-สิบปีผ่านไป-
‘ล้อมจับแก๊งค้าอาวุธเถื่อนย่านอรัญประเทศ พบอาวุธสงครามและเครื่องกระสุนเป็นจำนวนมากเตรียมส่งออกมาเล บุกยึดของกลางได้จำนวนไม่ตำกว่าสามร้อยล้านบาท ตำรวจคาดการณ์ทายาทลูกชายตระกูลดังเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง’
พรึ่บ!
บุรินทร์เหลือบหางตามองเพียงนิดเมื่อถูกแผ่นเอกสารจำนวนมากฟาดเข้าที่ใบหน้าอย่างแรง
ตอนนี้เขากำลังเป็นที่จับตามองจากสังคมหลังจากถูกตำรวจบุกค้นโกดังสินค้าจนไปเจอหลักฐานสำคัญ
“ของเฮียใช่ไหม”
“…..”
“ทำไมถึงยังไม่เลิกทำงานพวกนี้”
“…..” ไม่มีคำตอบจากปากของชายหนุ่ม ‘บุรินทร์’ ในวัยยี่สิบเก้าปี เขาเป็นถึงอดีตแพทย์ฝีมือดีที่ผันตัวมาเป็นนักธุรกิจสืบทอดกิจการต่อจากผู้เป็นพ่อ
“ตอบคำถามป๊าด้วย”
“…..” บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานอยู่
บุรินทร์มองหน้าคนทั้งสองสลับกันเพียงนิด บุรินทร์ภัทร(แฟรงก์-แฝดพี่)คือพ่อผู้ให้กำเนิด ส่วนบุรินทร์วัชร์(ฟริน-แฝดน้อง) คือคนที่เลี้ยงมา ให้ความเคาคนับถือเสมือนพ่อแท้ๆ
“ต้องรอให้ป๊าตายก่อนใช่ไหมถึงจะคิดได้”
“เอาน่าไอ้แว่น แค่เรื่องเล็กน้อยมึงจะทำให้มีปัญหาทำไม” ผู้เป็นพ่อใบหน้าซีดเผือด หันซ้ายมองขวาอย่างร้อนรน นานมากแค่ไหนแล้วที่ไม่เห็นได้น้องชายโมโหจนฟิวส์ขาดเลือดขึ้นหน้าขนาดนี้
“เล็กน้อยอะไรไอ้แฟรงก์ ลูกเราทำเกินไปนะ”
“เดี๋ยวกูจัดการเรื่องนี้เอง มึงจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ทำไม”
“เพราะเฟยมีพ่อแบบมึงไง ให้ท้ายลูกจนไม่รู้อะไรถูกผิด”
“ถ้ามึงจะด่าก็ด่ากูคนเดียว แต่อย่าว่าเฮีย” แฟรงก์เดินเข้าไปขวางหน้าระหว่างคนทั้งสอง รีบออกหน้ารับแทนลูกชาย
“มึงจำคำกูไว้นะ ถ้ายังคุมลูกไม่ได้แบบนี้ อีกไม่นานมึงคงได้ฉิบหายทั้งหมดนี้แน่!” ฟรินถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า มองหน้าคนทั้งสองอย่างเอือมระอา มันเลี้ยงลูกตามใจให้ท้ายจนเสียผู้เสียคน บุรินทร์ถึงมีนิสัยก้าวร้าว หัวรุนแรงไม่ฟังใคร
ปึง! บานประตูห้องทำงานถูกปิดดังลั่นพร้อมกับบุรินทร์วัชร์ที่เดินออกจากห้องไปด้วยอารมณ์เดือดดาล ขืนทนอยู่ต่อไป คงอดไม่ไหวหยิบปืนขึ้นมาเป่าสมองสองพ่อลูกตรงนี้แน่
“หมดธุระหรือยัง ถ้าเสร็จจะได้กลับ” บุรินทร์ถามผ่านน้ำเสียงเรียบนิ่ง ล้วงหยิบมวนบุหรี่ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาจุดสูบต่อหน้าผู้เป็นพ่อ
“ดูเหมือนว่าครั้งนี้ป๊าฟรินจะโกรธจริง เฮียรีบไปขอโทษเลยนะ” แฟรงก์รีบเดินเข้าไปหาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่นั่งอยู่
บนตักของบุรินทร์มีตุ๊กตากระต่ายเก่าๆ ที่คอยถือไปไหนมาไหน เขาหวงมันมากคนรอบตัวต่างรู้ดี
“ขอโทษทำไม ผมทำอะไรผิด ที่พวกมันตายก็สมควรแล้ว”
“แต่ป๊าว่าครั้งนี้เฮียทำเกินไป” ผู้เป็นพ่อหันซ้ายมองขวา กระซิบบอกลูกชายข้างใบหู
“เป็นคนสอนเองไม่ใช่เหรอ ไม่ให้หายใจอยู่ร่วมโลกกับศัตรู” ฝ่ามือหนาลูบไล้ตุ๊กตาตัวโปรดราวกับหวงแหนมันนักหนา ก่อนจะคลี่ยิ้มบางเย็นยะเยือกจนทำให้ผู้เป็นพ่อรีบขยับตัวถอยห่าง “ใครที่มันทำให้เราผิดหวัง อย่าคิดจะเก็บมันไว้!”
“…..”
…
-SBD Casino-
ตึกตัก…
เสียงฝีเท้านับสิบดังขึ้นอย่างรีบร้อน ลูกน้องชายฉกรรจ์ชุดดำที่อยู่บริเวณนั้น ต่างรีบพากันวิ่งวุ่นเข้ามาต้อนรับผู้เป็นนายที่เพิ่งมาถึง
ชายหนุ่มวาดสายตามองไปบริเวณโดยรอบ ก่อนจะก้าวขาลงจากรถตู้คันหรูราคาแพงที่กระจกรอบคันปิดทึบด้วยฟิล์มดำมืด ตัวรถถูกห่อหุ้มด้วยเกาะกันกระสุนชนิดพิเศษ
ความสูงของเขาราวๆ หนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ริมฝีปากคาบมวนบุหรี่ สีหน้าเรียบนิ่งดูไร้อารมณ์กับสิ่งรอบข้าง ตัดผมทรงสกินเฮดจนเกือบจะติดหนังหัว ใบหน้าเข้มดุรับกับดวงตาเฉี่ยวคม ทำให้ดูน่าเกรงขามจนลูกน้องพากันก้มหน้าหลบสายตา
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง พ่นควันบุหรี่จนลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ตามหลังมีลูกน้องคนสนิทคอยเดินประกบทั้งซ้ายและขวา
ใบหน้าคมคายเคลือบไปด้วยหยาดเหงื่อจนเงาวับ เหมือนคนที่เพิ่งผ่านการออกกำลังกายมาอย่างหนักหน่วง หุ่นหนาอัดแน่นไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ
‘บุรินทร์’ คือทายาทเพียงคนเดียวของบุรินทร์ภัทร เจ้าของกาสิโนแห่งนี้ อีกไม่นานเขาจะเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นผู้บริหารเต็มตัวแทนผู้เป็นพ่อ
เขาถูกขนานนามกลายเป็นที่รู้จักและยกย่องมีอิทธิพลบารมีกว้างขวางอยู่แถวหน้าในแวดวงธุรกิจสีเทา
บุรินทร์ประสบความสำเร็จสร้างเม็ดเงินได้มหาศาลจนถูกขนานนามตั้งแต่อายุยังน้อยจากเส้นทางที่ผู้เป็นพ่อเตรียมไว้ให้ จนกลายเป็นที่ยอมรับทำให้มีผู้คนมากมายคอยก้มหัวให้ความเคารพนับหน้าถือตา
แต่ในเมื่อมีคนรักมากก็ย่อมมีคนเกลียดมากด้วยเช่นกัน นิสัยเด็ดขาดไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครหน้าไหน ทำให้บุรินทร์เป็นที่จับตามองของฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะทำอะไรจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังขึ้นไปอีก
“กว่าจะเจอตัวเป็นๆ ได้ ยากเย็นเหลือเกินนะเสี่ย”
เสียงทักทายของเพื่อนสนิทช่วยดึงความสนใจจากชายหนุ่มอีกครั้ง
“พวกมึงพากันเสนอหน้าเข้ามาทำไม” บุรินทร์หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง มองคนทั้งสองด้วยความรำคาญใจ
เดรกซ์และน็อกซ์ คือเพื่อนสนิทที่เติบโตมาด้วยกัน รู้จักมาตั้งแต่สมัยหัวเกรียนเรียนมัธยมชายล้วน
“คิดถึงเสี่ยน่ะสิ ไม่เจอเกือบครึ่งปี เป็นยังไงบ้าง” กว่าจะเจอเพื่อนรักอย่างตัวเป็นๆ แบบนี้ได้ลำบากลำบนยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร บุรินทร์เข้าถึงยากแถมยังต้องนัดล่วงหน้าเป็นเดือนๆ
“ไม่ต้องบ้าน้ำลาย มีอะไรก็พูดมา”
“เดือนหน้าผมมีธุรกิจที่กำลังจะเปิดใหม่ เลยอยากมาอาศัยบารมีของเสี่ยคุ้มกะลาหัวสักหน่อย” เดรกซ์มองหน้าเพื่อนสนิทก่อนจะยิ้มให้อย่างรู้ใจกัน หยิบเช็คเงินสดจำนวนถึงแปดหลักวางลงบนโต๊ะ “จำนวนตัวเลขเล็กๆ น้อยๆ พอจะเป็นค่าเสียเวลาให้เสี่ยได้ไหม”
“ก็ตามนั้น”
“ขอบคุณมากครับที่กรุณา”
“…..” บุรินทร์ไม่ได้ตอบคำถาม ชำเลืองมองไปยังคนแปลกหน้าที่นั่งอยู่ทางด้านหลังของเพื่อนสนิท
“พวกผมกลัวเสี่ยจะเหงา ผมเลยหาคนมาเล่นเป็นเพื่อน”
นายแบบหุ่นแน่นผิวขาวหน้าตาจัดเข้าขั้นว่าหล่อเหลาไม่ใช่เล่น ส่วนอีกคนเป็นถึงนักแสดงสาวสวยดาวรุ่งสัดส่วนอวบอั๋น
“เด็กใหม่ผมเอง อยากพามาฝากเนื้อฝากตัวกับเสี่ย” เพราะรู้ว่าบุรินทร์มีรสนิยมเป็นไบเซ็กชวลที่ชอบได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง ถ้าพบเจอใครที่ถูกชะตาต้องใจ มันจัดได้หมดไม่มีติด “วันนี้เสี่ยอยากได้แบบไหนเลือกเอาสิ หรือถ้าถูกใจ…เสี่ยจะเอาทั้งหมดก็ย่อมได้”
“บอกคนของมึงไปรอในห้อง เดี๋ยวกูตามไป”
“แต่ช่วยเบามือกับน้องมันหน่อยนะ พอดีคนของผมมีงานต่อ”
“คนของมึงมันกระจอกเอง จะมาโทษกูฝ่ายเดียวไม่ได้”
“เชิญตามสบายเลยเสี่ย เดี๋ยวพวกผมกินเหล้านั่งเฝ้าน้องไข่เน่าให้เอง” เดรกซ์ได้แต่มองตามแผ่นหลังของเพื่อนสนิทที่เดินหายเข้าไปในห้องพักส่วนตัว
“…..”
“ว่าไงไอ้เน่า ไม่เจอกันนานแกดูเก่าขึ้นเยอะเลยนะ” เดรกซ์หยิบตุ๊กตาตัวโปรดของบุรินทร์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นมาจับ ก่อนจะขยี้มันเบาๆ แล้วโยนเล่นไปมา “ตุ๊กตาเก่าราคาถูก ทำไมพ่อแกถึงหวงนักหนา”
ตุบ! กำปั้นหนักๆ ของไอ้น็อกซ์ทุบลงบนหลังของเขาอย่างแรงแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
“ไอ้น็อกซ์ ไอ้เวร! หลังกูแทบหัก”
“ไปจับของมันทำไม อยากตายหรือไง รีบวางลง!”
โรงพยาบาล “น้องจิ๋วมาแล้ว” “ไหนๆ ขอดูบ้าง” “ทำไมน้องไม่ลืมตา” “ตัวนิ่มมากเลย ลองจับดูสิ” เสียงบทสนทนาของพวกเด็กน้อยกำลังพูดคุยกันอย่างไร้เดียงสา ยืนล้อมวงจ้องมองสมาชิกใหม่ที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียงไม่กี่วัน “ตัวเป็นอะไร ทำไมไม่มาดูน้องคนใหม่” ฟรานเดินเข้าไปถามแฝดน้องที่เอาแต่นั่งกอดอกทำหน้าบึ้งตึงไม่ยอมพูดจา “เบื่อ! เค้าไม่อยากได้น้องผู้ชาย เค้าอยากมีน้องผู้หญิง” เด็กชายบ่นพึมพำพลางเบือนหน้าหันหนี “ผู้ชายก็ดีนะ ตัวจะได้ไม่เหงา จะได้มีเพื่อนเล่นไง” “เล่นแต่ฟุตบอลกับปั่นจักรยานจนเบื่อแล้ว อยากเล่นอย่างอื่นบ้าง” “แล้วอย่างอื่นที่แฝดว่ามันคืออะไร อยากเล่นขายของหรือเล่นตุ๊กตาเหรอ” ใบหน้าน้อยๆ ของฟรานเอียงคอมองน้องชายฝาแฝดอย่างไม่เข้าใจ “เพราะหม่ามี๊เลือกน้องให้เราไม่ได้” “แล้วทำไมแด๊ดดี้ถึงมีแต่ลูกผู้ชาย ทำไมถึงไม่มีลูกผู้หญิงบ้าง” เด็กชายตัดพ้อทำสีหน้าเศร้า ถ้ามีน้องผู้ชายเพิ่มขึ้นมาอีกคนคงได้ปวดหัวกว่าเดิม “เพร
หลายเดือนผ่านไป “อาการของคุณฟาเรนดีขึ้นมากเลยค่ะ วันนี้ทำกายภาพได้หลายอย่างเลย” เดมี่ยิ้มกว้างพร้อมกับหัวใจที่พองโตหลังจากได้ยินข่าวดีจากพยาบาลที่ดูแลลูกชาย ตั้งแต่ได้รับตัวยาชนิดใหม่จากบุรินทร์ อาการของฟาเรนก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ จากกล้ามเนื้อที่เคยอ่อนแรงค่อยๆ ขยับได้มากขึ้น กลายเป็นช่วยเหลือตัวเองได้ดีและเดินเองได้ในที่สุด “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยดูแลฟาเรนให้เป็นอย่างดี” “คุณฟาเรนใจสู้มากค่ะ อีกไม่นานคงวิ่งเล่นกับพวกพี่ๆ ได้อย่างแน่นอน” “มี่รักแด๊ดดี้นะ รักที่สุดในโลก” หญิงสาวเดินเข้าไปกอดชายหนุ่มไว้แน่นแทนคำขอบคุณ ใบหน้าจิ้มลิ้มซบลงบนแผงอกแกร่งอย่างออดอ้อน “อะไรของเธอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นมองการกระทำเหล่านั้น ถึงแม้จะดูเหมือนไม่ค่อยใส่ใจแต่หัวใจของเขายังคงเต้นแรงกับผู้หญิงคนนี้อยู่ตลอด ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน มันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมเสมอมา “เพราะมีแด๊ดดี้ ฟาเรนถึงมีอาการดีขึ้นในทุกวัน ถ้าไม่ได้แด๊ดดี้ช่วยดูแล ลูกคงแย่แน่เลยค่ะ” บุรินทร์อ
“ฟาเรน!” เด็กชายหันไปตามเสียงเรียกที่คุ้นเคย ไปหน้าน้อยๆ เอียงคอมองด้วยความสงสัยเมื่อเห็นพี่สาววิ่งเข้ามากอด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าบอกว่าปู่จะพาไปเที่ยวต่างประเทศ “ไหนบอกว่าปู่จะพาไปเล่นสกีที่ญี่ปุ่นไง” “ไม่อยากไปแล้ว เอาไว้ให้ฟาเรนหายป่วย พวกเราค่อยไปด้วยกัน” ฟรานโผกอดน้องชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นวิลแชร์ด้วยความคิด เด็กหญิงไม่ได้คิดเสียใจหรือเสียดายเลยสักนิด พวกเขาสามคนตกลงกันแล้วว่าจะไม่ขอไปเที่ยวถ้าเกิดไม่มีฟาเรน หรือถ้าจะไปก็ต้องไปพร้อมกัน “ไปวิ่งเล่นกัน แด๊ดดี้ทำสนามเด็กเล่นให้พวกเราอันใหม่ใหญ่เบ้อเริ่มเลย” “แต่แด๊ดดี้ไม่ให้ออกจากบ้านนะ เดี๋ยวไม่สบาย” ฟาเรนพูดเสียงเบา สีหน้าดูซึมลงอย่างน่าสงสาร เขารู้ตัวเองเสมอว่าไม่ใช่เด็กปกติเหมือนคนทั่วไป “ตอนนี้แด๊ดดี้ไม่อยู่ ทางสะดวกแล้วนะ อยากไปไหม” “ยะ…อยากไป” พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะวาดสายตาหันซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ “งั้นก็รีบขี่หลังพี่เลย” “จะไม่โดนแด๊ดดี้ตีใช่ไหม”
“ทำอะไรอยู่ตัวเล็ก” “ก่อประสาททรายอยู่ครับ” ฟาเรนเด็กชายวัยห้าขวบหันไปตอบผู้เป็นพ่อ ก่อนจะหันกลับมาสนใจสิ่งตรงหน้าดังเดิม “เล่นคนเดียวเหงาไหม” บุรินทร์ยืนมองลูกน้อยที่นั่งเล่นอยู่ไม่ไกล ข้างกายของฟาเรนมีรถเข็นวิลแชร์ประตำแหน่งและพยาบาลพิเศษมากถึงสามคนคอยประคบประหงมอยู่ไม่ห่าง ถึงแม้ว่าฟาเรนจะมีอายุห้าขวบ แต่น้ำหนักและสัดส่วนค่อนข้างตกเกณฑ์ต่ำกว่าเด็กปกติทั่วไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลข้างเคียงมาจากการคลอดก่อนกำหนด “หนูอยากมีเพื่อน” เด็กชายบอกผ่านน้ำเสียงเศร้าสร้อยท่าทางซึมลงจนสังเกตได้ ตั้งแต่จำความได้ เขาถูกเลี้ยงดูแตกต่างจากเด็กทั่วไป ในขณะที่พวกพี่ได้วิ่งเล่นแต่ฟาเรนทำได้แค่นั่งมองอยู่ในห้องพักปลอดเชื้อต้องให้ยาทุกสี่ชั่วโมง “อย่านั่งตากแดดนาน เดี๋ยวไม่สบาย” “คุณปู่ไม่รักฟาเรนเหรอครับแด๊ดดี้ ทำไมถึงไม่พาหนูไปเที่ยวด้วย” คำถามของลูกชายทำเอามาเฟียหนุ่มหยุดชะงักนิ่งไป หัวอกคนเป็นพ่อสั่นไหวค่อยๆ ย่อตัวนั่งลงข้าง
“แฟรงก์มา!”เด็กน้อยที่นั่งอยู่ต่างหันขวับกันอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าน้อยๆ ของหลานฉีกยิ้มกว้างเมื่อมองเห็นปู่ที่เดินเข้ามาหลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายเดือน“แฟรงก์…แฟรงก์!” เด็กหญิงตะโกนเรียกซ้ำๆ กระโดดโลดเต้นดีใจรีบวิ่งเข้าไปกอดด้วยความคิดถึงวันนี้ในมือปู่มีขนมแถมยังหิ้วของเล่นมาฝากหลานเยอะแยะ ตามใจกว่าแด๊ดดี้และหม่ามี๊ก็คงจะเป็นผู้ชายคนนี้“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกปู่ ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นของพวกเอ็งนะ” คนเป็นปู่ถอนหายใจมองหน้าไอ้พวกเด็กฝรั่งที่ไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอนแต่ได้พอสบสายตาอันไร้เดียงสาเหล่านั้น หัวใจแกร่งก็ยอมโอนอ่อนให้โดยดี“ปู่คืออะไร” ฟาโรห์ตัวป่วนเอียงคอถามอย่างสงสัย“คือพ่อของพ่อไง”“แล้วพ่อคือใคร” พอได้ยินแบบนั้นยิ่งทำให้งงไปกันใหญ่“พ่อก็คือแด๊ดดี้ไง ภาษาไทยเขาเรียกว่าพ่อ”“เข้าใจแล้ว”“เดี๋ยวนี้ลืมกันแล้วสิ ทำไมพวกเอ็งถึงไม่ไปหาปู่บ้างเลย” บุรินทร์ภัทรแสร้งทำท่าทางตัดพ้อน้อยใจ อยู่ที่บ้านก็เอาแต่ชะเง้อคอคอยมองทางหลานน้อยอยู่ทุกวัน“ไม่ได้ลืมสักหน่อย แต่แด๊ดดี้ไม่ให้ไป” เด็กหญิงพูดแทรกน้ำเสียงเจื้อยแจ้วแต่สีหน้ากลับดูซึมลงอย่างเห็นได้ชัด“อยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปเที่ย
ห้างสรรพสินค้า“อ้าปากสิ เดี๋ยวฉันป้อน” มาเฟียหนุ่มบรรจงตักไอศกรีมคำโตจ่อไปที่ริมฝีปากเล็ก“…..” เดมี่ส่ายหน้าปฏิเสธ เธอเอาแต่คิดถึงลูกน้อยจนไม่เป็นอันทำอะไร“ไหนเคยบอกว่าอยากกินไอติม ก็พามาแล้วยังจะต้องการอะไรอีก”“มี่อยากรู้ว่าลูกเป็นยังไงบ้าง”“ไว้ถึงบ้านแล้วค่อยคุย”“มี่อยากรู้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้มะ…มันไม่มีจิตใจอยากทำอะไรแล้ว” ดวงตาคู่สวยสั่นคลอนอย่างหนัก หยดน้ำตาไหลอาบใบหน้าอย่างสุดกลั้น “ทำไมแด๊ดดี้ถึงไม่บอกกันสักคำว่าลูกเป็นอะไร”“…..”ยิ่งเขาไม่พูดมันออกมา ยิ่งทำให้เธอแทบเสียสติ ในสมองมันเอาแต่คิดมากไปเองต่างๆ นานา “อยากเห็นมี่ขาดใจตายก่อนเหรอ”“ที่ไม่บอกเพราะลูกไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องร้องไห้” บุรินทร์ถอนหายใจหนัก เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาออกให้ ความทุกข์ของเดมี่ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวก็คือเรื่องลูก “ทางโรงพยาบาลเขาโทรมาแจ้งข่าวดี”“ข่าวดี?” คนตัวเล็กรีบยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแบบลวกๆ หลังจากได้ยินประโยคที่เฝ้ารอมานานแสนนาน“อาการลูกดีขึ้นมาก ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเราจะได้ไปรับลูกออกจากโรงพยาบาลด้วยกันอาทิตย์หน้า”“พูดจริงใช่ไหม อย่าหลอกให้ดีใจนะ” รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าแสนห