☀️ วันนั้น…แดดดีเกินไปหน่อยฟ้าใส อากาศร้อนแบบที่ทำให้คนในรั้วมหาวิทยาลัยไทระ อินโนเวชั่นเดินกันเร็วขึ้น ร้อนขึ้น หงุดหงิดขึ้นตึกเรียนเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยปะปน กลิ่นน้ำหอม เหงื่อ และพลังชีวิตที่ดูจะหมดลงพร้อมคลาสสุดท้ายและฉัน—มินาเอะ ซาโตะ เด็กเนิร์ดผู้มีเป้าหมายแค่กินของอร่อยและกลับบ้านไว ตอนนี้กำลังลากเพื่อนสาวสุดซี้ไปหาอะไรกินแก้เหนื่อย“ฉันอยากกินโอโคโนมิยากิ!” เสียงอัยย์บ่นพร้อมกอดแขนฉันไว้หลวม ๆ“วันนี้เรียนหนักจนจะลอยออกจากโลกไปแล้วอะ”ฉันหัวเราะเบา ๆ“โอเค ๆ ตามใจเลย แกจะกินร้านประจำหรือร้านใหม่—”“สวัสดีครับ มินาเอะซัง”เสียงทุ้มนุ่ม…ดังแทรกกลางบทสนทนา แต่มันเบาพอจะเรียกว่า “สุภาพ” และ “ตั้งใจเลือกจังหวะ”ฉันชะงักไปทั้งตัว เหมือนโดนหยุดเวลานิดหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ หันกลับไปช้า ๆ และก็อย่างที่คิด…ซันยืนอยู่ใต้เงาต้นไม้ข้างตึกเรียน แสงแดดลอดผ่านร่มไม้ ทาบลงบนชุดสูทสีเทาอ่อนของเขาที่ดูสบาย ๆ แต่ยังดูดีจนน่าหมั่นไส้รอยยิ้มสุภาพประดับบนริมฝีปาก—แต่สายตาเหมือนกำลังวางหมากในใจเงียบ ๆ“อะ...เอ่อ...” ฉันพยายามตั้งสติ“คุณมาทำอะไรที่นี่คะ?” ฉันถามเสียงนิ่ง พยายามไม่แสดงความรู้สึกผ่านส
วันนั้น…ฝนตกไม่ใช่ฝนที่เทกระหน่ำจนเปียกโชกทั้งตัว แต่เป็นฝนโปรยเบา ๆ ที่คล้ายม่านหมอกพรางทุกสิ่งให้ดูเลือนรางแม้แต่ความคิดของฉัน...“อัยย์ เดี๋ยวฉันไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อแป๊บนะ”“เออ รีบไปรีบมานะเฟ้ย” เสียงเพื่อนสาวตะโกนไล่หลังฉันกางร่ม เดินลงจากคณะโดยไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า นั่นคือ ‘วินาทีที่ฉันคิดผิดที่สุดในชีวิต’ในมือฉันถือโทรศัพท์ ก้มดูรายการของที่อัยย์ฝากซื้อ ขณะเดินลัดสนามเปียกชื้นผ่านซอกตึกไปยังถนนใหญ่ทันใดนั้น...เงาร่มอีกคันหนึ่งก็ยื่นเข้ามาทาบทับจากด้านข้าง บังสายฝนที่โปรยลงบนหัวฉันอย่างแนบเนียน พร้อมกับเสียงทุ้มเรียบเย็นดังขึ้นข้างหู“มาคนเดียวแบบนี้...ไม่กลัวเหรอครับ?”ฉันสะดุ้ง หันขวับไปทันที แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร—หมับ!มือแข็งแรงคว้าข้อมือฉันแน่น กลิ่นฉุนของยาบางอย่างพุ่งเข้าจมูก รุนแรงจนสมองมึนงงแทบจะทันที โลกทั้งใบเหมือนถูกดับแสงลงในพริบตา……“ตื่นแล้วเหรอครับ?”เสียงนุ่มนวลนั้นยังคงฟังดูอ่อนโยน แต่บรรยากาศโดยรอบกลับไม่อบอุ่นเหมือนเสียงนั้นเลยแม้แต่น้อยฉันพยายามลืมตา โลกหมุนเบา ๆ กลิ่นทะเลจาง ๆ ลอยมาแตะปลายจมูก อากาศเย็นชื้นบอกให้รู้ว่าไม่ใช่ห้องในคอนโดที่ฉันอ
🏚️ บ้านพักริมทะเล — เวลาประมาณ 20.45 น.ฝนหยุดตกไปแล้ว แต่เสียงคลื่นยังคงซัดกระทบหน้าต่างอย่างต่อเนื่อง ลมทะเลเย็นเฉียบ พัดผ้าม่านให้พลิ้วเบาในห้องไม้ที่ไร้ความอบอุ่นมินาเอะนั่งอยู่บนโซฟา ผ้าห่มผืนบางคลุมไหล่ แสงจากโคมไฟหัวเตียงสาดลงมาเพียงพอให้เห็นว่า...เธอไม่ได้กลัวอีกต่อไปไม่เหมือนเมื่อคืนตอนนี้ ดวงตาของเธอไม่ได้ไหวไหวด้วยความตกใจ หรือหวาดระแวง แต่มัน ‘นิ่ง’ และ ‘คิด’คิด—อย่างหนัก คิดทุกทางที่จะออกจากที่นี่ให้ได้‘นายล็อกฉันไว้ แต่ไม่ได้ล็อกสมองฉันซะหน่อย’เธอพึมพำในใจ ก่อนจะเหลือบตามองโต๊ะกลางห้องที่วางของบางอย่างไว้โดยไม่ได้ตั้งใจมือถือของซันเขาเพิ่งเดินออกไปเมื่อราวครึ่งชั่วโมงก่อน บอกเพียงว่า “จะไปทำอาหารเย็น” น้ำเสียงยังนุ่มนวล รอยยิ้มยังเหมือนเดิม…แต่ประตูก็ยังล็อกจากด้านนอกตามระเบียบหน้าต่าง? เปิดไม่ได้มือถือของเธอ? แน่นอนว่า...ไม่มีแต่มือถือของเขา…วางอยู่ตรงนั้นซึ่งปกติเขาจะไม่เคยลืมมันเลย แต่เพราะมีสายโทรเข้า และเขากำลังทอดเนื้ออยู่ — เขาจึงรีบวางมันทิ้งไว้แบบไม่ทันคิดสมองของเธอทำงานเร็วกว่าคลื่นทะเลที่ซัดเข้าฝั่งเสียอีกนายคงไม่รู้สินะ…ว่าฉันมันเด็กสายเทคฉันค
🕶️ คฤหาสน์คุโรซาวะ, 03:42 น.ลมยามดึกพัดแรงกว่าทุกคืน เสียงใบไม้สั่นไหวไม่ต่างจากความตึงเครียดในอากาศกลางลานหน้าคฤหาสน์ ไฟจากรถหลายคันสาดส่องลงบนพื้นกรวดอย่างแข็งกร้าว ลูกน้องในชุดยุทธวิธีเคลื่อนพลประจำจุด ปืนในมือขึ้นลำเรียบร้อย เสียงสนทนาทางวิทยุแทรกเป็นระยะ ท่ามกลางแผนที่ดาวเทียมที่กำลังวางอยู่บนฝากระโปรงรถ SUV คันหนึ่ง“ทีม A เข้าทางตะวันออก ทีม B ล็อคแนวป่า ทีม C รอคำสั่งตีวงด้านหลัง...”เสียงของคินดังแน่นอนขณะออกคำสั่งแบบไม่เปิดช่องผิดพลาดทุกอย่างดูเหมือนจะพร้อมสำหรับการปะทะ ทุกอย่าง…ยกเว้นเสียง “โฮ่ง!”จากตัวแสบหนึ่งตัว“โฮ่ง โฮ่ง! โฮ่งงงง!!”เสียงเห่าดังลั่นของไทกะ เจ้าชิบะอินุตัวเขื่อง พุ่งวนรอบรถของเรย์จิอย่างคึกคักมันวิ่งวนเหมือนบอกโลกว่า ‘ฉันจะไปด้วย!!!’“ไทกะ กลับเข้าไป”เสียงเรียบเย็นของเรย์จิดังขึ้น ขณะเขาเปิดประตูจะขึ้นรถแต่ไทกะไม่ฟังสักนิด มันกระโดดขึ้นเบาะหลังอย่างว่องไว หันไปคาบตุ๊กตามินิของมินาเอะจากเบาะรถมากัดแน่น!จากนั้นนั่งนิ่ง...ในท่าบอดี้การ์ดสุดขีดคินที่มองอยู่จากฝั่งตรงข้ามถึงกับหลุดหัวเราะในลำคอ“บอสครับ…มันขึ้นไปนั่งแล้วอะ”“มันเล่นใหญ่กว่าพวกเราอี
ถนนเลียบทะเล / เวลา 04:23 น.รถ SUV สีดำพุ่งทะยานนำขบวน เสียงเครื่องยนต์คำรามต่ำ ล้อรถกระแทกพื้นคอนกรีตเก่าอย่างดุดัน ถนนแคบเลียบหน้าผาเต็มไปด้วยหมอกทะเลและกลิ่นไอเค็มจาง ๆ แต่ไม่มีอะไรจะหนาวเหน็บไปกว่าสายตาของชายที่นั่งบนเบาะหน้าเรย์จินั่งนิ่ง แต่ดวงตาคมเฉือนอากาศเหมือนกระสุน เบาะหลัง—ไทกะ ยืนสองขาพาดหน้าต่าง กระจกเป็นฝ้าเพราะลมหายใจร้อนของมัน ร่างเล็กสั่นกระตุกจากแรงเห่า มันพร้อมจะพุ่งตัวออกไป...หากประตูเปิด📲 “บอสครับ! มีรถลาดตระเวนสองคันของแก๊งวายุ สกัดถนนช่วงหน้าผา!”“ไม่หลบใช่ไหม?” เสียงเขานิ่งจนขนลุก“ไม่ครับ...พวกมันหันปืนใส่แล้ว”เรย์จิหรี่ตา แสงไฟหน้ารถสาดไปยังชายสองคนที่ยืนอยู่ท้ายกระบะพร้อมปืนกลที่ติดตั้งขึ้นเขายกวิทยุขึ้นแนบปาก“ยิงยาง”ปัง! ปัง!เสียงปืนจากรถคันหลังดังสนั่น กระสุนเฉือนผ่านยางรถศัตรูอย่างแม่นยำ เสียงยางระเบิดดังลั่นตามด้วยเสียงรถหมุนคว้างชนเข้ากับต้นสนข้างทางสองคนที่ถือปืนกระโจนหลบลงพงหญ้าแทบไม่ทัน แต่รถของเรย์จิ... ไม่ชะลอแม้แต่เสี้ยววินาที มันพุ่งทะยานผ่านกลุ่มควัน เหมือนหัวใจของเจ้าของรถที่ตอนนี้ไม่รู้จักคำว่าลังเลคินเหลือบกระจก ส่ายหน้าเบา ๆ“หึ…
ภายในห้องนอนที่มืดสลัว แสงไฟจากโคมข้างเตียงสาดแสงสีอำพันทาบไล้ลงบนร่างหญิงสาวที่กำลังดิ้นรนสุดแรง มินาเอะหอบหายใจถี่ ใบหน้าแดงจัดทั้งจากแรงอารมณ์และความตื่นตระหนกที่เกาะกุมอยู่ในอก เธอผลักอกของซัน ผลักแขน ดันไหล่ แต่ร่างสูงกลับไม่ไหวติงแม้แต่น้อยเสื้อเชิ้ตของเธอหลุดรุ่ยจากไหล่ ผ้าบางๆ แทบไม่เหลือประโยชน์อะไรอีก แขนเสื้อข้างหนึ่งห้อยลงข้างลำตัว เผยให้เห็นผิวเนื้อขาวละเอียดที่มีรอยแดงจางๆ จากจูบของเขาแทรกอยู่บนพื้นไม้ข้างเตียง บราเซียร์ลูกไม้สีครีมถูกปลดและทิ้งลงอย่างไม่ใยดี แพนตี้ผ้าลูกไม้สีพาสเทลนุ่มนิ่มขยุ้มอยู่ไม่ไกล—ราวกับเป็นหลักฐานของความสิ้นท่าทางกายที่เธอไม่อาจปกป้องไว้ได้อีกต่อไปร่างของซันโน้มลงมาจากด้านบน แขนแข็งแรงยันกับที่นอนข้างศีรษะเธอ แผ่นอกเปลือยเปล่าของเขาแนบชิด เธอได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำ ร้อนแรงและดิบดุดันลมหายใจของเขาเป่ารินอยู่ข้างแก้ม ขณะที่ข้อมือเล็กบางของเธอถูกกดตรึงเหนือศีรษะ—แน่นจนไร้ทางหนี แผ่นหลังของมินาเอะแนบชิดผ้าปูเตียงที่เย็นเยียบ ผิวเปลือยสั่นไหวใต้แรงอารมณ์ที่กำลังก่อตัวเหนือร่างเธอ“ปล่อย…ฉันบอกให้ปล่อย!”เสียงของเธอสั่น เธอดิ้นสุดแรง พยายาม
เสียงเรือห่างออกไปทีละน้อย ละอองน้ำที่ฟุ้งจากแรงใบพัดยังลอยค้างอยู่กลางอากาศ เหมือนฝันร้ายที่ยังไม่จางแต่สำหรับเรย์จิ…นั่นไม่ใช่ฝันเลยมันคือ “เรื่องจริง” ที่เขาจะไม่ลืม“ซัน…!!”เสียงตะโกนสุดแรงถูกคลื่นแม่น้ำกลืนหายไปอย่างเย็นชาเรย์จิกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นขมับ ดวงตาแดงก่ำ สั่นด้วยโทสะที่ไม่อาจระบาย และความเจ็บที่กัดกินอยู่ข้างในเขาไม่ได้แค่โกรธ—เขาเจ็บ…และเขาแค้นเสียงฝีเท้าดังขึ้นถี่ๆ ก่อนที่คินจะโผล่พรวดเข้ามาทางระเบียง พร้อมลูกน้องอีกสองคนเขาชะงัก เมื่อเห็นเรย์จิยืนอยู่คนเดียว เงียบ…และทรงพลังเหมือนภูเขาที่พร้อมจะถล่ม“บอส…”“เขาหนีไปได้”เสียงเรย์จิพูดเบา แต่เย็นจัด ราวกับถูกกลั่นมาจากก้นบึ้งของความอดกลั้น น้ำเสียงนั้น…เหมือนจะนิ่ง แต่กลับแฝงแรงระเบิดที่ยังไม่ถูกจุด“เขาหนีไปทั้ง ๆ ที่ฉันอยู่ตรงนั้น”“ทั้ง ๆ ที่เธออยู่ตรงนั้น…”คินไม่ตอบ เขาเข้าใจ เพราะถ้าเป็นเขา…เขาก็คงคลั่งเหมือนกัน“ล่าเลยไหมครับ?”คำถามเบา ๆ ถูกเปล่งออกด้วยน้ำเสียงของลูกน้องที่พร้อมลุยทันทีแต่เรย์จิกลับส่ายหน้า ก่อนจะพูดช้า ๆ ลึกและหนักแน่นกว่าคำสั่งใด ๆ“ไม่…ฉันต้องดูแลเธอก่อน”เขาหันกลับเข้าไปใน
ลมทะเลยามเย็นพัดเอื่อยท้องฟ้าสีทองละมุนระบายเส้นขอบฟ้า เงาของคลื่นสะท้อนประกายกับเสี้ยวแสงสุดท้ายเรย์จิมองใบหน้าของมินาเอะเงียบ ๆ ขณะที่เธอยังหลับตาอยู่ หลังจากจูบที่เต็มไปด้วยความแผ่วเบาแต่นุ่มลึก เขาไม่พูดอะไร แค่มองเธออย่างเงียบงัน…ราวกับกำลังจดจำเธอในช่วงเวลานี้เมื่อเธอลืมตาขึ้น เธอเจอสายตาของเขา นิ่ง ลึก และอบอุ่นเกินกว่าจะต้าน เขาเอื้อมมือไปจับมือเธอไว้แน่น สอดนิ้วเข้ากับมือเธอช้าๆ“เข้าห้องกันเถอะ...”คำพูดธรรมดา แต่เสียงของเขาทำให้เธอหัวใจเต้นแรงจนแทบระเบิด เธอพยักหน้าเบาๆ…โดยที่รู้ดีว่าการเข้าห้องครั้งนี้ จะไม่มีคำว่า ‘นอน’✩₊˚🧸.⋆☾⋆⁺₊💤✧ห้องพักสว่างด้วยแสงสีส้มจากโคมไฟหัวเตียง ผ้าม่านไหวเบา ๆ รับลมจากทะเล และเสียงคลื่นไกล ๆ …คือเพียงพื้นหลังของค่ำคืนที่กำลังจะเริ่มต้นเรย์จิยืนอยู่ตรงหน้าเธอ มือเขาเอื้อมมาปลดกระดุมเสื้อของเธออย่างช้า ๆ ไม่มีความเร่งรีบ ไม่มีความหยาบ มีเพียงสายตาที่มองเธอเหมือน…เธอคือสิ่งที่เขาอยากทะนุถนอมที่สุดเมื่อเสื้อเชิ้ตตัวบางของเธอหลุดจากไหล่ เขาก็ก้มลงจูบซอกคอเบา ๆ สัมผัสของเขานุ่ม…แต่แฝงด้วยความวาบหวามที่ทำให้ขาเธอสั่น“ฉันจะไม่รีบ” เขากระซิบ“
💘 คฤหาสน์คุโรซาวะ — หนึ่งปีหลังวันหมั้น☀️ เช้าที่แสนสงบเรย์จิ & มินาเอะ...ไม่ใช่คู่รักธรรมดา แต่คือ “ผู้สร้างสมดุลใหม่” ให้โลกใต้ดิน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ เริ่มต้นจากเกมบังคับ กลายเป็นสงครามหัวใจ และจบด้วยคำสัญญา...ที่ไม่ต้องเปล่งเสียงอีกต่อไปทุกเช้า—เรย์จิจะชงกาแฟให้เธอก่อนที่เธอจะตื่น มินาเอะจะวางแท็บเล็ตไว้ข้างแก้วเขา พร้อมแผนที่ปรับให้เรียบร้อยพวกเขา...พูดน้อยลง แต่เข้าใจกันได้ด้วยการเหลือบตาเพียงครั้งเดียว มือที่เคยประสานเพื่อจับปืน วันนี้ประสานเพื่อ “จับหัวใจของกันและกัน”👑 มินาเอะ — ราชินีของโลกใต้ดิน“มาเฟียควีน” ไม่ใช่คำล้ออีกต่อไป เธอคือหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์หลักขององค์กร นั่งประจำเก้าอี้หัวโต๊ะขององค์กรคุโรซาวะที่เคยสงวนไว้ให้คนเดียวเท่านั้น...เรย์จิเธอสวมสูทเรียบหรู ส้นสูงเฉียบ แววตาคมแต่ยังเปล่งประกายแบบ ‘เนิร์ดตัวจริง’ ที่ใครก็ประมาทไม่ได้แต่วันนี้...เธอมีอำนาจต่อรองเหนือกว่ากระสุน เพราะมินาเอะรู้ว่า ศัตรูไม่ได้แพ้ด้วยปืน ...แต่มักแพ้ให้กับคำพูดที่เขาคิดว่าเราจะไม่กล้าพูด“เราไม่จำเป็นต้องรบกับทุกคนค่ะ ถ้าทำให้เขาอยากอยู่กับเรามากกว่ากลัวเรา”เสียงในห้องประชุมเงียบไ
📍 คฤหาสน์คุโรซาวะ – 6 เดือนหลังสงครามพระอาทิตย์ยามเย็นกำลังจะลับขอบฟ้า แสงสีทองอุ่น ๆ รินลงผ่านกระจกห้องโถงใหญ่ ทอดเงายาวลงบนพื้นไม้ขัดมันอย่างเงียบงาม ด้านหลังคฤหาสน์...สวนถูกเนรมิตขึ้นใหม่เพื่องานสำคัญที่สุด“พิธีหมั้นกลางแจ้ง”ที่ทุกคนร่วมกันเตรียม...เพื่อเธอคนเดียว ลานหญ้าถูกปูด้วยพรมทางเดินสีครีมอ่อน รายล้อมด้วยดอกกุหลาบขาวที่ปลูกลงดินจริงเรียงแถวละเมียดเส้นสายไม้โค้งเป็นซุ้มประดับผ้าโปร่ง และไฟ fairy light ที่เตรียมไว้ส่องเมื่อตะวันตกดิน ทุกอย่างถูกจัดวางด้วยความรัก...ไม่ใช่เพราะพิธี แต่เพราะคนที่ยืนอยู่ในพิธีนี้🎼 เครื่องดนตรีคลอเพลงคลาสสิกบรรเลงเบา ๆโน้ตแต่ละตัว...เรย์จิเคยเลือกมันเองจากร้านแผ่นเสียงเก่า ๆ กลางเมืองและที่ปลายเวที —ไทกะ เจ้าหมาชิบะอินุตัวแสบ ใส่โบว์สีงาช้าง-ทอง ยืนสง่าด้วยแท่นแหวนในปาก (หลังจากถูกมินาเอะ อัยย์ และทีมแม่บ้าน “ต่อรองด้วยขนม 7 แบบ” เกือบครึ่งวัน ถึงจะยอมถือ)...👰🏻♀️ มินาเอะ — ว่าที่เจ้าสาวอยู่ในชุดเดรสลูกไม้สีงาช้างที่แสนเรียบหรู แต่งดงามราวกับภาพฝัน ผมมัดครึ่งคลายลงมาเป็นลอนนุ่ม ประดับด้วยปิ่นเงินรูปผีเสื้อ ใบหน้ามีรอยยิ้มสั่นไหว — ไม่ใ
📍ด้านของซันหลังจากเหตุการณ์ล้อมศูนย์บัญชาการและการเผชิญหน้ากับเรย์จิที่โกดังร้าง ซันถูกปล่อยตัวกลับไป—ไม่ใช่เพราะเรย์จิอ่อนแอ แต่เพราะเขาตัดสินใจ ‘ให้ชีวิตกับความพ่ายแพ้’ มากกว่าความตายไม่กี่วันหลังจากนั้น...มีบางข่าวลือเล่าว่าเขาขึ้นเครื่องไปอิตาลีภายใต้ชื่อปลอม และกลับเข้าสู่วงการมาเฟียระดับนานาชาติ ในเงามืดไม่ได้ใช้ชื่อเดิมไม่ได้ประกาศตัวแต่ทุกเครือข่ายของมาเฟียในยุโรปเริ่มขยับอย่างเงียบ ๆ เหมือนเงาของใครบางคน...กลับมายืนอยู่หลังม่านอีกครั้งจนวันหนึ่ง...เงาก็หายไปไม่มีข่าวไม่มีสัญญาณไม่มีใครรู้ว่า ซันมีชีวิตอยู่ หรือหมดสิ้นจากโลกใบนี้ไปแล้ว“เรย์จิไม่ได้พูดถึงเขาอีกเลย…”แต่บางคืนที่ลมแรง...เขาจะยืนนิ่งอยู่ที่ระเบียงคฤหาสน์ สายตาจ้องไปที่เมืองไกล ๆ เหมือนรอคนที่ไม่มีวันกลับมาอีก🐕🐕🐕🐕🐕🐕ด้านมินาเอะเมื่อสงครามจบลง และคฤหาสน์กลับสู่ความสงบ มินาเอะเริ่มต้นเส้นทางใหม่ในฐานะคนของตระกูลคุโรซาวะอย่างแท้จริงเธอเข้าคอร์สฝึกฝนกับ แม่ของเรย์จิ — หญิงผู้เป็นดั่งเงาหลังอาณาจักร ระเบียบเข้ม สายตาคม บทเรียนโหดแบบ ‘หากเจอศัตรู เธอจะรอดในหนึ่งวินาทีหรือไม่?’แต่แน่นอน...มินาเอะไม่
เงาไฟสีส้มกะพริบจากโคมไฟสนามลมแรงพัดเส้นสายไฟโยกไปมา เสียง ครืด...ครืด... เหมือนเสียงถอนหายใจของสถานที่ที่เต็มไปด้วยซากสงครามกลิ่นสนิม โลหิต และควันดินปืน ตลบอบอวลในอากาศ ขมคอ...เหมือนความทรงจำที่ไม่สามารถกลืนลงหรือคายทิ้งได้เรย์จิ คุโรซาวะ ยืนอยู่ท่ามกลางเศษกำแพงที่พรุนจากกระสุน แสงกะพริบของไฟสะท้อนลงบนใบหน้าเปื้อนเลือดและเหงื่อมือขวาถือปืน กระบอกยังอุ่นจากการยิงก่อนหน้า เสื้อเชิ้ตสีดำมีรอยเลือดกระจายเป็นวง — ไม่รู้ว่าเป็นของใคร และอาจไม่สำคัญอีกแล้วแววตาเขา...เยือกเย็น ไม่ใช่เพราะไร้อารมณ์แต่เพราะ ต้องทำในสิ่งที่ไม่ควรต้องทำมากที่สุดในชีวิตไม่ไกล ซันยืนพิงเสาเหล็กที่หักโค้ง ใบหน้าซีด แต่ยังยิ้ม ผ้าพันแผลแน่นรอบแขนขวา รอยแตกที่ริมฝีปากยังมีเลือดไหลซึม แต่ดวงตา...ยังเต็มไปด้วยประกายกร้าวที่ไม่ยอมตาย“มาถึงตรงนี้ได้เร็วกว่าที่คิดนะ...เรย์จิ”“คิดจะมาส่งเพื่อนเก่าไปนรกด้วยตัวเองเลยหรือไง?”น้ำเสียงแหบพร่า แต่เจือด้วยรอยล้อเลียนที่แหลมคมจนแทงทะลุทุกเกราะเรย์จิไม่ตอบเขาก้าวเข้ามาทีละก้าว ทีละก้าว ที่เหมือนพาอดีตทุกเสี้ยววินาทีเดินกลับเข้ามาภาพเพื่อนร่วมสนามฝึกภาพคนที่เคยหันหลัง
📍เวลา 06:02 น. — บริเวณโกดังหมายเลข 14, เขตท่าเรือร้างลมทะเลพัดกรูเข้ามาทางหน้าต่างเก่าเสียงคลื่นกระทบท่าเรือดังต่ำ ๆ คล้ายเสียงลมหายใจสุดท้ายของเมืองร้าง บนชั้นสองของโกดัง — ไม่มีใครอยู่ ยกเว้นเขาซันยืนพิงราวเหล็ก ฝ่ามือแตะหน้าต่างที่แตกเป็นรอย มองลงไปเบื้องล่าง — ลูกน้องกว่า 40 คนของเขา กำลังแทรกตัวเข้าตำแหน่งรอบเมืองอย่างเงียบเชียบ ราวกับ "ล้อมศูนย์บัญชาการไว้ในความเงียบ"เป้าหมายของเขา:ไม่ใช่ฆ่า ไม่ใช่เผา แต่คือ “ถล่มศูนย์กลาง” ให้ระบบคุโรซาวะล่มทั้งองค์กร — เหมือนการผลักโดมิโนตัวแรกให้พังตามเป็นเส้น“เริ่มเคลื่อนกำลังได้”เสียงของซันดังขึ้นผ่านวิทยุสื่อสาร น้ำเสียงสั้น หนัก และเด็ดขาด ทันใดนั้น...เงาเคลื่อนไหวของทีมซัน ก็ขยับพรึ่บพร้อมกันทั่วแผนแต่ในขณะเดียวกัน...📍ภายในห้องบัญชาการ – คฤหาสน์คุโรซาวะมินาเอะ ยืนอยู่หน้าหน้าจอหลัก ภาพแผนผังแสดงรูปแบบล้อมรอบของซันแบบชัดเจน —เส้นสีแดงกะพริบรายล้อมศูนย์กลางหลายคนอาจมองว่าเธอกำลังตกอยู่ในวงล้อม แต่แววตาของเธอ...กลับเยือกเย็น และคมเหมือนใบมีด“กับดักล้อมนอก...”“แต่ลืมว่าข้างใน...กำลังรออยู่”เธอแตะปลายนิ้วลงบนแท็บเล็ตเบา ๆ เส
📍ภายในห้องบัญชาการ – เวลา 05:16 น.แสงไฟบนเพดานสลัวลงอัตโนมัติเพื่อไม่รบกวนการทำงานของหน้าจอหลักจอมอนิเตอร์เรียงรายเต็มฝาผนังแสดงข้อมูลแบบ real-time ทั้งจากเส้นทางการขนส่ง โกดัง สัญญาณไวรัส และโค้ดที่เพิ่งถูกเจาะเสียงไซเรนเบา ๆ ยังดังเป็นคลื่นพื้นหลัง กดอารมณ์ในห้องให้ตึงเครียดทันใดนั้น—เสียงมือถือของเรย์จิดังขึ้น หน้าจอแสดง ‘สายตรงจากคิน’พร้อมรหัสภายในพิเศษ เขารับทันทีโดยไม่ต้องพูดคำทัก และเสียงจากปลายสายก็ดังขึ้นทันทีตามสไตล์เจ้าตัว“ได้ตัวแล้ว”“และหมอนั่นพูดทุกอย่างที่เราต้องรู้”เสียงห้าวต่ำของคินฟังนิ่ง แต่จริงจัง“ซันรู้ว่าเราวางกับดัก...แต่มันกำลังจะใช้กับดักนั่น ‘ล้อมพวกเราทั้งหมด’ แทน”ปลายนิ้วของเรย์จิเกร็งแน่นกับขอบโต๊ะไม้ เสียงเขาลดต่ำลงโดยอัตโนมัติ ราวกับแรงดึงดูดของคำที่ได้ยินกำลังหนักขึ้นเรื่อย ๆ“หมอนั่นมันคิดจะล่อเราหลงทิศ…”“แล้วปิดเกมในครั้งเดียว?”...แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยความคิดใด ๆ ต่อไปเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นจากด้านหลัง — ชัดเจน มั่นใจ แต่ทุ้มนุ่มแบบคนที่คิดเสร็จนานแล้ว แค่รอให้คนอื่นทันมินาเอะยืนพิงโต๊ะ มือหนึ่งถือแท็บเล็ต อีกมือไขว้หลัง ใบหน้าเรียบเฉย
ห้องเก็บของหลังคฤหาสน์ – 04:36 น.ไฟเพดานดวงเล็ก ๆ ห้อยจากสายไฟเก่าๆ แสงสีเหลืองส้มอ่อนส่องลงตรงจุดเดียวกลางห้อง — บนร่างของชายคนหนึ่งที่ถูกมัดแน่นกับเก้าอี้เหล็กเสียงหยดน้ำจากท่อแตก “แหมะ…แหมะ…”หยดลงบนพื้นซีเมนต์ทุกสิบวินาที กลายเป็นนาฬิกานับถอยหลังในห้องที่เงียบจนน่ากลัวมิซากิ — หัวหน้าทีม IT ของคุโรซาวะที่เคยได้รับความไว้วางใจสูงสุด กำลังนั่งนิ่งกลางแสงเหงื่อไหลลงข้างแก้มแม้ในห้องที่เย็นจัด มือทั้งสองข้างถูกมัดแน่นที่ด้านหลังของเก้าอี้ บนร่างกายมีรอยฟกช้ำ ที่เริ่มปรากฎขึ้นบนต้นแขนและข้างลำคอจากการดิ้นรนก่อนหน้านี้เสียงฝีเท้า...ใกล้เข้ามา ไม่รีบร้อน ไม่หนัก แต่ทุกก้าวดังชัดเหมือนฝังลงในกระดูกคินเดินเข้าสู่แสงไฟ ชุดยังคงเป็นเสื้อผ้าชุดเดิมที่เขาใส่ประชุม แต่แขนเสื้อถูกพับขึ้น เผยท่อนแขนเต็มแน่นของนักล่าสายตาเขานิ่ง เงียบ และไม่มีแม้แต่วี่แววของความโกรธ“สวัสดี...มิซากิ”เสียงของคินราบเรียบ แต่ชัดเจนเกินกว่าจะเป็นคำทักทายเขาหย่อนตัวนั่งลงช้า ๆ บนเก้าอี้ตรงข้าม“คิน…ฉัน...ฟะ...ฟังฉันอธิบาย—”ผัวะ!!กำปั้นชกเข้าที่แก้มขวา ไม่แรง แต่เร็ว และ ‘แม่นยำ’ จนใบหน้าของมิซากิสะบัดไปเองตา
ภายในรถหุ้มเกราะสีดำสนิทไฟในรถเปิดเพียงแสงสลัว แผงหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ฉายแผนผังคฤหาสน์คุโรซาวะแบบ 3 มิติบนจอโปร่งใส — แสดงระบบห้องต่าง ๆ เสมือนของจริง ทั้งสายไฟหลัก กล้องวงจรปิด เซิร์ฟเวอร์ ระบบจ่ายพลังงาน และจุดเชื่อมต่อทั้งหมดเสียงฝนกระทบหลังคาโลหะเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ราวกับเสียงนาฬิกาที่นับถอยหลังสู่หายนะ ในอากาศ มีกลิ่นของน้ำมัน ดินปืน และเหงื่อเย็น ๆ ของคนที่อยู่ในสนามรบกลิ่นทั้งหมดผสมกันจนกลายเป็น ‘กลิ่นเฉพาะของสงคราม’ซันนั่งสงบนิ่งอยู่เบาะหลังเสื้อโค้ทสีดำยาวดูหนักอึ้งไปด้วยไอเย็น เขาไม่พูดอะไรในตอนแรก แต่แววตา...เฉียบคม เยือกเย็น และเต็มไปด้วยบางอย่างที่น่ากลัวกว่าอารมณ์โกรธ—คือ ความตั้งใจเบื้องหน้าของเขาแผนผังคฤหาสน์ฉายอยู่บนโต๊ะกลางรถ จุดสีแดง 7 จุดกะพริบอยู่ชัดเจนแต่ละจุด คือ ‘เส้นเลือด’ ที่หล่อเลี้ยงระบบหลักของคุโรซาวะเซิร์ฟเวอร์หลัก ฐานสื่อสาร ระบบพลังงาน ช่องทางข้อมูลลับ โกดังสินค้า บัญชีดำพันธมิตร และ...ห้องบัญชาการ“วันนี้ เราจะไม่ลอบฆ่า”ซันพูดเสียงต่ำ แต่ทุกคำหนักแน่นเหมือนค้อนทุบพื้นหิน“แต่จะเจาะเลือด...ให้มันไหลทั้งระบบ”เขาหยิบเข็มกลัดสีทองขนาดเล็กจากกล่อง
กลางดึก...แสงไฟสลัวสีอำพันจากโคมไฟเพดานกระจายตัวลงบนโต๊ะไม้ยาวกลางห้องผนังห้องทำงานชั้นบนสุดของคฤหาสน์คุโรซาวะถูกปกคลุมด้วยแผนที่ขนาดใหญ่ ข้อมูลจุดต่าง ๆ ถูกไฮไลต์ด้วยสีแดงที่กะพริบเป็นจังหวะเหมือนจังหวะหัวใจของสงครามที่กำลังใกล้เข้ามามินาเอะลากเก้าอี้มานั่งลงตรงโต๊ะด้านข้างเธอสวมเสื้อฮู้ดโอเวอร์ไซซ์สีเทาเข้ม แขนเสื้อยาวเกินข้อมือ เธอพับมันขึ้นครั้งเดียวแล้วไม่สนใจอีก ไทกะ หมาชิบะอินุตัวแสบของเธอ นอนเงียบ ๆ อยู่ข้างตัว ดวงตาสีอำพันของมันจ้องจอแผนที่ด้วยความสงบแต่ตื่นตัวเสียงเรย์จิดังขึ้นเบา ๆ คล้ายจะห้าม“เธอไม่ได้ต้องเข้ามาในห้องวางแผนนี้ก็ได้”แต่มินาเอะเพียงยิ้มบาง ๆ พลางเปิดโน้ตบุ๊กของตัวเองขึ้นมาวางข้างแผนที่หลักแสงจากหน้าจอฉายขึ้นใบหน้าเธอ ทำให้ดวงตากลมที่เคยขี้เล่นบัดนี้ฉายแววเยือกเย็นของคนที่อยู่ใน ‘โหมดคำนวณเต็มรูปแบบ’“ไม่ได้สิ…นายลืมเหรอว่า ฉันน่ะ ‘เล่นเกมอ่านนิสัยบอส’ เป็นงานอดิเรกเลยนะ”เธอตอบขณะพิมพ์รัวบนคีย์บอร์ด ข้อมูลจำนวนมหาศาลไหลผ่านหน้าจอ: เส้นทางรถขนของกลางเมือง กล้องวงจรปิด แหล่งข่าวท้องถิ่น แม้แต่กระแสในโซเชียลแบบที่ไม่มีใครมองว่าสำคัญ — แต่เธอกลับมองเห็น