บทที่ 34 หา!!
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอาจารย์ของเจ้า จะใจดีถึงขนาดซื้อของมากมายขนาดนี้ มอบให้แก่เจ้าเป็นของขวัญกลับบ้าน มันจะต้องใช้อีแปะมากมายเท่าไหร่กัน...”
มองเห็นสิ่งของที่อัดแน่นเต็มจนล้นทั้งห้าสิบเล่มเกวียน จางหลงก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมากับน้องชาย หากเป็นเมื่อก่อนหน้านี้ ในตอนที่เขายังไม่เจอกับนางเซียนน้อย เขาก็คงจะดีใจจนกระโดดโลดเต้นไปแล้ว...
“เรื่องนั้นท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วงเลย ถึงแม้อาจารย์ของข้าจะไม่ใช่คนที่ร่ำรวยที่สุดในสำนัก แต่ถึงอย่างนั้นการซื้อของเพียงแค่นี้ เขาสามารถจ่ายออกได้อย่างสบายๆ” จางหู่ตอบยิ้มยิ้ม “แล้วที่สำคัญก็คืออาจารย์ของข้ามิได้ใช้ตำลึงหรือเงินอีแปะ แบบที่พวกเราใช้แต่อย่างใด แต่ท่านตายออกด้วยหินวิญญาณก้อนเล็กที่สุดเพียงแค่หนึ่งก่อน ก็สามารถซื้อสิ่งของมากมายที่ท่านเห็นได้เลย”
“หินวิญญาณอย่างนั้นหรือ... เจ้าไปอยู่ในสำนักใดมากันแน่ถึงได้มีหินวิญญาณใช้จ่าย ไม่ใช่ว่ามันคือสิ่งที่มีค่าและหายากเสียยิ่งกว่าทองคำไม่ใช่หรืออย่างไร”
“เรื่องนั้นตัวข้าเองก็ยังไม่แน่ใจเช่นเดียวกัน เพราะท่านอาจารย์ของข้าบอกว่าท่านได้ออกมาท่องเที่ยวยังโลกภายนอก แล้วมองเห็นความสามารถของข้า หลังจากนั้นท่านจึงได้ฝึกฝนข้าในระหว่างเดินทางไปทั่ว และยอมรับข้าเป็นศิษย์เอกในที่สุด” จางหู่กล่าวไปตามตรง เพราะว่าเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าอาจารย์ของเขาเป็นใครมาจากไหน“แต่ท่านมิได้กล่าวถึงเรื่องของสำนักของท่านแต่อย่างใด เพียงแค่รู้ว่าท่านมาจากสำนักฝึกยุทธ์สำนักใดสำนักหนึ่งก็เท่านั้น”
“อาจารย์ของเจ้าช่างเป็นคนที่แปลกประหลาดยิ่งนัก”
“ขนาดท่านเพียงแค่ฟังถึงเรื่องราวของเขายังคิดว่าเขาแปลก สำหรับข้าที่อยู่ด้วยกันกับเขามานานกว่าสามปี ข้าคิดว่านอกจากวรยุทธ์ที่สูงส่งของเขาแล้ว แทบไม่มีอะไรซักอย่างในตัวเขาที่เป็นปกติ เหมือนคนธรรมดาธรรมดาทั่วไปอย่างเราเลยแม้แต่อย่างเดียว” จางหู่กล่าวพลางก็หัวเราะไปพลางๆ ถึงจะเข้มงวดไปสักหน่อย แต่เมื่อนึกถึงอาจารย์ของเขาทีไรแล้ว จางหู่ก็รู้สึกมีความสุขและสนุกในทุกครั้ง
“ทุกคนเป็นอย่างไรบ้างเรียบร้อยแล้วหรือยัง” จางหลงยิ้มตอบ ก่อนที่จะหันไปมองลูกบ้านทุกคน ที่ตอนนี้กำลังช่วยกันจับจองเป็นผู้เข็นเกวียนแทนวัวม้า เนื่องจากหมู่บ้านของพวกเขาได้สูญเสียมันไป ในช่วงเวลาหลายปีก่อนแล้ว
“เรียบร้อยแล้วท่านหัวหน้า”
“ทั้งนี้เองก็เรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกันขอรับ ถึงแม้จะหนักไปบ้าง แต่พวกเราก็สามารถผลัดเวียนหมุนเปลี่ยนกันเข็นลากได้อยู่”
“ครั้งนี้เองก็เรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกันขอรับ”
“ดีดี ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ออกเดินทางกลับหมู่บ้านกันเถอะ มันอาจจะหนักไปสักนิด แต่ด้วยระยะทางเพียงแค่หกลี้ พวกเราน่าจะสามารถเข็นไปถึงหมู่บ้านได้ก่อนค่ำอย่างแน่นอน...”
“เดี๋ยวก่อนทุกคน! ระวังตัวแล้วหลบเข้าไปใต้เกวียนเดี๋ยวนี้!!”
ก่อนที่ทุกคนจะได้เดินทางกลับ จางหู่ผู้ซึ่งสามารถสัมผัสได้ถึงขุมพลังอันมหาศาล ที่มุ่งเข้ามาหาพวกเขาทุกคนด้วยความเร็วที่สูงมาก จนเขาแทบจับสัมผัสไม่ได้เลยว่ามันกำลังวิ่งหรือหายตัวมากันแน่
ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นจึงรีบหลบตามคำสั่งของจางหู่ เพราะว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมาจางหู่ก็เป็นคนนึงที่มีสัมผัสเป็นเลิศยิ่งกว่าใคร แล้วยังมีร่างกายที่แข็งแกร่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย เมื่อได้ยินว่าเขาได้ฝึกฝนวรยุทธ์ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ทุกคนจึงไม่ลังเลเลยที่จะเชื่อฟังเขา
“...”
“...”
“...”
ผ่านไปหลายอึดใจจางหู่ก็ยังคงกำหมัดตั้งท่าต่อสู้ แล้วมองไปยังทิศทางของหมู่บ้าน ซึ่งตอนนี้เริ่มได้ยินเสียงบางอย่างกำลังเดินย่างกรายเข้ามา
ในตอนนั้นเองที่เจ้าของร่างซึ่งสูงมากกว่าสองเมตร ตลอดลำตัวยาวถึงสามเมตร และมีขนสีน้ำตาลแดงฟูฟ่อง ขนของมันยาวจนปรกปิดคลุมไปไม่เห็นแม้แต่ดวงตา กำลังเดินข้ามหาทุกคนยังไม่เร่งร้อน
“นี่มันตัวบ้าอะไรกันแน่ ทำไมมันถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้” น้ำเสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ลอดออกมาจากปากที่กำลังกัดฟันแน่นจนฟันของเขาแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ไม่ว่าจิตใจของเขาจะหวั่นเกรงมันสักเท่าไร จนอยากที่จะหนีไปให้พ้นๆ...
แต่เมื่อมองย้อนกลับไปที่ชาวบ้านที่เป็นทั้งเพื่อนทั้งญาติพี่น้องของเขา ซึ่งกำลังมองมาที่เขาเป็นตาเดียวแล้ว สุดท้ายเขาก็กลั้นใจยอมสู้ตายกับเจ้าสัตว์อสูรนั่น
“ทุกคนรีบหนีไปเร็วเข้า เดี๋ยวตรงนี้ข้าจะต้านมันเอาไว้เอง รีบหนีกลับไปให้เร็วที่สุดเลย!”
“หนีไปหาน้องสาวเจ้าสิ นี้แหละคือเจ้าสังที่ขาเล่าให้ฟัง”
“หา!!”
………………….
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง