หลังจากเหตุการณ์แช่ตัวในคลองของลูกสาวสุดแสบผ่านไปเพียงแค่อาทิตย์เดียว บ้านกำนันม่วงก็ได้เปิดบ้านต้อนรับปลัดหนุ่มอีกครั้ง
“สวัสดีครับกำนัน”
“สวัสดีปลัด” กำนันม่วงยิ้มรับ วันนี้ลูกสาวไม่อยู่ ถือว่าเป็นฤกษ์ดีที่จะได้คุยกับปลัดภคินเรื่องจะยกลูกสาวให้ เขามั่นใจว่าชายหนุ่มต้องตอบตกลง หลายเดือนที่ผ่านมาปลัดภคินแสดงออกให้เห็นอยู่เสมอว่าสนใจชมพู่จริงๆ และปลัดภคินเองก็อายุสามสิบกว่าแล้ว คงไม่ได้คิดแค่อยากคบชมพู่เล่นๆ เหมือนพวกวัยรุ่นสมัยนี้
กำนันม่วงมั่นใจว่าตนดูคนไม่ผิด
“วันนี้บ้านเงียบจังครับ”
ปลัดหนุ่มเอ่ยถามอย่างไม่เจาะจง หากแต่ในใจกลับอยากรู้เหลือเกินว่าคนที่หมายปองหายไปไหน อาทิตย์ที่แล้วเขาตั้งใจมาดูหน้าคนที่ชอบพอให้ชื่นใจ กลับได้เจอเธอในสภาพเปื้อนโคลนแทน เขาไม่ได้รังเกียจที่ชมพู่เป็นผู้หญิงแก่นๆ แบบนั้น แต่ที่เขารีบกลับเพราะไม่อยากให้เธอรู้สึกอับอาย
“อ้อ...” กำนันม่วงยิ้มกว้างกว่าเดิม ชายวัยกลางคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนทำไมจะไม่รู้ว่าอีกคนกำลังมองหาใคร “เจ้าพร้าวไปสวน ส่วนเมียฉันไปวัด”
ถึงแม้จะรู้จุดประสงค์ของชายหนุ่มอยู่แล้ว แต่กำนันม่วงก็ยังไม่ยอมตอบออกไป เขาอยากจะวัดใจปลัดภคินอีกครั้ง จะได้มั่นใจมากขึ้นว่าสมควรพูดเรื่องนั้นไหม
“แล้ว... ชมพู่ล่ะครับ”
คนอ่อนวัยกว่าตกหลุมพรางของคนอายุมากกว่าจนได้ เพราะกำนันม่วงไม่ยอมพูดถึงลูกสาวเลย เขาเลยต้องถามออกมาเอง พอถามเสร็จก็รีบหลบสายตาที่เหมือนรู้ทันของอีกฝ่ายอย่างมีพิรุธ จนไม่ได้สังเกตเลยว่ารอยยิ้มของกำนันม่วงแปลกไป
“อ๋อ... ชมพู่เข้าไปในเมืองกับเจ้าเปี๊ยกเจ้าลม คุณมีธุระกับมันหรือ”
“คือ...” พอโดนถามตรงๆ ปลัดหนุ่มก็พูดไม่ออก เกรงว่าถ้าตอบออกไปตามที่ใจเรียกร้องจะทำให้กำนันม่วงรู้สึกไม่ดี ซ้ำร้ายอาจจะกีดกันจนเขาไม่ได้เข้ามาที่บ้านหลังนี้อีก
“หรือแค่อยากเจอลูกสาวฉันเฉยๆ”
“กำนันครับ...ผม”
“ลูกผู้ชายด้วยกัน คิดอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เลยปลัด ปลัดชอบเจ้าพู่มันใช่ไหม?”
“เอ่อ...ครับ”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ!” ฝ่ามือหนาตบลงบนไหล่ของปลัดหนุ่ม ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ “ชอบก็มาขอมันไปเสียสิ”
“ครับ!?” ภคินสบตาอีกฝ่ายด้วยความตกใจ ไม่คาดคิดว่ากำนันจะไม่ต่อว่าที่เขามาหาบ่อยๆ เพราะสนใจลูกสาวตัวเอง ทั้งยังพูดให้มาขออย่างง่ายดายแบบนี้อีก เขาตกใจจริงๆ เพราะคิดมาตลอดว่าคนแบบกำนันต้องหวงลูกสาวมากแน่ๆ จนแม้แต่เขาเองยังไม่กล้าเข้าหาชมพู่แบบโต้งๆ เลย
“เฮ้อ... ไอ้ฉันมันก็อายุมากขึ้นทุกวันทุกวัน กับปลัดเองฉันก็เห็นมาหลายปี ความดีต่างๆ ของปลัดทำไมฉันจะไม่เห็น พอรู้ว่าชอบพอลูกสาวฉันฉันก็ดีใจ และถ้าปลัดคิดจะจริงจังกับลูกสาวฉันจริงๆ ฉันก็เต็มใจจะยกเจ้าพู่ให้ไปเป็นเมียของปลัด”
ชายหนุ่มเงียบไปเมื่อได้ยินแบบนั้น จริงอยู่ที่เขาชอบพอชมพู่มาหลายเดือน แต่ยังไม่มีโอกาสได้ลองคบหาศึกษาดูใจกับอีกฝ่ายเลย แบบนี้ถ้าต้องแต่งงานกันไปจะมีปัญหาอะไรตามมาไหม อีกอย่าง... เขายังไม่รู้เลยว่าชมพู่ชอบเขาเหมือนกันหรือเปล่า
กำนันม่วงเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปก็เริ่มร้อนรน ไม่ใช่ว่าพอปลัดได้เห็นพฤติกรรมของชมพู่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเลยรู้สึกลังเลหรอกหรือ
“ในบรรดาคนที่เข้ามาจีบชมพู่มันฉันก็ชอบปลัดที่สุดนี่แหละ” กำนันม่วงงัดไม้ตายออกมา เรื่องที่แต่งขึ้นสดๆ ทำให้อดรู้สึกอับอายอยู่ในใจไม่ได้ ชมพู่น่ะหรือมีคนมาจีบ หน้าตามันสะสวยเกินกว่าคนแถวนี้ก็จริง แต่วันๆ มันอยู่แต่ในไร่ในนา ทำตัวมอมแมมวิ่งไล่เตะผู้ชาย พอพวกผู้ชายแถวนี้เห็นเข้าก็นึกขยาดไม่กล้าเข้าใกล้ มีแต่ปลัดนี่แหละที่ไม่รู้ว่าชอบพอชมพู่มันตรงไหน ถึงได้เทียวไปเทียวมาตั้งหลายเดือน
ปลัดหนุ่มยังคงเงียบอย่างต้องการใช้ความคิด แต่งงานมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เขาไม่ได้คิดจะแต่งงานหลายๆ รอบ ถ้าแต่งกับคนนี้ก็อยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดไป
กำนันม่วงเริ่มนั่งไม่ติด เพราะถ้าวันนี้ปลัดไม่ตอบตกลง นอกจากชมพู่จะขายไม่ออกแล้ว ตนก็จะเสียหน้าด้วย เพราะดันพูดเปิดทางให้อีกฝ่ายขนาดนั้น ต่อไปจะมองหน้าปลัดได้อย่างไร
‘เอายังไงดี หรือจะบอกว่าล้อเล่น แบบนี้ก็แย่ไม่ต่างกัน แต่อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นเข้าหน้าไม่ติดล่ะนะ’ กำนันม่วงสรุปกับตัวเองในใจ
“ฉัน...”
“ถ้าชมพู่ไม่มีปัญหา ผมก็ตกลงครับ”
ยังไม่ทันที่กำนันม่วงจะได้พูดแก้ต่าง ภคินก็เอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน เขาตัดสินใจดีแล้ว เขาเห็นกับตาว่าชมพู่เป็นคนดีจริงๆ แบบไม่ต้องเสแสร้ง นิสัยซุกซนไปบ้างแต่เขาก็เข้าใจได้ ถ้าชมพู่ไม่มีปัญหาที่จะแต่งงานกับเขา เขาก็ยินดีรับเธอมาเป็นคู่ชีวิต เป็นแม่ของลูก และอยู่ด้วยกันจนวันสุดท้ายของชีวิต
“...อะ” กำนันม่วงลิ้นค้าง พูดไม่ออกไปชั่วขณะ ก่อนที่จะตั้งสติแล้วส่งยิ้มละไมให้ว่าที่ลูกเขย “ชมพู่มันยินดีอยู่แล้ว เรื่องนั้นปลัดไม่ต้องกังวลไป”
.
.“แต่งงาน!?” เสียงหวีดแหลมที่ดังขึ้นลั่นบ้านทำให้อีกสามคนที่เหลือยกมือขึ้นปิดหูแทบไม่ทัน ชมพู่ลุกขึ้นยืน มองหน้าพ่อตัวเองเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน “พ่อจะให้ฉันแต่งกับใคร”
“จำปลัดภคินได้ไหมเจ้าพู่” กำนันม่วงเอามือออกจากหู ก่อนจะถามลูกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ไม่เห็นจำได้”
“พ่อรู้ว่าเอ็งจำได้ ที่หล่อๆ สูงๆ เข้มๆ น่ะ อาทิตย์ที่แล้วก็มาบ้านเรา”
“จำไม่ได้” หญิงสาวยังคงยืนยันเหมือนเดิม เธอจำไม่ได้จริงๆ ชื่อน่ะรู้อยู่หรอก แต่จำหน้าไม่ได้แม้แต่นิดเดียว เหมือนไม่เคยอยู่ในความทรงจำมาก่อน
“เออๆ จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่วันอาทิตย์พี่เขาจะมาหา พาไปดูฤกษ์ดูยาม เดี๋ยวก็คุ้นเองแหละ”
“นี่พ่อไปตกลงกับเขาจนถึงขั้นจะให้ฉันไปดูฤกษ์แล้วเหรอ?” ชมพู่มองหน้าผู้ให้กำเนิดอย่างเหลือจะเชื่อ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าพ่อจะทำแบบนี้กับตัวเองได้ลงคอ
วันนี้เธอเข้าไปในตัวเมืองมา พาไอ้เปี๊ยกไอ้ลมไปดูหนังที่มันร่ำร้องอยากจะดู หนังสนุกจนเธออารมณ์ดีสุดๆ กลับบ้านมาเห็นแม่ทำกับข้าวชุดใหญ่และมีแต่ของโปรดก็ยิ่งอารมณ์ดี แต่พอกินข้าวเสร็จพ่อกลับเรียกให้ไปหาเพราะมีเรื่องอยากคุยด้วย ตอนแรกเธอคิดว่าคงดุตามประสาที่เที่ยวจนกลับค่ำมืด แต่กลับกลายเป็นเรื่องที่จะให้เธอไปแต่งงานกับใครก็ไม่รู้แทน นี่พ่อฝันอยู่หรือไงว่าเธอจะยอม
“ไอ้พู่ นั่งลงอย่ายืนค้ำหัวพ่อแม่” เสียงดุของพี่มะพร้าว พี่ชายที่อายุห่างกันเกือบห้าปีทำให้ชมพู่ยอมทำตามแต่โดยดี แต่ยังไม่วายทำท่าทางฟึดฟัดไม่พอใจอย่างคนเอาแต่ใจให้พี่ชายได้ส่ายหัว มะพร้าวเลือกที่จะไม่ถือสาน้อง เขาตามใจน้องมาแต่ไหนแต่ไร พู่มันเลยเสียคน กลายเป็นเด็กไม่มีมารยาทแบบนี้
“ปลัดเขาเป็นคนดี เขาชอบพอเอ็ง เทียวไปเทียวมาอยู่หลายเดือนแต่ไม่คิดจะจีบจริงจังเพราะเกรงใจพ่อกับแม่ พ่อรู้จักเขามานาน เขาเป็นคนดีนะพู่”
“แม่ยืนยันได้ ตั้งแต่ปลัดมาอยู่ที่นี่เมื่อสามปีก่อน ปลัดเขาก็ไม่เคยทำเรื่องไม่ดีให้เป็นขี้ปากชาวบ้านเลย เรื่องผู้หญิงก็ไม่เคยสนใจหรือคบหาใคร มีแค่เอ็งนี่แหละที่เขาแสดงออกว่าสนใจเป็นคนแรก”
ชมพู่เบะปาก ดูจากที่พ่อกับแม่อวยอีตาปลัดอะไรนั่นให้ฟังเธอก็พอจะรู้แล้วว่าทั้งสองคนเป็นปลื้มผู้ชายคนนั้นแค่ไหน แต่เธอไม่ได้ปลื้มด้วยนี่ มาบังคับให้แต่งงานทั้งๆ ที่เธอไม่ได้รักแบบนี้มันไม่แฟร์เลย ไหนแต่ก่อนพูดกรอกหูเธอกับพี่พร้าวทุกวันว่าจะไม่บังคับเรื่องความรัก ทำไมตอนนี้ถึงได้กลับคำแบบนี้เล่า!
“พี่พร้าว~”
เมื่อรู้ว่าคงขัดใจพ่อกับแม่ไม่ได้ ชมพู่ก็รีบเข้าไปเกาะแขนพี่ชาย พร้อมกับเอนหัวซบไหล่แข็งๆ ของพี่อย่างต้องการออดอ้อน ถ้าพี่พร้าวช่วยพูด บางทีอาจจะทำให้พ่อกับแม่เปลี่ยนใจก็ได้
“พี่เองก็ยืนยันได้ว่าปลัดเป็นคนดี” ได้ยินแค่นั้นชมพู่ก็ยกหัวออกจากไหล่พี่ชายแทบไม่ทัน อะไรกัน พี่ชายเธอก็เป็นไปด้วยเหรอ!
“พู่ พ่อกับแม่ที่ไหนจะยัดเยียดสิ่งไม่ดีให้ลูก ถ้าปลัดเป็นคนไม่ดีพ่อกับแม่คงไม่สนับสนุน แต่นี่เขาเป็นคนดี เขารักลูกสาวแม่ แม่อยากให้ลูกมีสามีที่ดี มีหน้าที่การงานดีแบบปลัดเขา”
เสียงของแม่อ่อนไหวจนชมพู่ลดท่าทางที่ต่อต้านลง หญิงสาวมองผู้เป็นแม่ที่กำลังทำหน้าเครียดยิ่งกว่าตอนที่เธอหัวแตกด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
“เชื่อเถอะว่าพ่อกับแม่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เอ็งแล้ว”
.
.“พู่ นอนหรือยังลูก”
เสียงเรียกที่หน้าประตูทำให้ร่างอรชรต้องลุกไปเปิดประตูให้อย่างเสียไม่ได้ เมื่อเปิดประตูให้ผู้เป็นแม่ได้เข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้วหญิงสาวก็เดินกลับมาทิ้งตัวนอนบนเตียงของตัวเองตามเดิม
อรอนงค์มองท่าทางหมางเมินของลูกสาวอย่างปวดใจ ชมพู่ยังไม่ได้ให้คำตอบเรื่องแต่งงาน ท่าทีต่อต้านลดลง แต่ดูไม่ร่าเริงเหมือนเก่าจนเธอต้องตามเข้ามาดู
“โกรธพ่อกับแม่หรือ” อรอนงค์ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กับร่างบอบบางของลูกสาว
“ไม่ได้โกรธ แค่ไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจอะไร ถามแม่มา แม่จะตอบให้ทุกอย่าง”
ชมพู่ฟังคำพูดของแม่เงียบๆ เธอมองตุ๊กตาตัวโปรดที่เก็บไว้ตั้งแต่ห้าขวบราวกับเป็นที่พึ่งสุดท้ายในตอนนี้ เธอไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจอะไรเลย
“ทำไมพ่อกับแม่ต้องรีบให้ฉันแต่งงานด้วย พี่พร้าวจะยี่สิบแปดแล้วยังไม่มีแฟนพ่อกับแม่ไม่เห็นว่าอะไรเลย แต่ฉันยังไม่ยี่สิบสาม เพิ่งเรียนจบ ยังไม่ได้ทำตามฝันที่วางไว้ด้วยซ้ำ” พอพูดออกไปแล้วเธอก็อดน้อยใจไม่ได้ เธอมีความฝันตั้งมากมาย แต่จู่ๆ ก็ต้องไปแต่งงาน ต้องไปเป็นเมียของใครก็ไม่รู้ สิ่งที่เธออยากทำอาจจะถูกขัดขวาง สุดท้ายแล้วเธอไปเรียนไกลถึงกรุงเทพฯ เพื่ออะไร
“พ่อกับแม่เป็นห่วงเอ็ง ตอนนี้เอ็งทำอะไรมุทะลุไม่คิดหน้าคิดหลัง ไม่รักไม่ห่วงตัวเอง ถ้าเอ็งแต่งงานมีครอบครัว มันจะทำให้เอ็งโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น”
“พ่อกับแม่แค่อยากให้ฉันมีครอบครัวเป็นของตัวเอง แค่นี้น่ะเหรอ?” ร่างบางลุกขึ้นนั่ง จ้องมองใบหน้าของแม่ที่ไม่มีทีท่าว่าจะโกหกอะไรนิ่งๆ
“ใช่ พ่อกับแม่อยากเห็นเอ็งมีครอบครัวเป็นของตัวเอง”
ชมพู่ไม่ได้พูดอะไร เอาแต่มองหน้าแม่อยู่แบบนั้น
“พู่เอ้ย... พ่อกับแม่หวังดีกับลูกนะ” พูดจบอรอนงค์ก็รั้งร่างของลูกเข้ามากอด เธอรักและห่วงใยลูกสาวเหลือเกิน ไม่ใช่ไม่ใจหายที่ต้องยกลูกให้คนอื่น แต่เธออายุมากแล้ว จะให้อยู่ดูแลลูกตลอดไปก็คงไม่ได้ เธอจึงจำต้องวางมือที่เคยจับจูงมาตั้งแต่เด็กๆ ให้คนที่ดีและเหมาะสม ให้เขาได้ดูแลมือคู่นี้ต่อจากเธอและกำนัน
“ฉันเข้าใจแล้วจ้ะแม่” ชมพู่โอบกอดร่างอวบอิ่มของแม่กลับ “...เข้าใจแล้ว”
“อะไรนะพี่มิว? ท้องอีกแล้ว!?”“ใช่จ้ะ” มือบางลูบหน้าท้องที่ยังแบนเรียบของตัวเองเบาๆ ใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความสุขจนชมพู่เปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทันเธอตกใจจริงๆ ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้...“หมอเจนบอกว่าสองเดือนแล้ว”“แต่... น้องพิมเพิ่งจะได้ขวบเดียวเองนะพี่มิว แบบนี้จะเลี้ยงไหวหรือ?”ชมพู่พูดพลางมองไปที่เด็กน้อยที่กล่าวถึงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะมองเลยไปที่เด็กชายอีกสองคนที่อายุไล่เลี่ยกัน ทั้งหมดเกิดจากพ่อและแม่คนเดียวกัน และที่สำคัญ... ทั้งสามคนอายุห่างกันไม่ถึงปีมีลูกหัวปีท้ายปี พี่ชายเธอจะขยันเอาเหรียญทองหรือยังไง...“ไหวสิ พี่ไม่ได้ทำงานที่ไหนอยู่แล้ว อีกอย่าง... น้องพิมเองก็เริ่มโตแล้ว”“แต่... ขวบเดียวเองนะ...” ชมพู่จะเป็นลม หนึ่งขวบนี่นะเรียกว่าโตแล้ว เพิ่งเดินได้ เพิ่งหัดเรียกพ่อกับแม่ได้เอง ยังไม่หย่านมด้วยซ้ำ...แต่เอาเถอะ เรื่องครอบครัวของพี่ชายเธอจะไม่ยุ่ง ถ้าทั้งคู่บอกว่าเลี้ยงไหวก็คือไหว เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่พร้าวและพี่มิวก็ไม่เคยรบกวนให้คนอื่นมาช่วยเลี้ยงลูกเลย มีแต่จะโดนปู่กับย่าแย่งตัวหลานๆ ไปเลี้ยงเองเสียมากกว่าพี่พร้าวของเธอสละโสดเมื่อห้าหกปีที่แล้ว แล
เช้าวันจันทร์ ชมพู่ลืมตาขึ้นมาในช่วงเวลาเดิม เสียงไก่ที่เริ่มขันดังอยู่ไกลๆ แสงพระอาทิตย์จางๆ เริ่มกระจายตัวไปทั่วหญิงสาวก้มมองมือที่พาดอยู่บนเอว ความอบอุ่นจากเนื้อตัวของอีกฝ่ายช่วยไล่อากาศหนาวๆ ออกไปจนไม่อยากออกห่างจากอ้อมแขนนี้แม้แต่วินาทีเดียว ลมหายใจอุ่นๆ รินรดอยู่ที่ซอกคอ สามีเธอยังคงเป็นเหมือนเดิม ชอบนอนซุกซอกคอเธอเหมือนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วไม่มีผิดหญิงสาวพรูลมหายใจออกมาเบาๆ เพราะหน้าที่ของคนเป็นแม่ทำให้เธอเกียจคร้านนอนซุกอ้อมกอดอุ่นๆ ของสามีจนสายเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ ชมพู่ตัดใจยกแขนแกร่งออกจากเอว หมอศิลาที่เพิ่งได้นอนขยับตัวเล็กน้อย ชมพู่ชะงักค้าง เพราะกลัวว่าจะทำให้สามีที่เหน็ดเหนื่อยจากงานต้องตื่นจากฝันดีแต่สุดท้ายหมอศิลาก็หลับต่อ ดวงตาคู่คมยังปิดแน่นสนิท หน้าอกแกร่งขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ชมพู่ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ ย่องลงจากเตียงไปทำธุระส่วนตัวชมพู่มองตัวเองในกระจกหลังจากแปรงฟันเสร็จ เธอส่งยิ้มให้คนในกระจกเหมือนกับทุกๆ เช้า เธอทำแบบนี้ตั้งแต่คลอดพระพาย เพราะมีความเชื่อว่าถ้าเริ่มต้นวันด้วยรอยยิ้ม ก็จะทำให้วันนั้นทั้งวันมีแต่เรื่องที่มีความสุข... แต่การยิ้มบ่อยๆ
แอ๊ะ~“ยัยหนู น่าเกลียดน่าชังจังเลยหลานย่า” คุณหญิงศศิมาร้องออกมาเบาๆ ดวงตาจ้องมองเด็กน้อยตัวชมพู่ที่นอนอยู่บนที่นอนของตัวเองไม่วางตาเมื่อคืนกลางดึกเธอได้รู้ข่าวเรื่องที่ชมพู่กำลังจะคลอดจากลม น้องชายของชมพู่ที่ย้ายมาอยู่ที่บ้านด้วยเพราะเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ทั้งครอบครัวพากันแตกตื่นไปหมด รีบหาเที่ยวบินที่เร็วที่สุด เพื่อเดินทางมาเยี่ยมสะใภ้และหลานคนใหม่ทันทีแต่กว่าจะมาถึงได้ก็บ่ายแก่ๆ เข้าไปแล้ว ไม่ทันได้ลุ้นตอนชมพู่คลอดลูก แต่ความน่ารักของหลานก็ทำให้ความเสียดายนั้นมลายหายไปและโชคดีที่เด็กหญิงพระพายปลอดภัยดี แข็งแรง ร้องเสียงดัง น้ำหนักตอนคลอดปาไปสามกิโลถ้วน ไม่ต้องเข้าเตาอบ ตัวชมพู หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา“ชื่อพระพายหรือ” เสียงทุ้มเอ่ยถามลูกชาย ตั้งแต่มาถึงเขาเห็นศิลายิ้มไม่หุบ ทำให้นึกถึงตัวเองเมื่อเกือบสี่สิบปีก่อนตอนนั้นเขาก็ยิ้มกว้างแบบนี้ ยิ้มจนพ่อตาแม่ยายพอกันล้อเลียน แต่เขาก็หุบยิ้มไม่ได้ได้เห็นหน้าลูกครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษจนบรรยายออกมาไม่ถูกจริงๆ“ครับคุณพ่อ ชื่อพระพาย แปลว่าเทพเจ้าแห่งลม”“ชื่อน่ารัก ความหมายดี แล้วชื่อจริงล่ะ”“ยังไม่ได้คิดครับ ไว้ออกจากโรงพยา
ศิลาเป็นหมอ เวลาทุกวินาทีของเขามีค่ามาก เพราะนั่นหมายถึงความเป็นความตายของคนไข้ เขาไม่ชอบการรอคอย เพราะมันทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์แต่ครั้งนี้หมอหนุ่มกลับยินดีที่จะเสียเวลารอคอยอะไรบางอย่าง สี่สิบสัปดาห์ สองร้อยแปดสิบวัน เขาไม่เคยคิดว่าเวลาที่ยาวนานนี้มันจะทำให้เขาต้องเสียเวลาเปล่าเลย กลับกัน... เขากลับรู้สึกว่าต่อให้ต้องรอนานกว่านี้ เขาก็ยินดีที่จะรอ“กู๊ดไนท์นะคะ คุณแม่” ปากหยักจูบเบาๆ ลงบนหน้าผากเนียน ชมพู่ยิ้มจนตาปิด พี่หมอบอกฝันดี นั่นแปลว่าคืนนี้เธอจะต้องฝันดีแน่ๆ และรอยยิ้มของภรรยาก็ทำให้ศิลาอดใจไม่ไหว คุณหมอหนุ่มก้มลงหอมแก้มนุ่มหลายที ก่อนจะกระถดกายลงไปที่หน้าท้องใหญ่ “ฝันดีนะคะ พระพายของพ่อ”ศิลากดทั้งปากและจมูกลงบนหน้าท้องของภรรยา ป่านนี้ลูกเขาคงหลับแล้ว เพราะไม่มีการตอบรับใดๆ นอกจากแรงหายใจของคนเป็นแม่ ศิลาซุกหน้าอยู่แบบนั้นหลายนาที ก่อนจะขยับออกห่าง เขาปิดเสื้อนอนให้ภรรยา ห่มผ้าให้จนถึงคอ และทิ้งตัวนอนข้างๆ“พี่หมอ ฝันดีนะคะ”“งั้นขอจ้องหน้าชมพู่นานๆ หน่อยนะคะ พี่จะได้ฝันถึงชมพู่”“ทำไมคะ?”“ก็ฝันดีของพี่คือฝันถึงชมพู่นี่คะ”“พี่หมอ... จนลูกจะคลอดแล้วยังปากหวานอีกเหรอ
ตึง! ตึง! ตึง!“ติณณ์! อย่าวิ่ง!”“คิกคิก”“อย่าวิ่ง เดี๋ยวล้ม!”“ม่ายล้ม อ๊ะ!”ยังพูดไม่ทันขาดคำ ร่างเล็กๆ ที่วิ่งซนไม่ดูทางก็ชนเข้ากับร่างหนึ่งจนได้ เด็กน้อยโซเซจนล้มลงไปนั่งอยู่ที่พื้น ส่วนอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรเพราะตัวโตกว่าและตั้งตัวได้ทัน“น้องชมพู่!” ดาวเบิกตากว้าง รีบวิ่งเข้าไปหาเจ้านายก่อนใคร ตัดใจมองข้ามลูกชายที่นั่งแหมะอยู่ที่พื้น ไม่ใช่เพราะลูกสำคัญน้อยกว่า แต่ชมพู่กำลังท้อง แล้วเมื่อกี้ติณณ์วิ่งชนเข้าเต็มๆ “เป็นอะไรไหมคะ?”“ไม่เป็นอะไรจ้ะ ฉันเอนหลบทัน เลยไม่โดนท้อง” ชมพู่ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะนั่งลงยองๆ แล้วเอื้อมมือไปจับแขนเล็กไว้ “ติณณ์ล่ะ เจ็บหรือเปล่า?”“ฮึ่ก มะ...” เด็กน้อยเบะปากเตรียมร้องไห้ ส่ายหน้าไปมาแรงๆ“ไม่เจ็บก็ไม่ต้องร้องนะ น้ายังไม่ร้องเลยเห็นไหม”“หะ...เห็นคับ” เด็กน้อยว่าง่ายรีบเม้มปากแน่นกลั้นสะอื้น ไม่อยากร้องไห้เพราะคุณน้าคนสวยที่โดนชนก็ไม่ร้องเหมือนกัน ก่อนร่างเล็กจะลุกขึ้นตามแรงจับของชมพู่“นั่งนี่ก่อนนะ” ชมพู่ดันไหล่เล็กให้นั่งลงบนโซฟาไม้ ก่อนที่เธอจะนั่งลงไปข้างๆ “เมื่อกี้ที่วิ่งแบบนั้น ติณณ์ทำไม่ถูกนะรู้ไหม?”ดวงตาแป๋วจ้องมองชมพู่อย่างสงสัย เด็
“พี่ดาว เอาอันนี้ไปวางตรงนั้นให้ฉันทีนะ”“ค่ะน้องพู่” ดาวรับของจากมือของหญิงสาว ก่อนจะเดินไปจัดการให้ตามที่อีกฝ่ายไหว้วาน ร่างบางค้อมตัวลงเล็กน้อยเมื่อเดินผ่านศิลาที่เดินสวนมา“ชมพู่ พี่บอกไม่ให้ทำ ทำไมไม่ฟังกันบ้าง”คุณหมอหนุ่มตอนนี้ขมวดคิ้วแน่นกว่าตอนที่เจอเคสยากๆ เสียอีก เพราะความดื้อรั้นของภรรยามันเกินที่จะเยียวยาแล้ววันนี้เป็นวันแต่งงานของญาณินและปลัดภคิน ทั้งสองทำพิธีการที่สำคัญรวมถึงสวมแหวนกันไปแล้วตั้งแต่เช้า และช่วงเย็นจะมีงานเลี้ยงฉลองเล็กๆ ระหว่างนี้บ่าวสาวกำลังพักผ่อนอยู่ แต่เพื่อนเจ้าสาวอย่างชมพู่กลับออกมาจัดการเรื่องงานเลี้ยงตอนเย็นแทนเจ้าของงานเสียอย่างนั้น ศิลารู้ว่าภรรยาเขาหวังดี แต่แดดที่ร้อนจัดตอนนี้ก็ทำให้เขาเป็นห่วงเหลือเกิน“เสร็จแล้วค่า” ชมพู่รีบวางงานทุกอย่างลง แล้วหันมากอดเอวสอบของสามีไว้ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างออดอ้อน “ชมพู่ออกมาเดี๋ยวเดียวเองน้า”“มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา เจนกับปลัดเขามีเจ้าหน้าที่ช่วยอยู่แล้ว”“แต่ชมพู่รับปากไว้แล้ว...”“นั่นคือตอนที่ชมพู่ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังท้อง แต่ตอนนี้ชมพู่ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ ออกมาตากแดดร้อนๆ แบบนี้ถ้าเป็นลมไปจะ