จูฟางหรงเหลือบมอง
ตาแก่นี่…ข้ามีค่ามากกว่าเงินง่อย ๆ นั่นของเจ้าตั้งเท่าใด ชิ!
“ไปบอกเจ้าหอ ว่าคืนนี้ นางระบำคนนี้ เป็นของข้าแล้ว”
จูฟางหรงได้ยินก็อยากกรีดร้อง เพราะนางวางแผนแล้วว่าจะเข้ามาหาข่าวสำคัญ หากได้แล้วก็จะเร่งปลีกตัวออกห่าง ดูเหมือนว่าเรื่องราวกำลังยุ่งเหยิงไม่เป็นท่า นับตั้งแต่นางก้าวเท้าเข้ามายังห้องพิเศษแสนโกโรโกโสที่เต็มไปด้วยโลกีย์คาวคลุ้งนี่
อยากจะบ้าตาย ชาติที่แล้วตาแก่นี่เป็นไก่หรือไงนะ
หลงโหย่วอี้ผุดลุกโดยไม่รู้ตัว เขาเขม้นมองจูฟางหรงประหนึ่งจะกระชากวิญญาณออกจากร่าง
เจ้าเมืองฉางฝูเลิกคิ้วหนึ่งฝั่ง “สุลต่าน ท่านเป็นอะไรงั้นหรือ”
เฉินกงเห็นท่าไม่ดีก็กระตุกชายอาภรณ์ของผู้เป็นนายเพื่อเตือนสติ หากไม่ทำเช่นนี้นายของเขาต้องพังหอไป๋หลิงจนเหลือเพียงชื่อแน่ “ท่านอ๋อง”
จูฟางหรงประสานสายตากับเขา ยิ่งเห็นอีกฝ่ายแทบคลั่งนางก็ยิ่งสาแก่ใจ จูฟางหรงเดินเข้าใกล้เจ้าเมืองฉางฝูเพื่อเบี่ยงความสนใจจากอาการผีเข้าของหลงโหย่วอี้
คนโง่ ครั้งนี้ท่านต้องขอบคุณข้า หากไ
เป็นเวลากว่าสัปดาห์ที่หลงโหย่วอี้ขลุกตัวอยู่ในห้อง เขาได้รับรายงานจากองครักษ์เงาว่าจูฟางหรงหนีไปแล้ว ทว่าเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ ไม่ว่านางจะหนีไปที่ใดหรือเล่นงานคนของเขาจนสะบักสะบอมสักกี่คราหลงโหย่วอี้ก็ส่งองครักษ์เงาชุดใหม่กลับไปเช่นเดิม ขอเพียงเขาได้รู้ข่าวคราวว่านางยังรอดปลอดภัย เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่เขาไม่ออกตามหาจูฟางหรงด้วยตนเอง เพราะยามนี้ยังไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น ไม่นานเขาจะต้องเปิดใจคุยกับจูฟางหรงถึงเรื่องราวทั้งหมดให้กระจ่างตอนที่หลงโหย่วอี้ได้สำรวจห้องใต้ดินของจวนสกุลเสิ่น เขาก็พบเบาะแสสำคัญบางอย่าง หลักฐานชิ้นนี้สามารถทำให้เขาทราบถึงตัวตนของผู้บงการเบื้องหลังของหอหงฮวา ถึงเขาระแคะระคายโดยตลอดแต่ไม่อาจปรักปรำหรือทำอันใดได้ จนกว่าจะมีหลักฐานครบถ้วน“ท่านอ๋อง มีมือสังหาร!” ทหารเฝ้ายามวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหลงโหย่วอี้รวบหลักฐานทุกอย่างที่ได้มาจากจวนสกุลเสิ่นเก็บเข้าที่ปลอดภัย เขาคาดไว้อยู่แล้วเรื่องราวต้องเป็นเช่นนี้ แต่ไม่คิดว่าศัตรูจะไหวตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้“พวกมันรู้ตัวแล้ว จมูกไวจริงเชียว”เฉินกง “ท่านอ๋อง กระหม่อมจ
หลังกลับจากจวนสกุลเสิ่น หลงโหย่วอี้ก็ยังง่วนอยู่กับกองตำราและหลักฐานต่าง ๆ กระทั่งเขาเห็นบางสิ่งตกอยู่บริเวณใต้เตียง“ท่านอ๋อง พระองค์ต้องพักผ่อนบ้างนะพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าพักแน่ แต่ขอสะสางเรื่องนี้ก่อน”เอ่ยจบหลงโหย่วอี้ก็ก้มลงเก็บของชิ้นนั้นขึ้นมา ครั้นเห็นว่าเป็นสิ่งใดเขาก็หวนนึกไปถึงตอนที่จูฟางหรงวาดลวดลายร่ายระบำยั่วยวนเจ้าเมืองฉางฝู ที่นางทำเช่นนั้นก็เพียงหลักฐานโง่เง่าอันนี้หลงโหย่วอี้หลับตาลงเพื่อเรียกสติมือของเขากำหยกเก็บสาส์นไว้แน่น ไม่นานก็ถอนหายใจแผ่วอย่างนึกปลดปลง จากความชิงชังรังเกียจที่มีต่อชายากำมะลอมันตาลปัตรจนใจของเขานั้นยากจะสงบ ยามนี้หัวใจของเขามันไขว้เขวและต้องการพบจูฟางหรงเป็นอย่างมาก เหตุใดสวรรค์จึงรังแกเขาในวันที่แยกจากกันด้วยความเข้าใจผิดทว่าภารกิจที่รัดตัวอยู่ตรงหน้าเป็นเหตุให้หลงโหย่วอี้ไม่อาจวางมือยามนี้ได้ หวังเพียงไหวพริบของจูฟางหรงที่มีจะช่วยให้นางเอาตัวรอดจากศัตรูจนกว่าเขาจะตามตัวนางพบ“ท่านอ๋อง”เสียงทุ้มดังมาจากริมหน้าต่าง“เข้ามา”องครักษ์เงากระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว
แสงสะท้อนยามอาทิตย์อัสดงรับกับเรือนร่างโปร่งที่ยืนต้องสายลมจนชายเสื้อปลิดปลิว ช่างดูงดงามประหนึ่งภาพวาดลายวิจิตร แม้ใบหน้าของสตรีร่างระหงถูกบดบังด้วยแพรผืนบาง ก็ไม่อาจซ่อนเร้นความงามที่เปล่งประกายเป็นเวลาสองวันที่จูฟางหรงสามารถหนีตายจากอ๋องปีศาจออกมาได้ไม่คิดเลยว่าการหลบหนีหนนี้จะง่ายดายดั่งพลิกฝ่ามือ คงเพราะเขาได้รับบาดเจ็บจากพิษของนาง จูฟางหรงจึงคิดว่าหลงโหย่วอี้อาจหมดสติไปหลายวันหรือไม่ก็ตายไปจริง ๆ กระนั้นจูฟางหรงก็ไม่อยากคิดไปเอง เพราะจูฟางหรงทราบดีว่าหลงโหย่วอี้โกงความตายเก่งยิ่งนัก นางจึงไม่ได้รู้สึกประหวั่นเรื่องที่เขาต้องสิ้นชีวิตแต่อย่างใดน่าเสียดายที่จูฟางหรงเผลอทำหลักฐานชิ้นสำคัญหล่นเอาไว้ ข้อต่อรองเพียงหนึ่งเดียวที่มีจึงอันตรธานหายไปในพริบตา นับจากนี้คงต้องหาวิธีหลีกหนีคมหอกห่าธนูของโหย่วอี้อ๋องใหม่เสียแล้ว สิ่งที่หมายพิชิตใจเพื่อหลอกใช้เขามันช่างเป็นวิธีสิ้นคิดและโง่เขลาเสียจริง มิสู้ตาต่อตาฟันต่อฟันน่าจะง่ายกว่า แต่อย่างน้อยจูฟางหรงก็ได้รับรู้ว่านางสามารถสร้างบาดแผลในใจให้อ๋องอำมหิตได้บ้างแล้ว หวังว่าการจากมาของนางจะทำให้เขาคลุ้มคลั่งอย่าได
หลงโหย่วอี้นิ่งอยู่นาน เขารู้สึกว่าโลกกำลังกลับด้านไปเสียหมด ยิ่งย้อนนึกถึงใบหน้าแย้มยิ้มของจูฟางหรงยามเห็นลูกกวาดรสหวานกำลังสวมทับรอยยิ้มพริ้มเพราของเด็กไม่ประสา หัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นครึกโครมโกหกหรือไม่ นี่ข้าทำอะไรลงไป“ท่านอ๋องเป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ”หลงโหย่วอี้หูดับไปตั้งนานแล้ว กระทั่งหมอหลวงมาถึง หลงโหย่วอี้ก็ยังนั่งพิงกำแพงอยู่ที่เดิม สมองของเขาประหนึ่งมีละอองหมอกขาวบดบังทุกสิ่ง เฉินกงร้องเรียกหลงโหย่วอี้หลายครา ทว่าเขาก็ยังไม่ยอมขยับหมอหลวงจึงเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋อง เช่นนั้นกระหม่อมขอตรวจอาการครู่เดียวนะพ่ะย่ะค่ะ”แขนที่ได้รับบาดเจ็บวางแหมะลงบนพื้น จิตใจของหลงโหย่วอี้ล่องลอยไปไกลลิบ ดูเหมือนว่าคนที่เขากำลังตามหาอยู่ใกล้แค่เอื้อม ทุกการกระทำที่ผ่านมามันกำลังย้ำเตือนความผิดบาปในใจของเขาไยนางจึงกลายเป็นคนของหอหงฮวาได้เฉินกงเห็นหมอหลวงดูประหม่าอย่างมาก เขาจึงช่วยประคองมือของหลงโหย่วอี้เอาไว้ทั้งที่เจ้าตัวยังนิ่งสนิทจากนั้นหมอวัยกลางคนก็วางนิ้วเพื่อจับชีพจร
สติของถังซือหงกระเจิงไปหมดแล้ว เขาไม่อาจยอมรับภารกิจแสนทรหดนี้ได้“ท่านอาจารย์ เรายังไม่มีหลักฐาน ไยต้องเร่งทำเช่นนี้ รอนางกลับมาอธิบายก่อนไม่ดีกว่าหรือขอรับ”“ไม่มีประโยชน์ เก็บอาวุธของเจ้าลง”ถังซือหงตวัดกระบี่ลงด้วยความหัวเสีย ทั้งยังได้ยินเสียงเยาะหยันจากบุรุษฝั่งตรงข้าม“หากเจ้าไม่ทำ เช่นนั้นข้าจะส่งเรื่องรายงานกลับไปหานายท่าน”ถังซือหงใจชื้น “ภารกิจนี้จะยกเลิกใช่หรือไม่ขอรับ”หนึ่งศิษย์หนึ่งอาจารย์ประสานสายตากันประหนึ่งช่วงเวลาหยุดนิ่ง“ไม่ใช่”ทันทีที่ถังซือหงได้ยินคำปฏิเสธ ขาสูงก็อ่อนยวบคล้ายกับฟ้ากำลังถล่มลงตรงหน้า “ทำไมขอรับ หรงเอ๋อร์ก็เป็นศิษย์ของท่าน”“ศิษย์งั้นหรือ ศิษย์ที่คิดทรยศอาจารย์ นับว่าเป็นตัวอะไร!”ถังซือหงคอตกเพราะเห็นศิษย์ของเขาลำบากใจ ตู้เชินจึงเอ่ยอีกครั้ง “เช่นนั้นงานนี้ก็ให้ผู้อื่นทำ”ก่อนที่ตู้เชินจะหันไปมอบภารกิจให้ผู้อื่น ถังซือหงก็พยายามตริตรองและหาทางออก ถึงอ
นกพิราบบินว่อนอยู่บนนภาโปร่ง เจ้าของใบหน้าวสันต์แหงนเงยขึ้นมอง เจ้านกขนสีขาวก็บินโฉบลงมา เขายื่นแขนเพื่อรองรับกรงเล็บของพิราบส่งสาสน์ หลังข้อเท้ามีกล่องไม้ไผ่ขนาดเล็กติดเอาไว้มือหยาบระคายปลดเอากระดาษแผ่นเล็กออกมา จากนั้นก็ปล่อยให้พิราบกลับคืนท้องฟ้าดังเดิม เขาคลี่กระดาษออกแช่มช้าศิษย์พี่…ข้าหวังว่าท่านจะได้อ่านสาสน์ลับนี้ ย่ำรัตติกาล…ครั้นได้อ่านข้อความลับด้านใน แววตาสีนิลก็พลันระริกไหว“หรงเอ๋อร์” เสียงทุ้มเปล่งออกมาเบาหวิว เขาเหลือบซ้ายแลขวา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครพบเห็น กระบอกไฟขนาดเล็กที่พกติดกายเอาไว้จึงถูกปลดออกและเผากระดาษจนสิ้น เท้ากว้างขยี้ขี้เถ้าที่หลงเหลือให้หลอมรวมกับธุลีเบื้องล่างเพื่อปิดบังร่องรอย“ศิษย์พี่ถัง ทุกคนมาครบแล้วขอรับ”ถังซือหงกำมือแน่น เขาเหลียวหลังกลับจากนั้นพยักหน้าเพื่อเป็นการตอบรับ“จะไปเดี๋ยวนี้”ไม่นานกำลังเสริมของหอหงฮวาที่เหลือก็มารวมตัวกันที่ถ้ำท้ายหุบเขาเฟยหย่า ชายวัยกลางคนสวมหน้ากากอำพรางกายเลื่อนเก้าอี้ไม้ออกมาแช่มช้า“คารวะท่านเจ้าหอ”