-สนามบินประเทศไทย-
“ฮึก…” ริมฝีปากบางเปล่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น หยดน้ำตารินไหลอาบแก้มทั้งสองข้างครั้งแล้วครั้งเล่า
ดวงตากลมโตวาดสายตามองอย่างหวาดระแวงพลางกอดกระเป๋าเสื้อผ้าไว้แน่น มองไปทางไหนก็เจอแต่สถานที่แปลกตาไม่คุ้นเคย
สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือนั่งก้มหน้าร้องไห้อย่างหมดหนทาง
เดมี่เติบโตที่ต่างประเทศ เธออ่านภาษาไทยไม่ออก เขียนหนังสือก็ไม่ได้ ทำได้เพียงสื่อสารและพูดคุยให้พอเข้าใจบ้างนิดหน่อย
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ”
“เฮือก!” เดมี่สะดุ้งด้วยความตกใจและตื่นกลัวเมื่อเห็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของสนามบินเดินเข้ามาทัก
“ไม่ต้องกลัวครับ ผมเป็นพนักงานของที่นี่” เป็นเพราะเห็นเธอนั่งร้องไห้มานานหลายชั่วโมง จึงอยากอาสาเข้ามาช่วย
“ฉันอยากไปที่นี่ค่ะ” หญิงสาวพูดเสียงสั่นพลางยื่นนามบัตรให้
‘SBD Casino’ ก่อนที่พ่อจะตายท่านได้ให้นามบัตรนี่ไว้กับเธอพร้อมกับจดหมายลายมืออีกหนึ่งฉบับ
อยู่ที่ต่างประเทศไม่มีญาติพี่น้อง พ่อและแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเมื่อหลายเดือนก่อน เลยต้องอาศัยอยู่ตามลำพัง
ตำรวจสันนิษฐานว่าอาจจะเกิดจากเหตุฆาตกรรมไม่ใช่อุบัติทั่วไป เนื่องจากศัตรูของพ่อมีอิทธิพลมาก เด็กไร้เดียงสาอย่างเธอคงทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้ายอมรับชะตากรรมอย่างหมดหนทางสู้
ทรัพย์สมบัติของพ่อที่มีก็ถูกโกงไปจนหมดสิ้น บ้านที่เคยอยู่ก็ถูกยึดทำให้เธอกลายเป็นคนเร่ร่อนและถูกไล่ล่าจากคู่อริของพ่อ
เดมี่ตัดสินใจนำเงินก้อนสุดท้ายที่มีมาซื้อตั๋วเครื่องบินกลับประเทศไทยตามคำสั่งสุดท้ายของพ่อ
พ่อและแม่สั่งเสียเอาไว้ก่อนที่ท่านจะตายว่าให้ไปหาคนที่อยู่ในนามบัตร ‘บุรินทร์ภัทร วรางกูร’ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนในนามบัตรนี้จะเป็นคนช่วยเหลือเธอ
“แน่ใจเหรอว่าจะไปที่นี่ มันอันตรายนะคุณ” คนในละแวกนั้นต่างรู้ดีว่า ‘SBD Casino’ คือสถานบันเทิงอโคจรขนาดใหญ่ มีผู้คนมากหน้าหลายตาพลุกพล่านวันละหลายพันคน
นอกจากกาสิโนหลายสิบชั้นแล้วภายในยังเป็นห้องพักระดับห้าดาว มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน มีสปอร์ตเลานจ์ รวมถึงไนต์คลับชั้นใต้ดิน
“แน่ใจค่ะ ฉันจะไปที่นี่”
.
เวลาต่อมา…
เดมี่ก้าวขาลงจากรถประจำทาง หันมองซ้ายขวาด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะเดินเข้ามาในตรอกคับแคบที่ดูเปล่าเปลี่ยว
บรรยากาศสองข้างทางเงียบสงัด สายลมพัดผ่านให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก มีเพียงเสียงแมลงที่พอจะเป็นเพื่อนร่วมทาง พระอาทิตย์เริ่มจะลาลับขอบฟ้า เหลือแค่เพียงแสงไฟสลัวจากข้างทางที่พอจะส่องแสงให้เห็นเลือนลาง
สองมือกอดกระเป๋าไว้แน่นราวกับหวงแหนนักหนา มันเป็นเถ้ากระดูกของพ่อกับแม่และเป็นทรัพย์สมบัติเพียงอย่างเดียวที่หลงเหลืออยู่
“มาหาใคร”
ชายฉกรรจ์เดินเข้ามาทัก เมื่อเห็นท่าทางของหญิงสาวที่ยืนลับๆ ล่อๆ เกาะประตูรั้วชะเง้อคอมองคนที่เดินผ่านไปมา
“มาหาคุณอา” เดมี่ยื่นนามบัตรเพื่อเป็นหลักฐาน มองไปยังตึกสูงมโหฬารที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาเมื่อมองเห็นป้ายชื่อตัวโตว่า ‘SBD Casino’ ในที่สุดเธอก็มาถูกทางแล้ว
“ได้นัดไว้หรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ ไม่ได้นัด”
“ถ้าไม่ได้นัดก็เข้าพบนายไม่ได้”
“แต่ฉันเดือดร้อนจริงๆ ฉันต้องการพบคุณอา”
“ที่นี่ไม่ใช่สถานสงเคราะห์ จะไปขอทานที่ไหนก็ไป!” สภาพของหญิงสาวตัวอ้วนดูอิดโรยซ่อมซ่อ ไม่เหมือนกับแขกของเจ้านายเลยสักนิด
“แต่ฉันไม่ใช่ขอทานนะ”
“สภาพแบบนี้น่ะเหรอที่เป็นแขกนาย”
“ฉันมาหาอาแฟรงก์ ฉันเป็นลูกสาวของคุณเจย์เดน”
“ไปเล่นไกลๆ อีหนู ถ้านายมาเจอเดี๋ยวได้ซวยกันหมด” นายใหญ่ว่าดุมากแล้ว แต่นายน้อยโหดเหี้ยมและน่าเกรงขามมากกว่าหลายเท่า
“ฉันขอพบคุณอาหน่อยนะคะ ฉันรู้จักคุณอาจริงๆ”
“วันนี้นายใหญ่กลับไปแล้ว ตอนนี้อยู่แต่นายน้อย”
“นายน้อย?” คิ้วเรียวคิ้วขมวดปมเข้าหากันอย่างหนึ่งสงสัย นายน้อยคือใครเธอไม่รู้จัก
“คุณบุรินทร์ ลูกชายของนายใหญ่”
“เฮียเฟยเหรอ ฉันขอเจอเฮียเฟยก็ได้”
“…..” ชายฉกรรจ์ชุดดำหยุดชะงักมองสำรวจคนที่เพิ่งมาใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างถี่ถ้วน ถ้ารู้จักชื่อเล่นของเจ้านายได้นั่นแปลว่าไม่ใช่แขกธรรมดา
“เอาน่าลูกพี่ เผื่อบางทีนายน้อยอยากจะลองของแปลก” ชายฉกรรจ์อีกคนกระซิบข้างหูออกความเห็น “แต่จะว่าไปผิวพรรณนังเด็กคนนี้ก็ดีนะ ขาวจั๊วะเลย”
“…..”
“งั้นตามมาทางนี้ จะพาไปหานายน้อย”
“…..” หญิงสาวออกอาการดีใจนอกหน้านอกตา รีบเดินตามชายฉกรรจ์เข้ามาในตัวอาคารโดยไม่ทันคิดระแวง
“นั่งรอตรงนี้! อย่าคิดเดินเพ่นพ่าน ต้องรอให้นายน้อยนวดตัวและทำสปาเสร็จถึงจะเข้าพบได้”
“อีกนานไหมคะ”
“สองชั่วโมงหรือถ้ารอไม่ได้ก็กลับไป”
“รอได้ค่ะ”
สองชั่วโมงผ่านไป
“ขออนุญาตครับนาย” ลูกน้องคนสนิทรีบเดินเข้าไปรายงานผู้เป็นเจ้านายที่กำลังนั่งนอนคว่ำหน้าเปลือยกายอยู่บนเตียงโดยมีพนักงานสาวสวยคู่ใจยืนประกบคอยนวดตัวให้เหมือนอย่างเช่นทุกวัน
“มีอะไร” บุรินทร์ปรือตามองเพียงนิดหลังจากถูกขัดจังหวะ ก่อนจะหยุดการกระทำอย่างหัวเสีย
“มีคนมาขอพบนายครับ”
“ไม่เห็นหรือไงว่ากูทำอะไรอยู่” พอได้ยินน้ำเสียงเรียบนิ่งของผู้เป็นนายบริเวณโดยรอบก็เงียบสงัดลงในทันทีราวกับว่าไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้น
ถึงแม้ว่าเจ้านายจะไม่ได้ตะคอกหรือส่งเสียงดัง แต่ก็สามารถทำให้คนที่ได้ยินต้องเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก
“แต่เธอบอกมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับนายใหญ่ด้วยครับ”
“ใคร?”
“เห็นบอกว่าชื่อรามิครับ” ลูกน้องคนสนิทต่างมองหน้ากัน ก่อนจะยกมือเกาหัวอย่างงุนงง “เอ่อ…ไม่ใช่ครับนาย เธอบอกว่าชื่อเรย์มี่ครับ”
“เรย์มี่?” บุรินทร์ค่อยหลับตาลงช้าๆ พลางคิดทบทวน แต่ไม่คุ้นเคย
“ใช่ครับ เธอบอกว่าชื่อเรย์มี่”
“ไล่มันออกไป!”
“…..”
โรงพยาบาล “น้องจิ๋วมาแล้ว” “ไหนๆ ขอดูบ้าง” “ทำไมน้องไม่ลืมตา” “ตัวนิ่มมากเลย ลองจับดูสิ” เสียงบทสนทนาของพวกเด็กน้อยกำลังพูดคุยกันอย่างไร้เดียงสา ยืนล้อมวงจ้องมองสมาชิกใหม่ที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียงไม่กี่วัน “ตัวเป็นอะไร ทำไมไม่มาดูน้องคนใหม่” ฟรานเดินเข้าไปถามแฝดน้องที่เอาแต่นั่งกอดอกทำหน้าบึ้งตึงไม่ยอมพูดจา “เบื่อ! เค้าไม่อยากได้น้องผู้ชาย เค้าอยากมีน้องผู้หญิง” เด็กชายบ่นพึมพำพลางเบือนหน้าหันหนี “ผู้ชายก็ดีนะ ตัวจะได้ไม่เหงา จะได้มีเพื่อนเล่นไง” “เล่นแต่ฟุตบอลกับปั่นจักรยานจนเบื่อแล้ว อยากเล่นอย่างอื่นบ้าง” “แล้วอย่างอื่นที่แฝดว่ามันคืออะไร อยากเล่นขายของหรือเล่นตุ๊กตาเหรอ” ใบหน้าน้อยๆ ของฟรานเอียงคอมองน้องชายฝาแฝดอย่างไม่เข้าใจ “เพราะหม่ามี๊เลือกน้องให้เราไม่ได้” “แล้วทำไมแด๊ดดี้ถึงมีแต่ลูกผู้ชาย ทำไมถึงไม่มีลูกผู้หญิงบ้าง” เด็กชายตัดพ้อทำสีหน้าเศร้า ถ้ามีน้องผู้ชายเพิ่มขึ้นมาอีกคนคงได้ปวดหัวกว่าเดิม “เพร
หลายเดือนผ่านไป “อาการของคุณฟาเรนดีขึ้นมากเลยค่ะ วันนี้ทำกายภาพได้หลายอย่างเลย” เดมี่ยิ้มกว้างพร้อมกับหัวใจที่พองโตหลังจากได้ยินข่าวดีจากพยาบาลที่ดูแลลูกชาย ตั้งแต่ได้รับตัวยาชนิดใหม่จากบุรินทร์ อาการของฟาเรนก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ จากกล้ามเนื้อที่เคยอ่อนแรงค่อยๆ ขยับได้มากขึ้น กลายเป็นช่วยเหลือตัวเองได้ดีและเดินเองได้ในที่สุด “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยดูแลฟาเรนให้เป็นอย่างดี” “คุณฟาเรนใจสู้มากค่ะ อีกไม่นานคงวิ่งเล่นกับพวกพี่ๆ ได้อย่างแน่นอน” “มี่รักแด๊ดดี้นะ รักที่สุดในโลก” หญิงสาวเดินเข้าไปกอดชายหนุ่มไว้แน่นแทนคำขอบคุณ ใบหน้าจิ้มลิ้มซบลงบนแผงอกแกร่งอย่างออดอ้อน “อะไรของเธอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นมองการกระทำเหล่านั้น ถึงแม้จะดูเหมือนไม่ค่อยใส่ใจแต่หัวใจของเขายังคงเต้นแรงกับผู้หญิงคนนี้อยู่ตลอด ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน มันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมเสมอมา “เพราะมีแด๊ดดี้ ฟาเรนถึงมีอาการดีขึ้นในทุกวัน ถ้าไม่ได้แด๊ดดี้ช่วยดูแล ลูกคงแย่แน่เลยค่ะ” บุรินทร์อ
“ฟาเรน!” เด็กชายหันไปตามเสียงเรียกที่คุ้นเคย ไปหน้าน้อยๆ เอียงคอมองด้วยความสงสัยเมื่อเห็นพี่สาววิ่งเข้ามากอด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าบอกว่าปู่จะพาไปเที่ยวต่างประเทศ “ไหนบอกว่าปู่จะพาไปเล่นสกีที่ญี่ปุ่นไง” “ไม่อยากไปแล้ว เอาไว้ให้ฟาเรนหายป่วย พวกเราค่อยไปด้วยกัน” ฟรานโผกอดน้องชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นวิลแชร์ด้วยความคิด เด็กหญิงไม่ได้คิดเสียใจหรือเสียดายเลยสักนิด พวกเขาสามคนตกลงกันแล้วว่าจะไม่ขอไปเที่ยวถ้าเกิดไม่มีฟาเรน หรือถ้าจะไปก็ต้องไปพร้อมกัน “ไปวิ่งเล่นกัน แด๊ดดี้ทำสนามเด็กเล่นให้พวกเราอันใหม่ใหญ่เบ้อเริ่มเลย” “แต่แด๊ดดี้ไม่ให้ออกจากบ้านนะ เดี๋ยวไม่สบาย” ฟาเรนพูดเสียงเบา สีหน้าดูซึมลงอย่างน่าสงสาร เขารู้ตัวเองเสมอว่าไม่ใช่เด็กปกติเหมือนคนทั่วไป “ตอนนี้แด๊ดดี้ไม่อยู่ ทางสะดวกแล้วนะ อยากไปไหม” “ยะ…อยากไป” พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะวาดสายตาหันซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ “งั้นก็รีบขี่หลังพี่เลย” “จะไม่โดนแด๊ดดี้ตีใช่ไหม”
“ทำอะไรอยู่ตัวเล็ก” “ก่อประสาททรายอยู่ครับ” ฟาเรนเด็กชายวัยห้าขวบหันไปตอบผู้เป็นพ่อ ก่อนจะหันกลับมาสนใจสิ่งตรงหน้าดังเดิม “เล่นคนเดียวเหงาไหม” บุรินทร์ยืนมองลูกน้อยที่นั่งเล่นอยู่ไม่ไกล ข้างกายของฟาเรนมีรถเข็นวิลแชร์ประตำแหน่งและพยาบาลพิเศษมากถึงสามคนคอยประคบประหงมอยู่ไม่ห่าง ถึงแม้ว่าฟาเรนจะมีอายุห้าขวบ แต่น้ำหนักและสัดส่วนค่อนข้างตกเกณฑ์ต่ำกว่าเด็กปกติทั่วไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลข้างเคียงมาจากการคลอดก่อนกำหนด “หนูอยากมีเพื่อน” เด็กชายบอกผ่านน้ำเสียงเศร้าสร้อยท่าทางซึมลงจนสังเกตได้ ตั้งแต่จำความได้ เขาถูกเลี้ยงดูแตกต่างจากเด็กทั่วไป ในขณะที่พวกพี่ได้วิ่งเล่นแต่ฟาเรนทำได้แค่นั่งมองอยู่ในห้องพักปลอดเชื้อต้องให้ยาทุกสี่ชั่วโมง “อย่านั่งตากแดดนาน เดี๋ยวไม่สบาย” “คุณปู่ไม่รักฟาเรนเหรอครับแด๊ดดี้ ทำไมถึงไม่พาหนูไปเที่ยวด้วย” คำถามของลูกชายทำเอามาเฟียหนุ่มหยุดชะงักนิ่งไป หัวอกคนเป็นพ่อสั่นไหวค่อยๆ ย่อตัวนั่งลงข้าง
“แฟรงก์มา!”เด็กน้อยที่นั่งอยู่ต่างหันขวับกันอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าน้อยๆ ของหลานฉีกยิ้มกว้างเมื่อมองเห็นปู่ที่เดินเข้ามาหลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายเดือน“แฟรงก์…แฟรงก์!” เด็กหญิงตะโกนเรียกซ้ำๆ กระโดดโลดเต้นดีใจรีบวิ่งเข้าไปกอดด้วยความคิดถึงวันนี้ในมือปู่มีขนมแถมยังหิ้วของเล่นมาฝากหลานเยอะแยะ ตามใจกว่าแด๊ดดี้และหม่ามี๊ก็คงจะเป็นผู้ชายคนนี้“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกปู่ ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นของพวกเอ็งนะ” คนเป็นปู่ถอนหายใจมองหน้าไอ้พวกเด็กฝรั่งที่ไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอนแต่ได้พอสบสายตาอันไร้เดียงสาเหล่านั้น หัวใจแกร่งก็ยอมโอนอ่อนให้โดยดี“ปู่คืออะไร” ฟาโรห์ตัวป่วนเอียงคอถามอย่างสงสัย“คือพ่อของพ่อไง”“แล้วพ่อคือใคร” พอได้ยินแบบนั้นยิ่งทำให้งงไปกันใหญ่“พ่อก็คือแด๊ดดี้ไง ภาษาไทยเขาเรียกว่าพ่อ”“เข้าใจแล้ว”“เดี๋ยวนี้ลืมกันแล้วสิ ทำไมพวกเอ็งถึงไม่ไปหาปู่บ้างเลย” บุรินทร์ภัทรแสร้งทำท่าทางตัดพ้อน้อยใจ อยู่ที่บ้านก็เอาแต่ชะเง้อคอคอยมองทางหลานน้อยอยู่ทุกวัน“ไม่ได้ลืมสักหน่อย แต่แด๊ดดี้ไม่ให้ไป” เด็กหญิงพูดแทรกน้ำเสียงเจื้อยแจ้วแต่สีหน้ากลับดูซึมลงอย่างเห็นได้ชัด“อยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปเที่ย
ห้างสรรพสินค้า“อ้าปากสิ เดี๋ยวฉันป้อน” มาเฟียหนุ่มบรรจงตักไอศกรีมคำโตจ่อไปที่ริมฝีปากเล็ก“…..” เดมี่ส่ายหน้าปฏิเสธ เธอเอาแต่คิดถึงลูกน้อยจนไม่เป็นอันทำอะไร“ไหนเคยบอกว่าอยากกินไอติม ก็พามาแล้วยังจะต้องการอะไรอีก”“มี่อยากรู้ว่าลูกเป็นยังไงบ้าง”“ไว้ถึงบ้านแล้วค่อยคุย”“มี่อยากรู้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้มะ…มันไม่มีจิตใจอยากทำอะไรแล้ว” ดวงตาคู่สวยสั่นคลอนอย่างหนัก หยดน้ำตาไหลอาบใบหน้าอย่างสุดกลั้น “ทำไมแด๊ดดี้ถึงไม่บอกกันสักคำว่าลูกเป็นอะไร”“…..”ยิ่งเขาไม่พูดมันออกมา ยิ่งทำให้เธอแทบเสียสติ ในสมองมันเอาแต่คิดมากไปเองต่างๆ นานา “อยากเห็นมี่ขาดใจตายก่อนเหรอ”“ที่ไม่บอกเพราะลูกไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องร้องไห้” บุรินทร์ถอนหายใจหนัก เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาออกให้ ความทุกข์ของเดมี่ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวก็คือเรื่องลูก “ทางโรงพยาบาลเขาโทรมาแจ้งข่าวดี”“ข่าวดี?” คนตัวเล็กรีบยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแบบลวกๆ หลังจากได้ยินประโยคที่เฝ้ารอมานานแสนนาน“อาการลูกดีขึ้นมาก ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเราจะได้ไปรับลูกออกจากโรงพยาบาลด้วยกันอาทิตย์หน้า”“พูดจริงใช่ไหม อย่าหลอกให้ดีใจนะ” รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าแสนห