อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน หากทั้งคู่คบหากันตั้งแต่ตอนนี้ และถ้าวันข้างหน้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปเจอคนที่ใช่กว่า สุดท้ายคงไม่พ้นต้องเลิกรา และมองหน้ากันไม่ติดทั้งสองบ้านแน่นอน
“เชื่อแม่นะหนูพราว ถ้าหนูกับเขาเป็นเนื้อคู่กันจริง ๆ ยังไงก็ต้องได้อยู่ด้วยกันอีกแน่ แต่ถ้าไม่ใช่ ต่อให้เราดึงดันยังไงมันก็ไม่ใช่อยู่วันยังค่ำ ตอนนี้แม่อยากให้หนูใช้ชีวิตวัยรุ่นให้เต็มที่มากกว่า”
พราวนภายิ้มพลางลุกขึ้นนั่งแล้วกอดจันทร์เจ้าอย่างออดอ้อน
“ค่ะคุณแม่ หนูพราวเชื่อคุณแม่ค่ะ”
แต่แล้วหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มแหยให้ “แต่หนูพราวขอร้องคุณแม่อย่างหนึ่งนะคะ อย่าบอกเรื่องที่หนูชอบพี่ดินให้คุณพ่อกับแม่มะลิรู้เชียวนะ คุณแม่มะลิน่ะไม่เท่าไรหรอกค่ะ แต่คุณพ่อนี่สิถ้ารู้ละก็ระเบิดลงแน่”
จันทร์เจ้าหัวเราะเบา ๆ พลางพยักหน้ารับปาก ทั้งที่ตนอยากบอกเหลือเกินว่าทุกคนน่าจะรู้กันหมดแล้ว รวมทั้งภาวิน คุณพ่อจอมหวงนั่นก็ด้วย
สองวันถัดมา นฤบดินทร์เดินออกจากห้องน้ำโดยนุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเปิดตู้เสื้อผ้านั้น เขาก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กจากข้างล่างจึงเดินไปเปิดประตูห้องแล้วเงี่ยหูฟัง มีเสียงน้ำไหลจากก๊อก และเสียงจานชามกระทบกันเบา ๆ ราวกับมีใครบางคนกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ในครัว
มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มบาง ๆ พร้อมกับสองเท้าที่ก้าวเดินเร็ว ๆ ลงบันไดไปชั้นล่างแล้วตรงดิ่งไปทางห้องครัวทันที
ทว่าเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ครัวแล้ว ใบหน้าที่เกือบมีรอยยิ้มของเขาก็กลับมาเรียบเฉยดังเดิม
“อ้าว พี่มะลิเองหรือ มาทำไร”
“ถามได้ว่ามาทำอะไร อิฉันก็มาทำความสะอาดให้น่ะสิคะคุณชาย แล้วก็เอากับข้าวมาเสิร์ฟให้ด้วยเจ้าค่ะ” มัลลิกาค้อนให้น้องชาย ผู้ซึ่งไม่เคยแตะต้องงานบ้านงานครัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ไม่เห็นต้องทำเลย เย็นนี้แม่บ้านก็จะเข้ามาทำอยู่แล้วนี่” ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบพลางเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำดื่ม ขณะที่ผู้เป็นพี่สาวนั้นมองน้องชายที่นุ่งเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวด้วยความแปลกใจ
“แล้วนี่แกจะรีบลงมาทำไมนักหนาเสื้อผ้าก็ไม่ใส่ อ๋อ...รู้แล้ว สงสัยคิดว่าพี่เป็นหนูพราวล่ะสิถึงได้รีบขนาดนั้น”
นฤบดินทร์เหลือบมองพี่สาวแต่ไม่พูดอะไร ทำทีเป็นเปิดฝาชีเพื่อดูกับข้าวที่อีกฝ่ายเอามาฝาก ขณะที่มัลลิกาได้แต่ยิ้มที่พูดแทงใจดำน้องชายได้ ทว่าเธอก็ต้องเอ่ยปากเตือนชายหนุ่มบ้าง
“เฮ้อ...ไอ้ดินนะไอ้ดิน นี่ดีนะที่เป็นพี่มายืนอยู่ตรงนี้น่ะ ถ้าเป็นหนูพราวมาจริง ๆ แล้วแกวิ่งลงมาทั้งผ้าขนหนูแบบนี้ละก็คงดูไม่จืด หนูพราวเป็นสาวแล้วนะ และใครเขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าแกกับหนูพราวไม่ได้เป็นญาติสายเลือดเดียวกัน ถ้าคนอื่นมาเห็นเข้า เขาคงได้เอาไปพูดกันสนุกปากแน่ว่าลูกสาวบ้านโน้นกับลูกชายบ้านนี้มาแอบทำอะไรกันลับ ๆ ล่อ ๆ”
นฤบดินทร์ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ “รู้แล้วน่ะ ย้ำอยู่นั่นแหละ”
มัลลิกายักไหล่ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งแล้วพูดต่อ “ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไรหรอก เพราะอย่างที่บอกนั่นแหละว่าแกกับหนูพราวไม่ใช่น้าหลานกันจริง ๆ แต่มันจะโอเคกว่านี้มากถ้าหนูพราวสลัดชุดนักเรียนม.ปลายออกแล้ว อีกแค่ปีเดียวเองแกก็ทนเอาหน่อยเถอะ พี่รู้ว่าแกเข้าใจที่พี่พูดใช่ไหมไอ้ดิน”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้คิดอะไรกับ...” เขายังพูดไม่จบ มัลลิกาก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“แกอย่ามาปฏิเสธฉัน ฉันเป็นพี่สาวแกมากี่ปีทำไมฉันจะเดาใจแกไม่ออก”
“เดาผิดแล้ว”
“ไอ้คนปากแข็ง!” มัลลิกาชี้หน้าน้องชายอย่างคาดโทษ แต่ก็ไม่คิดคาดคั้นให้อีกฝ่ายยอมรับหัวใจตัวเองเพราะรู้จักนิสัยของนฤบดินทร์ดีว่าถ้าเขาไม่ต้องการพูด ต่อให้เอามีดมาจ่อคอเขาก็จะไม่ปริปากพูดอย่างเด็ดขาด
ชายหนุ่มเดินหนีขึ้นห้องของตัวเองเพื่อใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย โดยมีสายตาของพี่สาวมองตามหลังพลางส่ายหน้าช้า ๆ อย่างคิดไม่ตก
ก่อนหน้านี้เธอไม่รู้ว่านฤบดินทร์คิดกับพราวนภาอย่างไรกันแน่เพราะชายหนุ่มแทบจะไม่แสดงท่าทีอะไรเลย ทว่าตั้งแต่พราวนภารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะไปเรียนต่อต่างประเทศ นฤบดินทร์ก็ดูเหมือนจะแคร์ความรู้สึกของหลานนอกไส้คนนี้ไม่น้อย แม้เขาจะไม่เคยพูดอะไรที่เป็นการบอกความรู้สึกของตน แต่สายตาและการกระทำนั้นเริ่มจะปิดไม่มิดเสียแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าภาวิน บิดาของพราวนภาย่อมต้องมองออกแน่นอน ถึงได้พยายามกันไม่ให้ชายหนุ่มอยู่ตามลำพังกับบุตรสาวสุดที่รักของตัวเองนัก
“ไอ้ดินเอ๊ย ถ้าว่าที่พ่อตาของแกเป็นพี่วินจริง ๆ ละก็ แกเตรียมลับสมองเอาไว้ประลองปัญญากับเขาได้เลย”
พูดถึงตรงนี้มัลลิกาก็อดขำไม่ได้ เนื่องจากวันก่อนที่พราวนภาขอให้บิดาขับรถไปส่งที่บ้านของจันทร์เจ้านั้น ภาวินรีบตอบรับทันทีพร้อมกับบอกบุตรสาวอีกด้วยว่าไปค้างนาน ๆ ได้เลย กลับมาตอนเปิดเทอมได้ยิ่งดี เพราะนฤบดินทร์จะเดินทางเดือนหน้านี้แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่ยังปิดเทอมอยู่ สามีของเธอกะจะไม่ให้พราวนภาได้เจอกับนฤบดินทร์อีกเลยกระมัง
แต่จะว่าไปแล้ว การที่ภาวินทำแบบนี้ก็มีข้อดีเช่นกัน เพราะไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่าในอีกสามปีข้างหน้า ความรู้สึกของหนุ่มสาวคู่นี้จะยังคงเดิมกันอยู่หรือไม่ เวลานี้ต่างอายุน้อยด้วยกันทั้งคู่ ควรห่างกันสักพักเพื่อไปทบทวนความรู้สึกของตัวเองแล้วค่อยกลับมาเจอกันก็ยังไม่สาย เมื่อถึงเวลานั้นหากทั้งสองยังมั่นคงต่อกัน ต่อให้มีกี่สิบภาวินก็ไม่สามารถกีดกันคนทั้งคู่ได้อีกแล้ว
นฤบดินทร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันทีเมื่อถึงห้อง ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดเมื่อไม่เห็นข้อความที่เคยได้รับทุกวันจากสาวน้อยข้างบ้าน จะว่าไปแล้วตลอดสามวันที่ผ่านมาตั้งแต่พราวนภาไปนอนบ้านมารดา เธอก็ไม่เคยส่งข้อความ หรือโทรศัพท์มาหาเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“โกรธอะไรรึเปล่าวะ” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พลางนึกทบทวนว่าก่อนหน้านี้ตนเผลอพูดจาไม่ดี หรือทำอะไรให้พราวนภาไม่พอใจหรือเปล่า ทว่านึกเท่าไรก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
และด้วยความอึดอัดที่เกาะกินใจ สุดท้ายนฤบดินทร์จึงเป็นฝ่ายส่งข้อความไปหาเธอเสียเอง
Din : กลับวันไหน
หลังจากกดส่งข้อความไปแล้วเขาก็วางโทรศัพท์เอาไว้แล้วเดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้มาใส่ เสร็จเรียบร้อยก็เดินกลับมาที่หน้าจอว่าหญิงสาวตอบกลับมาหรือยัง แต่แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจเพราะข้อความที่เขาส่งไปนั้น พราวนภาอ่านมันแล้วแต่ไม่ยอมตอบกลับมา
ขณะเดียวกัน พราวนภาก็มองโทรศัพท์ของตัวเองด้วยรอยยิ้มเต็มวงหน้า แต่เพราะเวลานี้เธอกำลังติดสายคุยกับเพื่อนสนิทอยู่ และหัวข้อสนทนาก็ไม่พ้นเรื่องของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของข้อความที่ส่งมานั่นเอง
“แพม! พี่ดินส่งข้อความมาเว้ย กรี๊ด! ดีใจ วิธีของแกได้ผลจริงด้วย” พราวนภาพูดด้วยความปลาบปลื้ม ขณะที่ปลายสายก็หัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า
ทั้งสองหนุ่มคุยกันอีกเพียงไม่กี่ประโยคก็พากันแยกย้าย และไม่มีใครแตะเรื่องที่อัครัฐเคยลักพาตัวพราวนภาไปที่บ้านเพราะไม่ต้องการขุดเอาเรื่องเก่ามาพูดให้ขัดเคืองใจนฤบดินทร์ดูเวลาแล้วเห็นว่าเพิ่งบ่ายสี่โมงเท่านั้น เขาจึงตัดสินใจว่าคืนนี้จะกลับบ้าน คิดได้ดังนั้นจึงรีบกลับไปโรงแรมเพื่อเก็บข้าวของทุกอย่างลงกระเป๋าไว้ตามเดิม กระเป๋าเหลือพื้นที่ว่างอีกเพียบเพราะของฝากหลายรายการได้ถูกนำออกไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงจัดใหม่ให้เหลือเพียงสองกระเป๋าเพื่อให้ง่ายต่อการขนย้ายหลังจากเช็กเอาต์ ชายหนุ่มก็ขับรถไปคืนเพื่อนที่ร้านอาหาร จากนั้นก็นั่งแท็กซี่กลับมาบ้านด้วยตนเองโดยมาถึงบ้านในเวลาประมาณสองทุ่มนฤบดินทร์กดออดหน้าบ้านแล้วยืนรอให้คนในบ้านมาเปิดด้วยใบหน้าเรียบนิ่งหากแต่แววตานั้นระยิบระยับไปด้วยความตื่นเต้นเพราะอยากเห็นสีหน้าบิดามารดาว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อเห็นหน้าเขาคนมาเปิดประตูเป็นบิดาของเขาตามคาด ท่านเขม้นมองเขาจนหัวคิ้วขมวดมุ่นจนเขาต้องแกล้งพูดออกไปว่า“อะไรกันครับพ่อ อายุยังไม่เข้าเลขเจ็ดเลย หูตาฝ้าฟางแล้วหรือครับ”“ไอ้ดิน! นี่แกมาโผล่อยู่ที
ในเมื่อเขาจะมาขอลูกสาวบ้านนี้เขาก็ต้องเรียกอีกฝ่ายว่าน้ากับยายตามพราวนภา ไม่ได้เรียกพี่กับป้าเหมือนเมื่อก่อน ครั้นจะเรียกจันทร์เจ้าว่าคุณแม่ตามแฟนสาวก็ยังเกรงใจอีกฝ่ายมากอยู่จันทร์เจ้ายิ้มกว้างก่อนจะหันไปพูดกับมารดา “ว่าไงคะคุณแม่ มีหนุ่มมาขอหนูพราวแล้วนะ”“แม่จะว่าอะไรล่ะ ก็สองคนนี้เขารักกันมาตั้งนานแล้วนี่นา ใคร ๆ เขาก็ดูออกกันทั้งนั้นแหละ แหม...” ได้ยินอย่างนั้นนฤบดินทร์จึงได้แต่ยิ้มเขิน“ส่วนน้าน่ะไม่ขัดข้องหรอก น้าเห็นดินมาตั้งแต่เด็ก ดินดูแลน้องยังไงบ้างน้าก็เห็นอยู่ในสายตาทั้งหมด เพราะฉะนั้นน้าเชื่อว่าในอนาคตข้างหน้าดินก็จะดูแลน้องได้ดีแน่นอน บอกตามตรงว่าถ้าเป็นดิน น้าก็หมดห่วงเรื่องหนูพราวแล้วนะ” ทั้งน้าและยายยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นเขายกมือไหว้ขอบคุณอย่างอ่อนน้อม“ลุกนั่งข้างบนเถอะดิน ว่าแต่พ่อเขาน่ะรู้รึยัง” จันทร์เจ้าถามถึงภาวิน“ยังครับ ผมยังไม่ได้เข้าบ้านก็เลยยังไม่มีใครรู้ว่าผมกลับมาแล้ว เพราะตามจริงกำหนดกลับของผมจะต้องเป็นอีกหกเดือนข้างหน้า”“นั่นสิ
พราวนภาหอบหายใจถี่จนอกกระเพื่อมไหว นฤบดินทร์เลื่อนตัวขึ้นมานอนด้านข้าง ดึงผ้าห่มมาคลุมไว้ด้วยกันแล้วกอดเธอไว้แนบอกหญิงสาวสังเกตเห็นกล่องถุงยางอนามัยที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงแล้วรู้สึกแปลก ๆ จู่ ๆ ก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นอย่างที่คิดแต่กลับกลัวมากกว่า ใบหน้าของบิดาลอยเข้ามาในห้วงความคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดจนในใจปวดหนึบ“พี่ดิน” เธอเปลี่ยนใจแล้ว ขอเลื่อนของขวัญออกไปก่อนดีกว่าเพราะตอนนี้รู้สึกไม่สบายใจ“ครับ” น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาที่ขานรับก็ทำให้เธอรู้สึกผิดอีกเช่นกัน อุตส่าห์รับปากเขาไว้เองแท้ ๆ แต่ทำไม่ได้ กลายเป็นว่าเธอผิดคำพูดทั้งกับบิดาของตัวเองและคนรัก“วันนี้พราวขอเลื่อนไปก่อนได้ไหม พราวขอโทษ” เธอไม่กล้าเงยหน้ามองเขา แต่ถ้าทำตามคำพูดของตนที่ให้ไว้ เธอก็จะไม่กล้ามองหน้าบิดาเช่นกันนฤบดินทร์เชยคางของเธอให้รับจูบจากเขาครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า“จะขอโทษทำไม พี่เข้าใจพราว พี่เคยบอกแล้วไงครับว่าทุกอย่างแล้วแต่พราว ถ้าพราวไม่พร้อมพี่ก็รอได้ไม่ซีเรียส พี่ไม่ได้รักพราวเพราะเรื่องอย่างว่าสักหน่อย”
“พี่ดิน นี่มันโรงแรมหรูกลางกรุงเลยนะ มันไม่ได้มีแค่ห้องพักอย่างเดียว แต่มีบุฟเฟ่ต์นานาชาติหัวละพันห้า บุฟเฟ่ต์เบเกอรี่หัวละห้าร้อย มีสปาที่ค่าเมมเบอร์แพ้งแพง และมีห้องจัดเลี้ยงนั่นนี่เยอะแยะไปหมด และที่พราวพูดไปทั้งหมดนั้น พราวมาใช้บริการหมดแล้วในชุดนักศึกษานี่แหละ เพราะฉะนั้นถ้าพราวจะขึ้นไปห้องพักกับพี่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกจนคนอื่นต้องหันมามองหรอก”นฤบดินทร์คิดตามที่พราวนภาพูดแล้วก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย...เธอพูดถูก เป็นเขาที่กังวลไปเองเมื่อขึ้นมาถึงห้องพัก พราวนภาก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ถึงสามใบ เขาจึงบอกไปว่า“แค่ของฝากก็ใบหนึ่งเต็ม ๆ แล้ว อีกสองใบเป็นเสื้อผ้ากับรองเท้าที่พี่ซื้อใหม่ตอนอยู่ที่โน่น” เขาพูดจบก็เดินไปสวมกอดเธอจากทางด้านหลังแล้วก้มลงจูบซอกคอหอมกรุ่นของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา“คิดถึง” เขาซุกหน้าอยู่กับลาดไหล่ของเธอนิ่ง รู้สึกเหมือนว่าความวูบโหวงในใจได้รับการเติมเต็มแล้วนฤบดินทร์นึกได้ว่าตั้งแต่กลับมาถึงเขายังไม่ได้อาบน้ำชำระร่างกายเลย หากจะนัวเนียกับหญิงสาวก็เกรงว่าจะมีกลิ่นไม่พึ
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ ไม่ดีใจหรือที่พี่มาหา” ชายหนุ่มเอาคำพูดที่เธอเคยพูดกับเขาตอนอยู่สนามบินเมื่อครั้งไปหาเขาที่บอสตันมาพูดบ้าง ทำเอาเธอเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงของเขาชัดเจน“พี่ดิน! ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” พราวนภาทั้งตกใจและแทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง ก่อนจะถูกความดีใจเข้ามาแทนที่จนอัดแน่นเต็มอก“ใช้ประตูสารพัดที่ของโดราเอมอนน่ะเลยมาโผล่ที่นี่ได้” เขาตอบหน้าตาย แต่เพื่อนทั้งสองคนของพราวนภาแอบหัวเราะกันคิกคัก หญิงสาวจึงตีแขนเขาเบา ๆ หนึ่งทีก่อนจะแนะนำเพื่อนสนิทของตนให้นฤบดินทร์รู้จัก“พี่ดิน นี่เก้ากับหลิงหลิง ที่พราวเคยเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ไง”นฤบดินทร์ยิ้มและผงกศีรษะให้เล็กน้อยอย่างเป็นมิตร ก่อนจะถามแฟนสาวของตน “จะไปไหนกันหรือ”“พราวว่าจะไปเดินเล่นหาอะไรกินที่ห้างกับเพื่อนน่ะ”“เราไปกับหลิงหลิงสองคนก็ได้ พราวไปกับพี่เขาเถอะ” กาญจน์เกล้ารีบพูดขึ้นทันทีเพราะอยากให้ทั้งสองคนใช้เวลาอยู่ด้วยกันนาน ๆ อีกทั้งเพิ่งได้ยินพราวนภาบ่นไปหมาด ๆ ว่าคิดถึงแฟน
หลังจากสองหนุ่มขึ้นมานั่งบนรถกันเรียบร้อยแล้ว ศิวัฒน์ซึ่งทำหน้าที่ขับก็ถามขึ้น “แล้วนี่นึกยังไงถึงจะไปอยู่โรงแรมก่อนวะ บ้านช่องมีก็ไม่กลับ”นฤบดินทร์ยิ้มบาง ๆ เมื่อใบหน้าของพราวนภาลอยเข้ามาในหัว แต่เขาไม่อาจบอกเรื่องนี้กับเพื่อนได้ จึงได้แต่บอกเหตุผลอื่นไป“อยากจัดการเรื่องงานอะไรให้เรียบร้อยก่อนน่ะแล้วค่อยเข้าบ้านทีเดียว พรุ่งนี้นัดที่บริษัทไว้แล้วด้วยไงว่าจะเอาเอกสารไปยื่นให้เขา” เพราะเขาอยากจะเซอร์ไพรส์บิดามารดาเรื่องงานด้วย ก็เลยยังไม่เข้าบ้านวันนี้“มึงนี่ก็โชคดีว่ะ ไม่ต้องวิ่งหางานให้เหนื่อย เออใช่ กูลืมเล่าไป มึงจำไอ้เวย์ได้ใช่ไหมที่มันค้ายาน่ะ” ศิวัฒน์มองหน้าเขาก่อนจะหันไปมองถนนตามเดิม“อืม ทำไม”“มันโดนขาใหญ่สั่งเก็บไปตั้งแต่สองเดือนที่แล้วน่ะ เห็นพี่โตบอกว่ามันคงทำตัวเอิกเกริกเกินไป อย่างคราวยายเกรซก็ทีหนึ่งแล้วที่มันทำให้เรื่องราวบานปลายจนคนวงในเขารู้กันไปทั่วว่ามันค้ายา”“อ้อ พวกขาใหญ่ก็เลยกลัวว่าจะโดนลากไปเอี่ยวด้วยก็เลยฆ่าตัดตอนงั้นสิ” คราว