“ไอ้ศร...พอเรากลับถึงคอนโด มึงรีบไปง้อมันก่อนเลยนะมึงอ่ะ เดี๋ยวเราแวะซื้อเกี๊ยวน้ำเจ้าประจำของโปรดไอ้เจ้าเอาไปฝากมันด้วย”
โชกุนหันมาบอกกับคันศรตอนที่ออกมาจากห้องกิจกรรมในเวลาช่วงใกล้ค่ำ หลังจากเรียกรุ่นน้องเข้ามารวมกลุ่มกันในวันนี้เพราะพวกเขาเป็นรุ่นพี่ปีสี่จึงต้องมีการแนะนำตัว และต้องคอยให้คำปรึกษาน้องๆ พร้อมกับอธิบายถึงกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องทำร่วมกัน
Rrr! Rrr! Rrr!
แต่ทว่า...คันศรยังไม่ทันได้ตอบรับ เมื่อมีเสียงโทรข้อความเข้ามาในโทรศัพท์ของโชกุนซะก่อน
และเสียงโทรศัพท์นั่นก็เรียกสายตา ของเพื่อนกันทั้งสองคนให้มองตามมือใหญ่ ที่ล้วงเข้าไปหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“ไอ้เจ้า?...”
เจ้าของมือถือเอ่ยชื่อคนโทรเข้า ก่อนจะรีบกดรับสายจากเจ้าจันทร์ จากนั้นจึงกรอกเสียงเข้าไปโดยไม่ลืมเปิดเสียงสนทนาของคนปลายสาย ให้เพื่อนทั้งสองคนได้ยินไปพร้อมๆ กัน
“แกอยู่ไหนเจ้า...?”
โชกุนเอ่ยถามกลับไป เพราะได้ยินเสียงเพลงผสานกันกับเสียงดนตรี อีกทั้งยังมีเสียงของผู้คนมากมายดังเข้ามาในโทรศัพท์ ถึงไม่ถามกลับ พวกเขาก็พอจะเดาได้ว่าเจ้าจันทร์มันอยู่ที่...
(“ร้านเหล้า!...ฉันอยู่ร้านเหล้ากับเพื่อนใหม่ในห้องน่ะ”)
“ทำไมแกถึงไปอยู่ที่นั่นได้วะ?”
โชกุนถามเจ้าจันทร์ตามปากที่ขยับขึ้นลงของของคันศร ตอนมันพูดแล้วไม่มีเสียงออกมา นั่นเป็นเพราะไม่ต้องการให้เจ้าจันทร์ได้รู้ว่า มันเป็นห่วงหญิงสาวมากแค่ไหน...
ก็เพราะไอ้เจ้ามันเป็นคนคออ่อนไง...
เพียงแค่ได้กลิ่นเหล้า มันก็ซ้อมเมาไปก่อนแล้วละมั้ง...
แล้วยังจะมากระแดะกิน!...
เจ้าจันทร์กำลังทำให้คันศรหัวร้อนขึ้นมาได้ แต่ก็พยายามสะกดไว้ในใจ เพราะไม่ต้องการให้ใครเห็นอาการ
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่สามารถหลอกสายตาของเพื่อนสนิท ที่กำลังจ้องมองมาอย่างจับผิดนั่นไม่ได้
(“พอดีว่ารุ่นพี่ปีสี่เขาพามาพวกฉันมาเลี้ยงรับน้องน่ะ คงจะต้องกลับดึกนั่นแหละ แต่พวกแกไม่ต้องเป็นห่วงนะ พอดีมีรุ่นพี่เขาอาสาพาฉันมาส่งที่คอนโดให้แล้ว เพราะเป็นทางผ่านบ้านของเขาพอดี ที่ฉันโทรมาบอกแกเนี่ยก็เพราะเห็นว่า พวกแกโทรมาหาฉันหลายสาย แต่ที่ไม่รับก็เพราะฉันลืมโทรศัพท์ไว้ในรถของตั้ม คนที่พวกแกเห็นฉันไปกินข้าวด้วยกันเมื่อตอนกลางวันนั่นไง...”)
คนปลายสายกำลังอธิบายให้เพื่อนเข้าใจอย่างมีเหตุผล เพื่อให้ทุกคนได้ยินเสียงเธอโดยทั่วกัน เพราะรู้ว่าพวกมันน่ะเปิดโฟน พอคันศรได้ยินอย่างนั้น คิ้วเข้มของเจ้าตัวก็ขมวดเข้าหากันจนเป็นปม โดยที่อีกฝ่ายคงไม่มีวันได้เห็นมันแน่ๆ
โชกุนกับใต้ฝุ่นมองสบตากัน เมื่อเห็นว่าคันศรหันองศาหน้าไปอีกทาง พลางทิ้งลมหายใจออกไปหนักๆ ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรสักอย่าง
เจ้าจันทร์ยอมเปลี่ยนตัวเองเพราะกำลังมีความรัก อย่างที่บอกกับเขามาเมื่อเช้านั่น มันคือเรื่องจริงใช่มั๊ย?
แต่ถึงยังไงตอนนี้คันศรก็ยังไม่อยากจะเชื่อมันอยู่ดี...
ในเมื่อเขาอยู่กับมันแทบตลอดเวลาเลยก็ว่าได้ มันเอาเวลาที่ไหนไปมีแฟนได้วะ?
หรือว่ามันจะหาแฟนได้จากเพจที่รับแล้วจับคู่ให้...รึเปล่า?
ไม่น่าใช่...
เพราะเจ้าจันทร์ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลยนี่หว่า...
ในเมื่อเจ้าจันทร์คนที่คันศรเห็นมาเมื่อเช้านี้...
มันทั้งสวยและเซ็กซี่ จนน่าจับมาขยี้ทั้งตัว...
เชี่ย!นี่กูกำลังคิดอะไรอยู่วะ?...
ไอ้ศร...ไอ้บัดซบ!
คันศรรีบสลัดความคิดในหัวออกไป ตอนรู้ตัวว่ากำลังคิดไม่ดีกับเพื่อนซี้ ที่อยู่ด้วยกันมานานตั้งแต่เจ้าจันทร์ยังแก้ผ้าเล่นน้ำฝนด้วยกันที่บ้านต่างจังหวัด
จนกระทั่งวันหนึ่งที่หญิงสาวเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ นับจากวันนั้นคันศรก็ไม่เคยได้เห็นขาอ่อนของมันอีกเลย...
“อื้ม...แกดูแลตัว....”
“เจ้า!”
คันศรชิงเรียกชื่อคนปลายสาย โดยไม่รอให้โชกุนพูดจบประโยค
(“.......”)
แต่ทว่า...อีกฝ่ายกลับเงียบเสียงของตัวเองลงไปตอนได้ยิน
เมื่อคันศรไม่เห็นเจ้าจันทร์แทรกพูดอะไรขึ้นมา เขาจึงกรอกเสียงของตัวเองลงไปต่อจากนั้นเลยว่า
“แกอยู่ร้านไหน? ส่งโลเคชั่นมาแล้วฉันจะรีบไปรับ”
ยังไงศันศรก็ไม่ยอมปล่อยให้เจ้าจันทร์ กลับกับคนอื่นซึ่งมันไม่มีใครที่ควรจะไว้วางใจได้เลยทั้งนั้น
(“ฉันไม่ส่ง! แน่จริงแกก็หาฉันให้เจอดิวะ..”)
เจ้าจันทร์เว้นจังหวะนิดหน่อย แต่ก็ไม่ปล่อยให้คันศรได้พูดอะไรต่อจากนั้น
(“ก็แกเป็นคนบอกกับฉันเองนะ ว่าแกกับฉัน....เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน...เป็นงั้นก็ไม่ต้องมาสนใจ...ฉันโตแล้วทำอะไรก็ได้ป่ะ...จบนะ!”)
“ไอ้!....”
เจ้าจันทร์วางสายลงทันทีหลังจากที่พูดจบ โดยไม่สนใจฟังว่าคันศรต้องการจะพูดอะไรออกมาต่อจากนั้นบ้าง
หญิงสาวไม่ยอมรับรู้ด้วยว่า อีกฝ่ายจะหงุดหงิดใจหรือหัวเสียมากแค่ไหนตอนที่เธอได้วางสายลง
“ไอ้ศร...มึงใจเย็นๆ ก่อนอย่าเพิ่งหัวร้อน เดี๋ยวพวกกูจะโทรเช็คกับพวกๆ กันให้ ว่ามีใครเห็นไอ้เจ้ามันอยู่ในร้านเหล้าตรงไหนบ้าง”
ใต้ฝุ่นที่เอาแต่เงียบฟังอยู่นานพูดขึ้นมาบ้าง หลังจากที่เห็นสีหน้ารวมไปถึงอาการของคันศรที่ตอนนี้ไม่ได้ร้อนแค่หัว แต่มันร้อนไปทั้งตัวนั่นเลยต่างหากละ...
ดูจะเก็บทรงไม่อยู่แล้วละมั้ง
เพื่อนกูเนี่ย...
แล้วตอนนี้เจ้าจันทร์ก็กำลังพยายามหาทางออก และบอกกับตัวเองไว้ว่า หากคนเป็นพี่ชายไม่ยอมให้อภัยเธอสักที เธอคงต้องใช้วิธีขอร้องมารดาให้เป็นตัวช่วยสุดท้ายเลยก็แล้วกันเมื่อคิดได้อย่างนั้น เจ้าจันทร์จึงโทรไปหาคนเป็นมารดา เพื่อสารภาพผิดทุกอย่างที่เจ้าตัวได้กระทำลงไป จากนั้นจึงขอร้องให้นางจันทราช่วยเป็นกาวใจประสานความสัมพันธ์ ระหว่างเธอกับพี่ชายให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม เพิ่มอีกหน่อยตรงที่ขอให้ท่านช่วยบอกพี่ชายด้วยว่าไม่ต้องมารับ เพราะเจ้าจันทร์จะอยู่ที่นี่ เพื่อทำรายงานที่ค้างส่งให้กับอาจารย์ และจะกลับบ้านหลังจากนี้ไม่เกินสามวันนางจันทรารับปากลูกสาว แล้วบอกให้เจ้าจันทร์รอสายจากท่านอีกครั้งก่อนจะวางสายลง แล้วหลังจากนั้นไม่เกินครึ่งชั่วโมง นางจันทราก็โทรกลับมาบอกกับลูกสาวว่า หากพี่จอมทัพลดระดับความโกรธลงมาได้เมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นเจ้าจันทร์ก็ค่อยกลับไปกราบขอโทษพี่ชายอีกทีเป็นลูกรักของแม่นี่มันดีอย่างนี้นี่เอง...หลังจากที่ได้คุยโทรศัพท์กับมารดาจบลงไปแล้วนั่นแหละ เจ้าจันทร์ถึงได้พรูลมหายใจออกมาอย่างรู้สึกโล่งใจ และขอสัญญากับตัวเองไว้ว่า ต่อไปนี้จะไม่ทำตัวงี่เง่าและเอาแต่ใจ จนทำให้คนเป็นมารดาและพี
หลังจากจอมทัพเข้าห้องฝ่ายปกครองไปได้ไม่ถึงหนึ่งนาที ก็มีผู้ปกครองของข้าวปุ้นเดินสับเท้าตรงเข้ามาหากลุ่มของใต้ฝุ่นที่ยืนรอหญิงสาวอยู่หน้าห้อง ของฝ่ายปกครองพอดี ทุกคนจึงพากันยกมือไห้ว ในขณะที่อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับพร้อมกับมีคำถามตามมาว่า“ใครมันกล้ารังแกน้องสาวของเจ้ เจ้จะเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุด!...ไหนมันอยู่ไหนวะ!?”มาสไตล์นักเลงพอกันกับน้องชาย ราวกับถ่ายเอกสารกันมา...และแน่นอนว่าผู้หญิงคนนี้มีสถานะเป็นพี่สาวแท้ๆ ของใต้ฝุ่น และข้าวปุ้นก็ยังมีศักดิ์เป็นน้องสะใภ้ของเธอนั่นด้วย อีกทั้งยังช่วยลงชื่อเป็นผู้ปกครองแทนคนเป็นแม่แท้ๆ ที่ทิ้งลูกสาวของตัวเองทันที หลังจากที่ได้รับเงินจากทางบ้านของใต้ฝุ่นเป็นค่าตอบแทนก้อนใหญ่ โดยแลกกับการที่ไม่ต้องไปแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดกับลูกชายคนเล็กของบ้าน ที่ดันไปพรากผู้เยาว์ลูกสาวเขามานั่นแหละ “เจ้หยก!หนูอยู่นี่ค่ะ...”ใต้ฝุ่นยังไม่ทันได้ตอบคำถามคนเป็นพี่ ก็มีเสียงใสของข้าวปุ้นเอ่ยแทรกขึ้นมาอยู่หน้าประตูห้อง สายตาของทุกคู่จึงไปกองรวมกันอยู่ที่เดียวทั้งๆ ที่บนข้างแก้มของเจ้าตัวก็มีรอยแดงของนิ้วมือทั้งสองข้าง แต่เจ้าของร่างบางก็ยังมีรอยยิ้มสดใสให้กับทุกคนได้ด
คันศร...ไม่ได้เป็นห่วงว่าเจ้าจันทร์จะถูกพวกของกอหญ้ารุมทำร้าย เพราะเขารู้ว่ามันเอาตัวรอดได้อยู่แล้วด้วยทักษะการต่อสู้อย่างที่รู้กันดี แต่เรื่องนี้ดันไปถึงห้องของฝ่ายปกครองนั่นต่างหาก ที่น่าเป็นห่วงมันมากที่สุดส่วนใต้ฝุ่น...รู้สึกเป็นห่วงข้าวปุ้นมาก เพราะนอกจากมันจะตัวเล็กยังกะลูกแมว แล้วใจมันยังกล้าบ้าบิ่นพอกัน ไม่รู้ว่าป่านนี้คนทั้งคู่จะเป็นยังไงกันบ้าง?เหมือนโชกุนจะเดาทางได้ว่าเพื่อนสนิททั้งสองคนกำลังคิดอะไร เจ้าตัวจึงไม่รอช้ารีบล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาเปิดข่าวที่ว่านั่น ให้พวกมันดูไปพร้อมๆ กันทั้งคู่พร้อมใจกันเงียบเสียงของตัวเองเพื่อดูวีดีโอภาพ ที่ถูกพาดหัวขึ้นเป็นข่าวท็อปไลน์ในกลุ่มของมหาลัย โชกุนแค่รู้ว่าคนที่ถ่ายภาพนี้มาได้นั้น มันกำลังนั่งในรถที่จอดอยู่บริเวณใกล้ๆ กันกับจุดเกิดเหตุนั่นพอดี“สัดเอ้ย! ตบหน้าเมียกูตั้งสองที กูจะเอาเรื่องพวกมันให้ถึงที่สุด”ใต้ฝุ่นสบถด่าหยาบคายโดยไม่ละสายตาจากหน้าจอ ตอนที่เห็นกอหญ้ากล้าตบหน้ายายลูกแมวของเขา ที่เลี้ยงดูกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ จนกระทั่งข้าวปุ้นได้กลายเป็นสาวเต็มตัว อีกทั้งคนเป็นผัวอย่างใต้ฝุ่น ก็เคยทำให้มันเจ็บตัวแค่เพียงครั้งเดียว จา
ถึงจะบอกข้าวปุ้นออกไปอย่างนั้นแต่เจ้าจันทร์ก็เตรียมตั้งรับกับสถานการณ์ต่างๆ ราวกับคนที่ถูกสอนมาอย่างดี“จับมันไว้!”นั่นไง!...“...ไอ้ปุ้นระวัง!”“เฮ้ย!”เจ้าจันทร์ผลักข้าวปุ้นออกห่างพลางเบี่ยงตัวหลบไปอีกทางอย่างรู้จังหวะดี เมื่อมีนักศึกษาหญิงร่างใหญ่ทั้งสองนาง พุ่งตัวเข้ามาหาในเวลาอันรวดเร็ว แต่พวกมันก็ไม่สามารถคว้าจับร่างของเจ้าจันทร์เอาไว้ได้ ด้วยความไวที่เคยได้ฝึกมาจากคนเป็นพี่ชายที่ช่วยสอนให้มาตั้งแต่เธอยังจำความได้นั่นแหละแต่เมื่อเจ้าจันทร์หันไปมองรุ่นน้อง ก็เห็นว่ามันถูกคนของกอหญ้าจับยึดแขนเอาไว้ทั้งสองข้าง อย่างที่มันต้องการแค่สองคน ในตอนนั้นเข้าพอดีแต่มันก็ยังแสดงความมีน้ำใจ ด้วยการตะโกนบอกเจ้ของมันออกทันที“เจ้ไม่ต้องห่วงเค้า...รีบหนีไปเร็วๆ เข้า!”เจ้าจันทร์กรอกตามองบน ก่อนจะมองคนที่เหลืออยู่ แล้วเห็นว่าพวกนั้นต่างก็พากันยืนดูอยู่ห่างๆ ด้วยท่าทางกล้าๆ กลัว เจ้าจันทร์จึงค่อนข้างจะมั่นใจว่าคนพวกนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ“คุยดีๆ กันก่อนมั้ย?...กอหญ้า”เจ้าจันทร์เอ่ยถามเจ้าของใบหน้าสวยผุดผาดบาดใจแต่มีแววตาประสงค์ร้ายอยู่ในนั้นทั้งที่ไม่เคยรู้จักกัน เพียงแต่เจ้าจันทร์ไม่ต้อง
หลังเลิกคลาสเรียนในช่วงบ่ายข้าวปุ้นก็ได้โทรมาชวนเจ้าจันทร์ ให้ไปเป็นเพื่อนซื้อกีต้าร์ตัวใหม่ของตัวเองด้วยกัน เพราะใต้ฝุ่นดันติดทำรายงานกลุ่มส่งอาจารย์ ซึ่งก็คล้ายๆ กับคันศรนั่นแหละเจ้าจันทร์กับข้าวปุ้นเพิ่งจะเข้าเรียนมหาลัยปีหนึ่ง จึงพอจะมีเวลาว่างและมักจะชวนกันไปเดินห้างสรรพสินค้า หรือถ้ามีเวลาเหลือก็พากันไปดูหนัง อีกทั้งยังชอบไปฟังเพลงในงานคอนเสิร์ตของนักร้องที่ตนคลั่งไคล้ เพราะทั้งสองคนชอบดนตรีสไตล์เดียวกัน และก่อนจะกดวางสาย ข้าวปุ้นมันก็ได้ทิ้งระเบิดไว้ให้กับเจ้าจันทร์ลูกหนึ่ง(“เจ้เจ้า หนูมีข่าวใหม่ล่าสุดจะมาอัพเดทให้เจ้ฟังด้วยนะ”)“เรื่องไรวะ?”(“เจอกันแล้วเราค่อยเมาส์มอยกันดีกว่าค่ะ เดี๋ยวไม่มันส์...”) ภาษาไทยมันก็ดันเติมเอสมาได้นะ!“เออ...แกนี่มันขยันทิ้งระเบิดดีว่ะ”(“ระเบิดลูกเบ้งอ่ะ...เดี๋ยวจะเอามาฝากเพราะรักเจ้เท่านั้นค่ะ”)“???”ไอ้เด็กบ้านี่...แม่ง! โคตรปากเปราะ!...เพราะมันชอบบอกรักกันง่ายดายซะขนาดนี้ไง...ไอ้ฝุ่นมันถึงได้ไปไหนไม่รอด!เจ้าจันทร์กดสายทิ้ง ในขณะที่ยิ้มออกมาอย่างรู้สึกเอ็นดูมันราวกับน้องสาวแท้ๆ ที่สนิทสนมกันมานานตั้งแต่เจ้าจันทร์ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย
ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็ดันเข้ามาแทรกอี้ก...นี่มันเป็นวันห่าอะไรกันวะเฮ้ย!และนี่...มันก็คือวันโลกาวินาศของจริง!อย่าว่าแต่กอดเลย...จูบสักนิดก็ยังไม่เคย...แล้วไหงกอหญ้าถึงได้ตื้อกันไม่เลิกลายังงี้วะ?ที่คันศรมักจะคบหากับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า สาเหตุหลักมันก็มาจากเจ้าจันทร์เองนั่นแหละ แค่เขาอยากจะรู้ใจตัวเองว่านอกจากใบหน้าของเจ้าจันทร์แล้ว มันจะมีผู้หญิงคนไหนบ้างที่พอจะทำให้ชายหนุ่ม ลบภาพของเพื่อนรักออกไปจากหัวใจได้สักที แล้วท้ายที่สุดมันก็ไม่เคยทำได้เลยสักครั้งกระทั่งที่ผ่านๆ มาเวลาคันศรจะเลิกกับใครก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร จะมีก็แต่กอหญ้าที่กำลังทำตัวให้เป็นปัญหาเพียงคนเดียวเท่านั้น และคันศรก็ควรจะต้องสะสางมันอย่างจริงจังและได้แต่หวังว่าไอ้เจ้ามันคงจะเข้าใจ?รึเปล่าเหอะ!?“ใครโทรมา...แล้วทำไมแกถึงไม่กดรับสายวะ?”นั่นไงละ!คันศรสะดุ้งเฮือกใหญ่ เมื่อได้ยินเสียงของเจ้าจันทร์เอ่ยถาม พร้อมกับชะโงกหน้าตามเข้ามาดูหน้าจอ แล้วพอเห็นว่าเป็นชื่อกอหญ้าเท่านั้นละ...รู้มั้ยว่ามันอะไรเกิดขึ้น!?“สันดานผู้ชายยังไงก็คงจะเปลี่ยนกันไม่ได้จริงๆ ”เจ้าจันทร์ไม่โวยวายเลยสักหน่อย แต่ถอยห่างออกมาแล้วเอ่ยต่อจา