“เจินเอ๋อร์คารวะท่านตาเจ้าค่ะ”
“หลงเอ๋อร์คารวะท่านตาขอรับ” เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบและเด็กชายวัยสี่ขวบคำนับท่านตาของตนทันที “ตามสบายลูก มาๆ มานั่งข้างๆ ตาทั้งสองคน” เสียงทุ้มฟังแล้วอบอุ่นดังออกมาจากปากของชายวัยกลางคน ฉินเซี่ยหรูมองบิดาด้วยหัวใจที่เจ็บปวด แม้จะผ่านไปห้าวันกับการจากไปของนาง แต่ก็ยังมิมีผู้ใดหลุดพ้นจากความทุกข์ในครานี้ไปได้ โดยเฉพาะมารดาที่ไปถือศีลที่สำนักเขาสวีชุนตั้งแต่ที่นางจากไป นางมิได้โทษพวกท่านที่ให้นางออกเรือนไป แต่นางโทษตนเองที่เลือกที่จะมิปฏิเสธที่จะออกเรือนไปกับบุรุษผู้นั้น บุรุษที่ไร้ใจให้แก่นาง มือบางเอื้อมไปกุมมือน้องชายเดินเข้าไปหาท่านตา ก่อนที่ใต้เท้าฉินจะให้บ่าวรับใช้นำขนมมาให้หลานๆ ของตนได้กินกัน พร้อมกับน้ำชาที่หอมกลิ่นดอกไม้ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ฉินเซี่ยหรูรู้สึกคุ้นเคย เพราะมันคือน้ำชาที่นางเป็นคนทำขึ้นมาให้แก่บิดามารดาได้ดื่ม ใต้เท้าโจวและโจวฮูหยินนั่งมองบิดานั่งคุยกับหลานทั้งสองแล้วยิ้มออกมา อย่างน้อยเด็กทั้งสองก็พอจะทำให้ท่านพ่อได้คลายเหงา หลังจากพาเด็กๆ แวะเยี่ยมเยือนท่านตาที่สกุลฉิน สองสามีภรรยาก็พาบุตรทั้งสองแวะซื้อของที่ตลาด แต่แล้วก็ต้องได้พบกับบุคคลที่มิควรพบเจอ หวงจิงอวี่มาเดินตลาดพร้อมกับภรรยารองและบุตรีคนโตของเขา นางอายุอ่อนกว่าโจวเจินเจินเพียงสองปี เพราะหลังจากที่เขาแต่งฉินเซี่ยหรูไปเป็นภรรยาเอกเพียงหนึ่งปี เขาก็แต่งภรรยารองเข้ามาและสตรีผู้นี้ก็ตั้งครรภ์หลังจากอยู่กินกับเขาได้หนึ่งปี ในขณะที่ฉินเซี่ยหรูเขาไม่เคยแม้แต่จะแตะต้องร่างกายของนาง “ท่านพี่…นั่นอดีตน้องสะใภ้ของท่านมิใช่หรือเจ้าคะ” ภรรยารองที่บัดนี้กลายมาเป็นภรรยาเอกของหวงจิงอวี่เอ่ยถามเขาออกมา “อืม… เจ้าอย่าไปสนใจพวกนั้นเลย ตั้งแต่พี่สาวของนางจากไป ตระกูลหวงกับตระกูลฉินก็ได้ตัดขาดกันแล้ว ชาตินี้ก็คงจะมิมีวันญาติดีกันได้อีก” หวงจิงอวี่เอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนที่จะพาภรรยาและบุตรีเดินเลี่ยงไปทางอื่น เขาไม่ได้ใส่ใจที่จะเกี่ยวดองกับสกุลฉินมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้ามิใช่มารดาขอเอาไว้ เขาคงจะมิแต่งฉินเซี่ยหรูมาเป็นภรรยาเอก สตรีเช่นนางมิสมควรได้รับความรักความเมตตาจากเขา เป็นเพราะนางทำให้คนที่เขารักเหมือนน้องชายต้องตาย นางก็สมควรแล้วที่จะต้องตายตกไปตามกัน เจ็ดปีที่เขาทรมานนางมันยังน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ นัยน์ตากลมของโจวเจินเจินมองไปที่สามีในอดีตชาติด้วยสายตาที่ว่างเปล่า นางมิได้รักเขาอีกแล้ว นางมิได้อาวรณ์เขาอีกแล้ว นางหลุดพ้นจากเขาด้วยความตาย ชาติภพนี้เขาและนางคือคนแปลกหน้าต่อกัน ถือว่ามิได้มีอันใดเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป ใบหน้าเล็กเบือนหนีมองไปทางอื่น เขา… มีความสุขบนความทุกข์ของนางมาตลอดหลายปี บัดนี้เขามีความสุขแล้ว นางก็ต้องใช้ชีวิตให้มีความสุขเช่นกัน “เจินเอ๋อร์… เจ้าอยากกินถังหูลู่หรือไม่ เมื่อก่อนเป็นเพราะเจ้าป่วย แม่เลยไม่ยอมให้เจ้ากิน ยามนี้เจ้าแข็งแรงขึ้นมากแล้วแม่อนุญาตจ้ะ” ฉินเซี่ยหรงเอ่ยถามบุตรสาวคนโตทันทีที่ละสายตาจากอดีตพี่เขย ฉินเซี่ยหรูในร่างโจวเจินเจินดึงสติให้กลับมาพลางพยักหน้า หลานสาวของนางคงจะอยากกินถังหูลู่มาก เสียดายที่คนจะได้กินถังหูลู่ในยามนี้มิใช่เจินเอ๋อร์ หลานสาวที่น่าสงสารของนาง กลับเป็นนางที่ได้มากินแทน “พ่อค้า…เอาถังหูลู่สามไม้จ้ะ” เสียงหวานของโจวฮูหยินเอ่ยออกมา พ่อค้าหยิบให้อย่างไม่รีรอเขาส่งให้แก่คุณหนูและคุณชายคนละไม้ ส่วนอีกไม้ก็ส่งให้แก่โจวฮูหยิน นางรับมาก่อนที่จะหยิบเงินในถุงเงินส่งให้แก่พ่อค้า จากนั้นนางจึงส่งถังหูลู่ไม้ที่นางถือไปให้แก่อี้ถง เด็กรับใช้คนสนิทของบุตรีของนาง อี้ถงคำนับขอบคุณนายหญิงใหญ่ก่อนที่จะรับถังหูลู่มาแล้วกัดเข้าปาก ฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจินมองเด็กรับใช้คนสนิทของหลานสาว ก่อนที่จะมองไปยังน้องสาวของนางแล้วจึงยิ้มออกมา อย่างน้อยน้องสาวของนางก็เป็นสตรีที่มีจิตใจดี มีเมตตา พอละสายตาจากน้องสาวนางจึงหันไปมองหลานชายวัยสี่ขวบที่กำลังลิ้มลองรสชาติของถังหูลู่อย่างเอร็ดอร่อยเช่นเดียวกัน หลังจากพาเด็กๆ เดินชมตลอดพร้อมกับรับประทานอาหารที่โรงเตี๊ยมอวิ๋นไหล ใต้เท้าโจวและโจวฮูหยินจึงพาบุตรทั้งสองกลับจวนสกุลโจว ซึ่งกว่าที่ทุกคนจะถึงจวนก็เป็นยามโหย่วแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับเรือนไป อี้ถงรีบไปเตรียมน้ำให้คุณหนูใหญ่ได้อาบ ก่อนที่นางจะไปเตรียมที่นอนเพื่อให้คุณหนูได้พักผ่อนหลังจากออกไปข้างนอกกับนายท่านและนายหญิงใหญ่มาทั้งวัน “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ… อย่าแช่น้ำนานนะเจ้าคะเดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้ อากาศเริ่มหนาวแล้วด้วยนะเจ้าคะ” อี้ถงร้องเตือนคุณหนูใหญ่ออกมาด้วยน้ำเสียงห่วงใย เพราะคุณหนูของนางเพิ่งจะหายป่วย หากแช่น้ำนานๆ ก็อาจจะทำให้ร่างกายอ่อนแอลงอีกก็เป็นได้ ร่างเล็กนอนแช่น้ำหลับตาพริ้ม จิตใต้สำนึกของนางกำลังพานางวกกลับไปในอดีต ตอนที่นางยังม่ีชีวิตอยู่เป็นฉินเซี่ยหรู คุณหนูใหญ่แห่งสกุลฉิน สตรีที่เคยเป็นที่หมายปองของเหล่าบุรุษเมืองฮวาหลาน หากยามนั้นนางมิรับปากที่จะออกเรือนไปกับเขา ชีวิตของนางจะมีจุดจบเช่นไรกันนะ จะเป็นเช่นยามนี้ไหม หลานสาวของนางจะต้องจากไปหรือไม่ เรื่องนี้นางเองก็ยังหาคำตอบมิได้ แม้เรื่องนี้มันจะเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติที่ผู้ใดก็มิอาจจะเชื่อ แต่มันก็เกิดขึ้นกับนางแล้ว… ชีวิตนางหลังจากนี้ก็ต้องเดินหน้าต่อไปบนเส้นทางเดินใหม่ เพื่อมิให้ซ้ำรอยเดิม“ท่านป้า… ท่านป้าเจ้าคะ”เสียงหวานเล็กที่ล่องลอยมาตามหมอกควันนั้นช่างแผ่วเบาจนโจวเจินเจินแทบจะไม่ได้ยิน นางค่อยๆ เยื้องย่างฝ่ากลุ่มหมอกควันที่ขาวโพลนมองแทบจะไม่เห็นสิ่งใด แต่แล้วภาพที่นางได้มองเห็นเบื้องหน้ากลับทำให้นางต้องตาเบิกโพลงด้วยความตระหนกตกใจ“จะ…เจินเอ๋อร์….”เสียงหวานขานนามของเด็กหญิงตรงหน้าออกมา รอยยิ้มจากใบหน้าเล็กนั้นทำให้นางร่ำไห้ด้วยความคะนึงหาผู้เป็นหลานสาว เจ้าของร่างที่แท้จริงที่นางได้มามีชีวิตใหม่“หลานยินดียิ่งนักที่ท่านป้าได้พบกับความรักที่แท้จริงแล้ว” เสียงเล็กดังแผ่วมาจากเด็กหญิงตรงหน้า“ใช่แล้วหลานรัก ป้าได้พบกับความรักที่ป้าไม่เคยได้รับมาในชีวิตก่อน มันช่างเป็นสิ่งที่งดงามยิ่งนัก”“ที่ท่านได้กลับมา… ก็เพื่อการนี้แหละเจ้าค่ะ ท่านป้า… ท่านเหมาะสมคู่ควรที่จะได้รับความรักจากทุกคน หลานขอให้ท่านป้าใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของร่างนี้ให้มีความสุขนะเจ้าคะ”ฉินเซี่ยหรูที่เป็นโจวเจินเจินในร่างผู้ใหญ่พยักหน้าทั้งน้ำตา ที่แท้สวรรค์ให้โอกาสนางได้กล
หนึ่งปีต่อมาเสียงหัวเราะของเด็กน้อยวัยกำลังหัดเดินดังมาจากสวนดอกไม้ที่อยู่ภายในจวนสกุลเจียง นัยน์ตากลมจ้องมองไปยังบุตรชายตัวน้อยด้วยความห่วงใย ร่างเล็กกำลังเดินเตาะแตะตามซิ่วจิ่นไปรอบๆ สวนดอกไม้ที่กำลังผลิดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ แสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องลงมานั้นไม่ได้ทำให้อากาศร้อนมากนัก แต่ทว่ากลับเย็นสบายไปด้วยลมหนาวที่พัดผ่านมา“ดื่มน้ำชาก่อนเถิดเจ้าค่ะนายหญิง” อี้ถงรินน้ำชาใส่ถ้วยชาให้แก่โจวเจินเจิน ควันของชาลอยกรุ่นปะทะกับอากาศ เหมันตฤดูปีนี้ไม่หนาวเท่าใดนัก“ข้าไม่เคยนึกถึงภาพเช่นนี้มาก่อนเลยอี้ถง” จู่ๆ โจวเจินเจินก็กล่าวออกมา อี้ถงยิ้มเพียงเล็กน้อย“แล้วคุณหนูใหญ่ของบ่าวมีความสุขใช่หรือไม่เจ้าคะ” โจวเจินเจินหันไปมองหน้าสาวรับใช้คนสนิทพลางพยักหน้า“เพียงแค่นี้ก็ไม่มีอันใดให้นึกเสียดายแล้วล่ะเจ้าค่ะ”คนฟังยิ้มออกมาในขณะที่สายตาก็ยังคงจับจ้องมองไปที่ร่างเล็กที่ส่งเสียงหัวเราะเอิ้กอ้าก จากเดินเพียงช้าๆ ตามหลังของพี่เลี้ยง คุณชายน้องเจียงจางหย่งกลับเร่งความไวขึ้นแซงหน้าซิ่วจิ่นไป โจวเ
“น้องยินดีด้วยนะเจ้าคะท่านพี่ใหญ่ ในที่สุดพี่สะใภ้ก็ไม่เหม็นหน้าท่านแล้วคิกๆๆๆ”เจียงมู่หลานที่ได้ออกเรือนไปบุตรชายท่านเจ้าเมืองฮวาหลานเมื่อสามเดือนก่อนกล่าวหยอกล้อพี่ชายพลางหัวเราะออกมาวันนี้นางได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมเยือนท่านพ่อท่านแม่ พี่ชายใหญ่และพี่สะใภ้ รวมไปถึงหลานในท้องของพี่สะใภ้ หลังจากที่ไม่ได้แวะเวียนมานานนับเดือนเพียงเพราะไปท่องเที่ยวเมืองหลวงกับสามีของนาง นางนั้นทราบเรื่องที่พี่สะใภ้แพ้ท้องเหม็นพี่ชายตั้งแต่ก่อนออกเรือน ครั้นได้รู้ว่าพี่สะใภ้ไม่มีอาการแพ้ท้องแล้วจึงนึกสนุกแซวพี่ชายของตนออกมา เจียงมู่จื้อจึงยกกำปั้นขึ้นมาโขกศีรษะของนางอย่างแรง‘โป๊ก’“โอ๊ย!!! พี่ใหญ่ ท่านรังแกน้อง”“อืม… หมั่นไส้ ระวังเอาไว้ให้ดีเถิด ระวังถึงคราที่ตัวเจ้ามีครรภ์และมีอาการเช่นนี้ใส่น้องเขยบ้าง" เจียงมู่หลานหันหลังใส่พี่ชายแล้วไปฟ้องพี่สะใภ้ทันที“พี่สะใภ้ ดูสามีของท่านเถิด ช่างพูดจาได้ไม่น่าฟังยิ่งนัก”นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเง้างอนจนโจวเจินเจินนึกขัน ทั้งที่สองพี่น้องวัยก็ห่างกันหลายป
หลังจากที่กลับมาจากจวนสกุลโจว โจวเจินเจินก็ได้บอกเรื่องที่นางกำลังมีครรภ์ให้แก่ท่านพ่อและท่านแม่ของสามีได้ทราบ ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินนั้นต่างรู้สึกยินดีกับเรื่องที่ได้ยินยิ่งนัก เพราะการได้มีหลานคนแรกถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีของตระกูลเจียง เจียงฮูหยินที่กำลังจะกลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับน้ำตาไหลลงมาอาบใบหน้าด้วยความปีติยินดี“นี่เรากำลังจะได้เป็นปู่เป็นย่ากับเขาแล้วหรือนี่ น้องมิได้ฝันไปใช่หรือไม่เจ้าคะท่านพี่” เจียงฮูหยินเอ่ยถามใต้เท้าเจียงออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“เจ้ามิได้ฝันไปหรอกหนาน้องหญิง ก็เจินเอ๋อร์บอกว่านางได้ให้ท่านหมอตรวจมาจากจวนสกุลโจวแล้ว ก็ย่อมเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ใช่หรือไม่เจินเอ๋อร์” ท่านใต้เท้าเจียงตอบภรรยาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนที่จะถามลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงเช่นเดียวกัน“เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกกำลังมีครรภ์จริงเจ้าค่ะ ท่านหมอตู้ตรวจดูแล้วไม่ผิดแน่”ท่านหมอตู้นั้นเป็นหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองฮวาหลาน มีหรือที่เขาจะตรวจผิดพลาด อีกทั้งอาการของนางก็บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังมีครรภ์แน่นอน“ฮือ…. ขอบน้ำใจเ
สามเดือนต่อมาหลังจากออกเรือนไปโจวเจินเจินก็ไม่ลืมที่จะแวะเวียนกลับมาเยี่ยมเยือนบิดามารดาที่จวนสกุลโจว ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินเอ็นดูลูกสะใภ้ยิ่งนัก ทั้งสองไม่เคยห้ามให้นางได้ทำในสิ่งที่นางต้องการเลย ยิ่งสามียิ่งมอบความรักและคอยดูแลทะนุถนอมนางเป็นอย่างดี ทำให้โจวเจินเจินไม่นึกเสียใจเลยที่ได้ออกเรือนไปกับเขา“กลับมาเยี่ยมย่าทุกเดือนเช่นนี้ พ่อแม่สามีของเจ้ามิตำหนิหรือเจินเอ๋อร์….” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามหลานสาวออกมาด้วยความสงสัย“ไม่เลยเจ้าค่ะท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่เมตตาหลานยิ่งนัก หลานอยากจะไปที่ใด หรืออยากจะทำสิ่งใด ท่านทั้งสองมิเคยเข้ามายุ่งหรือนึกสงสัยในสิ่งที่ข้าทำเลยสักนิดเจ้าค่ะ”“ดี… ดียิ่งนัก เป็นโชคดีของหลานแล้วล่ะเจินเอ๋อร์… มีสามีที่รักและทะนุถนอมเจ้า ยังไม่ดีเท่ามีพ่อแม่สามีที่รักและเอ็นดูเจ้า” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวออกมาทั้งใบหน้าที่ยิ้มแย้มนางรู้สึกยินดีกับหลานสาวยิ่งนักที่ได้พบกับตระกูลที่ดี ตั้งแต่ออกเรือนไปนางยังไม่เคยเห็นหลานสาวมีปัญหาอันใดมาบอกเล่าให้ฟังเลย ครั้นหลอกถามอี้ถงสาวรับใช้คนสนิ
โจวเจินเจินหัวใจเต้นแรงยามที่ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น อี้ถงออกไปข้างนอกนานเกือบหนึ่งเค่อแล้ว นางในยามนี้ยังคงนั่งอยู่บนเตียงที่มีผ้าแพรสีแดงประดับตกแต่ง ผ้าคลุมหน้านั้นบางจนเห็นภาพของผู้ที่กำลังเยื้องย่างเข้ามา กลิ่นของสุราลอยมาแตะจมูก นางขยับกายด้วยความประหม่าก่อนที่ผ้าคลุมหน้าจะถูกสามีใช้คันชั่งเปิดออก ดวงหน้างามเผยออกมาปะทะกับแสงจากตะเกียงไฟสีเหลืองนวล ริมฝีปากหนาของเจียงมู่จื้อผุดรอยยิ้มออกมา“รอพี่นานหรือไม่…น้องหญิง”เขานั่งเคียงข้างนางพลางเอ่ยถามออกมา ดวงหน้างามฉายแววของความเขินอาย ครั้นยังเป็นฉินเซี่ยหรูนางไม่เคยมานั่งจ้องหน้ากับหวงจิงอวี่เช่นนี้ด้วยซ้ำ ทำให้นางไร้ประสบการณ์ในด้านนี้อย่างแท้จริง“มะ…ไม่นานเลยเจ้าค่ะ” เสียงหวานตอบเขาออกไป“ถ้าเช่นนั้น… เรามาดื่มเหล้ามงคลกันก่อนเถิด”โจวเจินเจินพยักหน้า ชายหนุ่มจึงลุกจากที่นอนแล้วเดินไปยังโต๊ะที่อยู่กลางห้อง จอกสุรามงคลและจอกเพื่อใส่สุราถูกเจียงมู่จื้อถือกลับมายังเตียงนอน เขารินสุราใส่จอกก่อนที่จะส่งให้แก่สตรีที่กำลังจะเป็นภรรยาของเขาอย่างสมบู