จูฟางหรงดีดแข้งดีดขาอยู่นานก็ไม่อาจต้านทานไหว กระทั่งเข้ามาถึงด้านใน เขาจึงปล่อยนางให้เป็นอิสระ
“ท่านอ๋อง ทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมนะเพคะ” จูฟางหรงวิ่งวนไปยังอีกด้านของเตียงนอน นางไม่รู้ว่าเขาจะบ้าดีเดือดใดขึ้นมาอีกหรือไม่ เพราะยามปกติจูฟางหรงอยู่ใกล้เขาคราใดนางก็ต้องเจ็บตัวครานั้น หนนี้นางจะไม่ยอมเป็นทาสรองมือรองเท้าเขาอีกแล้ว
“หรงเอ๋อร์ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรเจ้า แต่ที่บอกไม่เหมาะสมก็ไม่ถูกต้อง เราทั้งสองเป็นสามีภรรยากันไม่ใช่หรือ”
จูฟางหรงแค่นยิ้ม “ที่หม่อมฉันยอมแต่งกับพระองค์เพราะภารกิจงี่เง่าของหอหงฮวาต่างหาก อีกอย่าง ขณะที่หม่อมฉันพยายามเข้าหา ท่านอ๋องก็เอาแต่ผลักไสหม่อมฉัน ซ้ำยังต่อว่าด่าทอสารพัด แล้วมายามนี้ท่านยังรังแกหม่อมฉันไม่สาแก่ใจอีกหรือเพคะ ไยจึงไม่คิดบ้างว่าจูฟางหรงคนเดิมนั้นตายไปแล้ว”
“ยัยตัวยุ่ง ฟังพี่ชายคนนี้ก่อนไม่ได้หรือ เรื่องที่ผ่านมาข้าผิด เป็นข้าที่ทำผิดพลาดทั้งหมด”
“ใครเป็นน้องของพระองค์ หม่อมฉันไม่เข้าใจว่าท่านอ๋องจะมาตามวุ่นวายหม่อมฉันไปทำไม”
“เพราะเจ้าส
ในวันที่ถังซือหงตัดสินใจช่วยรักษาบาดแผลให้หลงโหย่วอี้ เขาเองก็เริ่มวางทิฐิและปลดปลงเรื่องของจูฟางหรงแล้ว จูฟางหรงยินยอมมาช่วยเฉินกงตามคำร้องขอ เพราะตอนนั้นหลงโหย่วอี้ยังไม่ได้สติบัดนี้จูฟางหรงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ถังซือหงก็เป็นเพียงพี่ชายร่วมสาบานที่ผิดต่อคำสัตย์ของตน เขาจึงไม่คิดห้ามปรามจูฟางหรงอีก ทุกอย่างนางควรได้ตัดสินใจและเดินบนเส้นทางที่เลือกอีกอย่างจูฟางหรงก็เฝ้าฝันมาตลอดว่านางจะได้พบกับพี่ชายที่ตนตามหา และมีชีวิตอยู่เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับตระกูลของตน เมื่อจังหวะและโชคชะตาได้กำหนดเช่นนี้ เทพเซียนก็มิอาจขวางจูฟางหรงจากไปไม่นาน หลงโหย่วอี้ก็ได้สติ ถังซือหงให้ยาสมานแผลชนิดเฉียบพลันแก่หลงโหย่วอี้ บาดแผลที่ได้รับจะรู้สึกถึงเพียงอาการชาเท่านั้น ทั้งสองคุยเปิดใจกันในทุกสิ่ง กระทั่งถังซือหงรู้ว่าหลงโหย่วอี้ก็คือคนที่จูฟางหรงตามหามาโดยตลอดเขายอมจำนนต่อโชคชะตา และปล่อยให้ทั้งสองได้แก้ไขปัญหากันเอาเอง“พี่ถัง ท่านไม่ตามพี่หญิงไปหรือเจ้าคะ”ถังซือหงส่งยิ้มบางให้ลี่ซือ “ไม่ล่ะ นางควรได้ตัดสินชีวิตตนเองบ้าง”
เจ้าของร่างสูงประคองแผ่นหลังบอบบางไว้ในอ้อมแขน เสียงทุ้มกระซิบแผ่วข้างหูเล็ก “หรงเอ๋อร์ ที่เหลือข้าจัดการเอง”จูฟางหรงส่ายศีรษะเขามาได้อย่างไร!?“ไม่เพคะ เฟยหมิงอ๋องคือคนที่ทำลายตระกูลหม่อมฉัน หม่อมฉันจะแก้แค้นด้วยตนเอง”มุมปากของหลงเฟยหมิงยกขึ้นเผยความเย็นชาระลอกหนึ่ง “คิดว่าจะทำอะไรข้าได้งั้นหรือ ต่อให้เป็นฮ่องเต้หากไร้ซึ่งตรากิเลนเพลิง พระองค์ก็ประหนึ่งฮ่องเต้แขนขาพิกลพิการ”“งั้นหรือ เสด็จอา ท่านชะล่าใจเกินไปแล้วกระมัง ตรากิเลนเพลิงนั่น ท่านแน่ใจหรือว่าเป็นของจริง”เฟยหมิงอ๋องหน้ากระตุก ความร้อนรนสะท้อนออกมาผ่านแววตาของเขา “อย่ามาทำไขสือเล่นลิ้นกับข้า”คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “ไม่เชื่อหรือ หากไม่เชื่อท่านก็ลองหยิบออกมาดูสิ”มือหยาบกร้านแง้มกล่องไม้สักในมือขึ้นแช่มช้า อกซ้ายของเขาเต้นระทึกด้วยความประหวั่นบรรดาทหารกล้าที่ถูกเฟยหมิงอ๋องควบคุมต่างไขว้เขว กระทั่งสิ่งที่เขาหยิบออกมาก็เป็นเพียงไม้แกะสลักรูปหงส์ง่อย ๆ อันหนึ่งหลงเฟยหมิงผงะ “มะ…ไม่จริง!”เฉินกงที่ยืนเยื้องไม่ไกลสาวเท้า
ทว่าจูฟางหรงก็ยังสงบนิ่ง และไม่ได้แสดงท่าทีร้อนใจใด เสียงใสถามอีกฝ่ายด้วยความใจเย็น “ท่านอ๋อง กำลังอยากบอกสิ่งใดหรือ”เฟยหมิงอ๋องคิดว่ายามนี้ตนกำลังถือไพ่เหนือกว่า “นางคือคนของหอหงฮวา ทุกคนก็รู้ว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนปกครองราษฎรย่ำแย่เพียงใด ฮ่องเต้หมายปลิดชีพโหย่วอี้อ๋องเพื่อลดทอนอำนาจทหารจนต้องเลือกสตรีไร้หัวนอนปลายเท้ามาเป็นพระชายาของเขา นางคือมือสังหารของหอหงฮวา สตรีเช่นนี้นับว่ามีคุณสมบัติใดได้รับตำแหน่งฮองเฮา”เสียงทุ้มถกเถียงอึงอลขึ้นอีกครั้งจู่ ๆ จูฟางหรงก็หัวเราะครืนราวได้ชมเรื่องขบขัน “ท่านอ๋องไม่คิดเลยว่าท่านจะห่วงไยสายโลหิตเดียวกันเพียงนี้ น่าเหลือเชื่อจริงเชียว แต่ทว่าท่านทำพลาดไปหนึ่งสิ่ง ท่านไม่รู้หรือว่าข้าคือใคร เช่นนั้นข้าจะบอกให้เอาบุญ ว่าข้ามีคุณสมบัติเหมาะสมทุกประการที่จะได้รับตำแหน่งฮองเฮา”“ฮองเฮา ท่านอย่าแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ อีกเลย”“ข้าเปล่าแก้ตัว หากทุกคนยังไม่รู้ ข้าก็อยากจะประกาศให้รู้โดยทั่วกัน ข้าคือคุณหนู เสิ่นฟางหรง และเป็นบุตรีเพียงหนึ่งเดียวของใต้เท้าเสิ่นที่รอดชีวิตจากการถูกใส่ความว่าเป็นกบฏ เมื่อสิบปีก่อน”หลงเฟ
บัลลังก์มังกรเริ่มสั่นคลอนอีกครั้ง เนื่องจากเป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่เหล่าขุนนางไม่พบแม้แต่เงาของฮ่องเต้ พวกเขาจึงรวมตัวกันที่ลานหน้าตำหนักใหญ่ ต่างนั่งคุกเข่าตากแดดตากลม และอดอาหารเพื่อบีบคั้นให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันออกมาทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง“ฝ่าบาทได้โปรดอย่าหมางเมินเหล่าอาณาประชาราษฎร์เลยพ่ะย่ะค่ะ หากพระองค์ไม่ออกมาเกรงว่าคงต้องมีการแต่งตั้งฮ่องเต้พระองค์ใหม่”เสียงขุนนางร้องดังระงมสะท้อนก้องไปทั่วทั้งบริเวณ ผู้ที่ยืนเหยียดยิ้มย่ามใจในยามนี้คงหลีกไม่พ้นเฟยหมิงอ๋อง เขารอโอกาสนี้มาเนิ่นนาน และผู้ที่ยุยงให้เหล่าขุนนางทำตัวประหนึ่งกบฏ ล้วนเป็นฝีมือของเขาเช่นเดียวกัน“พวกเจ้าไม่เห็นหัวข้าแล้วงั้นหรือ ข้าเป็นไทเฮา ยามนี้ฝ่าบาทประชวรแต่ก็ยังทำภารกิจไม่ว่างเว้น หลักฐานก็มี ไยจำต้องพบพระพักตร์ฝ่าบาทให้ได้”“แต่ว่าไทเฮา การปกครองจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อมีองค์จักรพรรดินั่งบนบัลลังก์ ทว่ายามนี้ กระทั่งฮองเฮาก็ไม่มี”“ผู้ใดบอกงั้นหรือว่าไม่มี” เสียงใสโพล่งขึ้นจากทางด้านหลัง ร่างระหงย่างกรายออกมาจากด้านในเนิบนาบด้วยท่วงท่างามสง่าเหล่าขุนนางปากอ้าตาค้
“พระชายา กระหม่อมมีบางอย่างอยากบอกกับท่าน”ถึงแม้ถังซือหงจะง่วนอยู่กับการรักษา ทว่าหูของเขายังจับใจความได้เป็นอย่างดี จูฟางหรงหลุกหลิกเพราะเกรงว่าถังซือหงจะไม่สบายใจ“เจ้าไปเถิด”เสียงทุ้มเอ่ยออกมาทั้งที่ไม่ได้เหลียวหลัง จูฟางหรงกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ จากนั้นก็เอ่ยกับสตรีอีกนางที่เป็นลูกมือให้ถังซือหง“อาซือ ทางนี้ฝากเจ้าช่วยศิษย์พี่ด้วยนะ”“ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ”จูฟางหรงพยักหน้า ภายใต้ดวงตากระจ่างใสมีภาพของบุรุษที่กายบอบช้ำปรากฏอยู่ จูฟางหรงถอนหายใจด้วยความรู้สึกปลดปลง จากนั้นก็เดินนำเฉินกงออกไป“เช่นนั้นเชิญท่านองครักษ์ทางนี้”พริบตาทั้งสองก็มานั่งประจันหน้ากันที่โต๊ะน้ำชา จูฟางหรงไม่อยากพิรี้พิไรนานนักจึงเอ่ยปากขึ้นก่อน ไม่ลืมรินน้ำชาส่งให้อีกฝ่ายเพื่อเป็นมารยาท“ท่านว่ามาเถิด”เฉินกงจึงเริ่มเปิดประเด็น “พระชายา ท่านจำเรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือสำราญได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”จูฟางหรงแค่นยิ้ม “จำได้สิ”
จูฟางหรงเดินวนไปมาละล้าละลัง เดี๋ยวเหลือบมอง เดี๋ยวล้มตัวลงนอน กระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงต้นยามอิ๋น [1] นางเองก็รู้สึกอ่อนล้า ทว่านอกหน้าต่างภายใต้ฝนที่กำลังหลั่งรินพร้อมอากาศเย็นเฉียบนั่นยังมีบุรุษนั่งคุกเข่าอยู่ภาพในวันนั้นก็หวนปรากฏขึ้นในมโนสำนึก“พี่ชาย ท่านยังไม่กลับจวนหรือเจ้าคะ”“ข้าจะอยู่ช่วยเจ้าตามหาพ่อแม่ก่อน หลังจากเจ้าปลอดภัยข้าจะกลับ”เด็กหญิงอมยิ้ม จากนั้นยื่นแบ่งถังหูลู่ให้แก่เขา “ข้าแบ่งให้ท่าน”ไม่นานเสียงดอกไม้ไฟก็ดังสนั่น ทั้งสองแหงนมองท้องฟ้าที่ประดับไปด้วยไฟหลากสี ชายหนุ่มผินมองหน้าเด็กหญิง เขาจำนางได้ดีคนที่ป้อนลูกกวาดรสหวานให้แก่เขา คนที่ดึงสติยามเขาท้อแท้ มือกว้างถอดหยกแขวนข้างเอวออกมา จากนั้นใช้สร้อยของตนคล้องเอาไว้ แล้วจึงสวมหยกเฟิ่งหวงสีแดงให้กับเด็กหญิงด้วยรอยยิ้ม“เจ้าเก็บนี่เอาไว้นะ ยามที่เจ้าเติบโต เจ