ไป๋มู่จินเดินตรงเข้าไปในร้านขายเครื่องหอมด้วยใบหน้าเคร่งขรึม โดยไม่สนใจว่าสหายของตนจะตามมาหรือไม่ ตอนนี้เขาแค่อยากจะรู้ว่านางกำลังทำอะไรอยู่ และบุรุษผู้นั้นมาทำอะไรที่นี่
ความคับข้องใจ และความร้อนรนเข้าครอบงำ จนมิอาจอยู่เฉยได้ เซียวเทียนเฟิงมองตามหลังของสหายไปด้วยรอยยิ้มพร้อมสายหน้าไปมาก่อนที่จะก้าวเท้าตามไป หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับแม่นางน้อยคนนี้แล้ว สหายของเขาก็เปลี่ยนจากก้อนน้ำแข็ง เป็นเปลวเพลิงได้ในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เสียงสตรีสองคนดังแว่วมาแต่ไกล เหมือนกับพวกนางกำลังยุ่งอยู่ " คุณหนูท่านทำอะไรเจ้าคะ.....ระวังตกนะเจ้าคะ ..." " เกือบได้แล้ว.....ว้าย... " " คุณหนู " หมับ ไป๋มู่จินเข้ามาเห็นคนตัวเล็กกำลังจะตกจกเก้าอี้ ที่เขาไม่รู้ว่านางกำลังหาอะไรบางอย่างบนหลังตู้ มือหนาคว้าเอวบางเอาไว้ได้ทัน ทำให้นางตกลงมาในอ้อมแขนแกร่งของเขา สายตาคมเหลือบไปเห็นกล่องใบหนึ่งที่กำลังหล่นลงมา เขาจึงเบี่ยงตัวไปบังร่รถม้าของขบวนเจ้าสาว เริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง ทุกอย่างดูปกติ เหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ใต้เท้าต้าฉีกลับมานั่งประจำตำแหน่งคนขับเรียบร้อยแล้ว และบอกว่า จูหลงนางสบายดี " คุณหนู ท่านเป็นอะไรหรือป่าวเจ้าค่ะ " หลี่เจินเอ่ยถามผู้เป็นนาย เพราะเห็นว่านางนั่งเงียบตั้งแต่รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวออกมาแล้ว " ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ " นางหันมาตอบสาวใช้ข้างกาย แต่ภายในใจของนางกลับรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง ก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรรอนางอยู่ที่จวนแม่ทัพบ้าง ขบวนรถเคลื่อนเข้ามาในเขตเมืองหลวง เสียงคนด้านนอกพูดคุยกันดังเจื้อยแจ้วอยู่ตลอดทั้งสองฝากฝั่งของถนน กว่าจะเดินทางมาถึงจวนแม่ทัพก็เหนื่อยเอาเรื่องเลย วังหลวง บรรยากาศในห้องทรงพระอักษร ขององค์ฮ่องเต้เริ่มตลึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากผู้เป็นใหญ่ที่สุดในแคว้น กำลังเฝ้ารออะไรบางอย่าง อย่างใจจดใจจ่อ " กงกง " " พะย่ะค่ะฝ่าบาท " กงก
จื่อจินหยวน มองแม่นางน้อยที่อยู่ในชุดเจ้าสาวตรงหน้าด้วยความพินิจ เพราะท่วงท่าและวาจาของนางช่างตรงไปตรงมาไม่เหมือนสตรีในห้องหอทั่วไปเอาเสียเลย " หากค่าเปิดผ้าคลุมหน้าของเจ้าออกเป็นคนแรกเจ้าจะถือว่าข้าเป็นเจ้าบ่าวได้หรือไม่ " จื่อจินหยวนเอ่ยกับสตรีร่างกายตรงหน้าด้วยความนึกสนุก แต่นางกลับทำเพียงแค่ไว ๆ เพียงเล็กน้อย " คุณชายน้อยผู้นี้ หากคิดว่าตนเองมีความสามารถมากพอหล่ะก็ ข้าจะรับไว้พิจารณาก็แล้วกัน " " หึ...คุณชายน้อยอย่างนั้นหรือ ได้ข้าจะถือว่าเจ้าตกลงแล้วนะ " จื่อจินหยวน ยกยิ้มมุมปากก่อนที่จะถือดาบเล่มใหญ่พุ่งตรงเข้าหาสตรีตัวเล็ก ด้วยความทะนงตน เนื่องจางการสืบประวัติของนางมาแล้ว นางเป็นเพียงคุณหนูในห้องหอ ที่เก่งแค่เรื่องงานบ้านงานเรือน และมีฝีมือในการสกัดน้ำหอมที่ล้ำเลิศเพียงแค่นั้น ไม่เห็นจะมีข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกวรยุทธเลย แต่เขาก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เมื่อนางกับหลบหลีกและตั้งรับเขาได้ทุกกระบวนท่า ทั้ง ๆ ที่ ยังมีผ้าคลุมหน้าอยู่ ชายชุดดำขบกร
จูหลงเดินกลับมาพร้อมกับต้าฉี พวกเขาทั้งสองดูเหมือนจะสนิทสนมกันมาก ทำให้ซูหวินซีและจินฟู่หลงหันไปมองหน้ากัน ด้วยความไม่เข้าใจ แต่ต่างคนก็ต่างความคิด แต่ไม่มีใครถามอะไร คนทั้งคู่เลย ต้าฉีเดินเข้ามาใกล้จินฟู่หลง แต่นางกลับเดินหนีไปอีกทาง และทำทีเป็นเลือกดูสินค้าต่าง ๆ โดยไม่ได้สนใจคนที่กำลังมองนางอยู่ สายตาคมมองสตรีตรงหน้าด้วยความฉงนว่านางเป็นอะไรกันแน่ ก็เมื่อวานยังคุยกันดี ๆ อยู่เลย " ฟู่หลง " นางหยุดชะงักไปเมื่อเขาเอ่ยเรียกนางเอาไว้ นางหยุดนิ่งแต่ก็ยังไม่ยอมหันมาสบตาเขาอยู่ " ใต้เท้า อะไรหรือเจ้าคะ " คำที่ใช้เรียกเขาก็เปลี่ยนไปด้วย จนคนใบหน้าคมเริ่มจะไม่พอใจ ว่าเหตุใดนางถึงได้ทำเหมือนกำลังโกรธอยู่ " เจ้าโกรธข้าเรื่องอะไร " " ไม่ได้โกรธ เราเองไม่ได้เป็นอะไรกัน ซักหน่อย " นางเอ่ยขึ้นเสียงเบา และเบือนหน้าหนีไปทางอืนแทน ต้าฉีเดินเข้ามาใกล้ และคว้าแขนคนตัวเล็กกว่าเอาไว้เพื่อมิให้นางเดินหนี " นี่ปล่
อำเภอชิงเหอ ซูหวินซีตรวจดูความเรียบร้อยภายในจวน อย่างละเอียด นางไม่อยากให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น หากนางไม่อยู่แล้ว ร่างบางเดินเข้ามาในสวนดอกไม้ ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบ ๆ จวนด้วยความอาลัย นางอยู่ที่จวนหลังนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต หากต้องจากไปจริง ก็ไม่รู้ว่านางจะทำใจได้หรือไม่ " คุณหนู คนของท่านแม่ทัพนำชุดแต่งงานมาส่งเจ้าค่ะ " ร่างบางหันมาตามเสียงเรียกของสาวใช้คนสนิท นางพยักหน้ารับรู้และเดินตรงไปยังหน้าเรือนใหญ่ ภายในห้องโถงมีสตรีรุ่นราวคราวเดียวกับนางนั่งอยู่ ใบหน้าหวานหมดจดแต่งหน้าเบาบาง ดูแล้วงดงามยิ่ง แต่ถึงการแต่งกายจะงดงามและเรียบร้อยเพียงใด ก็ยังซ่อนแววตาซุกซนของแม่นางผู้นี้เอาไว้ไม่ได้ " ฮูหยินน้อย ข้าจูหลง นำชุดแต่งงานและเครื่องประดับมาให้ฮูหยินน้อยได้รองสวมใส่ เจ้าคะ " จูหลงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม และส่งยิ้มอย่างจริงใจให้กับสตรีที่งดงามตรงหน้า ด้วยความถูกชะตาตั้งแต่แรกพบ " เรียกข้า หวินซีก็ได้ ดูแล้วเจ้ากับข้าก็น่าจะอายุเท่า ๆ กัน เป็นสห
เมืองหลวง ไป๋มู่จิน ทอดถอนหายใจเมื่อได้ฟังองค์ฮ่องเต้ที่เขาเคารพยิ่งกำลังสาธยายเรื่องหมากกระดานและภาพวาดที่พระองค์ทรงบอกว่าวิจิตรงดงามตระการตาอย่างยิ่ง เขาเบนสายตาไปมองกระดานหมากแวบนึง ก่อนที่จะก้าวไปหยิบเอาเมล็ดหมากสีขาวมาวางลงบนจุดตัดที่ยังว่างอยู่ เพื่อให้หมากกระดานนี้มีทางเดินต่อได้ ฮ่องเต้ได้แต่มองแม่ทัพหนุ่มด้วยรอยยิ้ม และเดินเข้าไปดูกระดานหมากใกล้ ๆ " เช่นนั้น...ฝ่าบาท กระหม่อมขอตัว " " เดี๋ยวก่อน เราก็แค่ล้อเจ้าเล่นนิดเดียวเอง ทำเป็นใจร้อนไปได้ กงกง " " พะย่ะค่ะฝ่าบาท " เมื่อเห็นว่าเขาเริ่มจะไม่พอใจหน่อย ๆ แล้ว ใบหน้าคมดูเรียบเฉยและไร้อารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น ฝ่าบาทจึงได้เรียกให้กงกงคนสนิท ไปหยิบเอากล่องไม้ที่สลักด้วยลวดลายมังกรดำมายื่นให้กับแม่ทัพหนุ่มอย่างทันท่วงที " นี่ขอรับแม่ทัพไป๋ " เขาจึงได้รับเอากล่องไม้นั้นมาเปิดดู ภายในกล่องเป็นหัวลูกศรที่มีตราประทับของสำนักหยกดำอยู่ สำนักหยกดำ ถือเป็นสำนักยุทธ ท
ไป๋มู่จินสังเกตอาการของลูกน้องคนสนิทพี่เอาแต่นิ่งเงียบตั้งแต่งเมื่อครู่แล้ว คงจะเป็นเพราะเจอจูหลงเป็นแน่ " เสี่ยวฮัว.....เจ้ากับนางนยังไม่ดีกันอีกหรือ " " เป็นนาง ที่ไม่ยอมคุยกับข้าเอง " " อย่างนั้นหรือ ..... นี่ก็ผ่านมาจะปีกว่าแล้วนะ ความเค้นของสตรีช่างกลัวเสียจริง " ท่านแม่ทัพยิ้มเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปเก็บของในห้องให้เรียบร้อย เสี่ยวฮัวยิ้มแห้ง ๆ เมื่อนึกถึงเหตุการเมื่อครั้งนั้น บันทึกความทรงจำของ ( เสี่ยวฮัว ) หนึ่งปีก่อน ในขณะที่เขาพึ่งกลับมาจากการปฏิบัติภารกิจลับให้กับท่านแมทัพ ก็เห็นคนชุดดำคนหนึ่งที่ใช้ผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้และกำลังลักลอบเข้าจวนแม่ทัพ เห็นดังนั้นเขาจึงคิดว่าเป็นคนร้าย และได้เข้าไปจับตัวคนชุดดำเอาไว้และได้มีการต่อสู้กันเกิดขึ้น ด้วยฝีมือที่สูสีกัน ทำให้ พวกเขาสู้กันอยู่นานเลยที่เดียว สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายชนะ และจับคนชุดดำมัดเอาไว้ เขาดึงผ้าปิดหน้าของคนผู้นั้นออกและต้องตกตะลึง เมื่อพบ