มารดาของพลที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ก็ต้องพลอยเงยหน้าขึ้นมามองทั้งสองคนด้วยความประหลาดใจ
“อะไรกัน?สองพ่อลูกไปสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย?” พลยิ้มก่อนจะเดินไปนั่งข้างแม่ พร้อมกับกอดแขนแม่ของตนแน่นพร้อมกับซบที่ไหล่ของเธอ ก่อนที่จะพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มหวาน
“ก็ตั้งแต่ที่พ่อเข้าใจผมนั่นแหละครับ” ฐาที่มองลูกชายตัวเองด้วยความงุนงง ก่อนที่สิงหาสามีของเธอจะมานั่งลงอีกข้างของเธอ สิงหาจับมือภรรยาขึ้นเบาๆ
“ฐา เรามาคุยกันหน่อย ผมมีเรื่องสำคัญอยากบอก”
ฐามองสามีด้วยความสงสัย ก่อนจะวางหนังสือลงแล้วหันหน้าไปจ้องใบหน้าของสามี พลเองก็นั่งอยู่ใกล้ๆ ท่าทางของเขาดูผ่อนคลายลงแต่สายตากลับแฝงไปด้วยความกังวลเล็กน้อย เขากังวลว่ามารดาจะยอมรับในความรักของเขาได้ไหม ก่อนที่สิงหามองภรรยาแล้วเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“คุณรู้ไหมว่าพลไม่ได้แค่หนีไปที่โคกสะแบง แต่ที่ผ่านมาพลลูกของเราได้เจอคนสำคัญที่นั่นด้วย คนที่ทำให้พลอยากสร้างอนาคตไปด้วยกัน คุณจะว่ายังไงล่ะ?”
ฐาขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมกับจ้องหน้าสามีด้วยความไม่เข้าใจ พร้อมกับมองที่ใบหน้าของลูกชายพร้อมกับสามีสลับกันไปมา ด้วยความสงสัยอยู่เต็มอก
“คนสำคัญ? .....ใครกันคะ?” พลถอนหายใจยาวก่อนจะพูดขึ้นแทนพ่อของตน เขาตัดสินใจที่จะพูดออกไปตรงๆ และจะไม่ปิดบังอีกต่อไป
“แม่... พลเจอคนที่ผมรักแล้วครับ เขาชื่อเข้ม เป็นคนที่ทำให้ผมเข้าใจความหมายของคำว่า ‘บ้าน’ จริงๆ ผมอยู่นั้นเขาคอยช่วยสอนผม ทั้งดำนา ทั้งหาปลา และมีน้องเขาด้วยความชื่อขิมเธอน่ารักมากๆ เลยครับ”
ฐาหยุดนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มบางๆ พร้อมกับโอบกอดลูกชายแน่นพร้อมกับลูบไปที่ศีรษะด้วยความเอ็นดู “เขาคงเจอคนที่ใช่จริงๆ แล้วละ” ฐาคิดขึ้นในพร้อมกับหยิกแก้มของลูกชายด้วยความเอ็นดู ที่ในตอนนี้พลสีหน้าแทบลุ้นว่าตนจะยอมรับได้ไหม
“แม่ดีใจนะที่ลูกเจอใครสักคนที่สำคัญขนาดนั้น แม่อยากเห็นหน้าแล้วสิ”
“ผมเลยคิดว่า....เราควรไปพบพ่อแม่ของเข้มอย่างเป็นทางการ ผมอยากคุยเรื่องความสัมพันธ์ของเด็กทั้งสองคน และอยากให้พวกเขารู้ว่าเรายินดี” ฐายิ้มกว้างขึ้น มือเรียลของเธอจับมือสามีแน่นพร้อมกับพยักหน้าไปมา
“ฉันยินดีมากค่ะ แต่เดือนหน้านี้เราต้องไปร่วมโปรเจกต์ใหญ่ที่จีนใช่ไหมคะ?เราจะจัดการเรื่องนี้ยังไงดีคะ?” พลที่นั่งฟังอยู่เขาก็รีบพูดสวนขึ้นทันที เพราะเขามีจุดประสงค์อยากกลับไปที่โคกสะแบง
“ป๊าม๊าผมขออนุญาตไปอยู่ที่โคกสะแบงสักพักได้ไหมครับ ระหว่างที่พ่อแม่ไปจีน ผมอยากใช้เวลาที่อยู่ที่นั่นเตรียมสถานที่ที่จะใช้จัดนิทรรศการและโปรโมทวัฒนธรรม ผมสัญญาว่าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนพ่อแม่กลับมา”
สิงหามองลูกชายด้วยสายตาชื่นชม พร้อมกับหัวเราะขึ้นเบาๆ ในลำคอก่อนที่จะพูดขึ้น
“ถ้าลูกตั้งใจแบบนั้น พ่อก็ไม่ว่าอะไร จะอยู่ก็อยู่ เดี๋ยวที่บริษัทพ่อจะให้นาจัดการให้” ฐามองหน้าสามีแล้วพยักหน้า ก่อนที่จะกุมมือนุ่มของลูกชายพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหวานๆ
“แม่เห็นด้วยนะลูก แต่ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ” พลยิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้นฉายชัดในดวงตา เขารู้สึกมีความสุขที่สุดตั้งแต่ที่เขาอยู่คฤหาสน์หลังนี้มา
“ขอบคุณครับป๊า ขอบคุณครับม๊า”