“เสวี่ยหนิงเป็นเพียงสตรีบอบบาง เรื่องวันนี้นางกระทำผิดจริง ๆ แต่ก็ถูกโบยไปแล้ว และถูกด่าทอไปแล้ว ความโกรธก็น่าจะทุเลาลงแล้วใช่หรือไม่?”“แทบเอาชีวิตไม่รอดแล้วอย่างไรเล่า? ฮูหยินของข้าถูกนางผลัก ไม่เพียงแค่ตนเองเป็นอันตรายเท่านั้น แม้แต่เด็กในครรภ์ก็เป็นอันตรายเช่นกัน”“หากมิใช่ว่านางมีจิตคิดร้าย และต้องการทำร้ายผู้อื่น นางจะลงเอยเช่นนี้ได้อย่างไร?”ฉู่อวิ๋นกุยหัวเราะเยาะ “ข้าก็ว่าอยู่ถังเสวี่ยหนิงยังมิได้ออกเรือน จะกระทำความผิดซ้ำซากเช่นนี้ได้อย่างไร ที่แท้ก็เป็นเพราะความปล่อยปละละเลยของถังฮูหยินนี่เอง!”“คิดปองร้ายทายาทเชื้อพระวงศ์ ถูกโบยสามสิบไม้ถือว่าเบาที่สุดแล้ว หากถังฮูหยินมิพอใจ เช่นนั้นให้พวกเราไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อกล่าวชี้แจงให้ชัดเจนดีหรือไม่”“ถึงเวลานั้น คุณหนูถังก็ไม่ต้องเข้าจวนเหลียงอ๋องอีกต่อไปแล้ว”แววตาของฉู่จวินถิงเย็นชา คล้ายกับว่าต้องการทำให้เรื่องราวบานปลายอัครเสนาบดีตระหนักได้ถึงท่าทีของฉู่จวินถิง หัวใจก็พลันเต้นระรัว ฉู่อ๋องผู้นี้เดิมทีจัดการได้ยากอยู่แล้ว ตอนนี้อีกฝ่ายยังจับจุดอ่อนได้อีก ถึงจะไม่เต็มใจเพียงใดก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีโบยสามสิบไม้...คงหลี
“ซ่งรั่วเจิน เจ้าสาปแช่งข้ารึ?”ฉีชิงอีโกรธจนทำอะไรไม่ถูก นางแต่งงานกับเหลียงอ๋องมาหลายปี แต่ก็ยังมิได้ตั้งครรภ์ จึงถูกผู้คนประณามอยู่แล้วเพียงแต่ว่า เนื่องจากสุขภาพร่างกายของเหลียงอ๋องไม่แข็งแรง ทุก ๆ คนจึงมิได้โยนความรับผิดชอบทั้งหมดให้นางเสียทีเดียว ทว่าเมื่อซ่งรั่วเจินเอ่ยประโยคนี้ออกมา มิใช่ว่ามันกลายเป็นความรับผิดชอบของนางหรอกหรือ?“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร มีสิทธิ์อันใดมาสาปแช่งข้า?”ซ่งรั่วเจินมีสีหน้าเมินเฉย “ข้าพยายามช่วยทำนายดวงชะตาให้แก่เจ้า ว่าชั่วชีวิตนี้เจ้ามิอาจมีบุตรได้ จะได้ช่วยเหลียงอ๋องรับอนุเสียแต่เนิ่น ๆ มิฉะนั้นเจ้าจะทำผิดต่อเหลียงอ๋องแล้วจริง ๆ”เมื่ออัครเสนาบดีและฮูหยินเข้ามาถึง เดิมทีทั้งสองคนกำลังโกรธ และร้อนใจแทนบุตรสาวแต่เผอิญได้ยินคำพูดนี้ ก็อดประหลาดใจมิได้นับตั้งแต่การแต่งงานของเสวี่ยหนิงถูกกำหนดขึ้น พวกเขาก็วางแผนไว้เพื่อบุตรสาวแล้ว การได้แต่งงานเข้าจวนเหลียงอ๋องนั้นถือว่าดีแล้ว แม้จะเป็นเพียงชายารอง แต่จนถึงบัดนี้เหลียงอ๋องก็ยังมิมีทายาทสืบสกุลเสวี่ยหนิงมีชาติตระกูลสูง ตราบใดที่มีทายาทสืบสกุลให้เหลียงอ๋องได้ก่อน ในอนาคตจะไม่มีโอกาสมาช่วงชิงกับพร
“จุ๊ ๆ โบยสามสิบไม้ยังถือว่าน้อยเกินไปสำหรับเจ้านัก”ถังเสวี่ยหนิงถูกตีจนตาพร่าเป็นดาวระยิบระยับ ราวกับว่านางจะหมดสติลงในไม่ช้า ทว่าจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงอันคุ้นหู จึงทำให้นางอดมิได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเห็นโฉมหน้าอันงดงามเย้ายวนใจนั้น ในแววตาของนางก็เปี่ยมล้นไปด้วยความเกลียดชังอย่างท่วมท้น“ซ่งรั่วเจิน นังสารเลว เจ้าอย่าเพิ่งดีใจไปเลย!”“เพี๊ยะ!”ซ่งรั่วเจินยกมือขึ้นตบเข้าไปหนึ่งฉาด จนใบหน้าครึ่งซีกของถังเสวี่ยหนิงปูดบวมขึ้นมาทันที“ข้าว่าเจ้าไม่รู้จักสำนึกผิดสักนิดเลยนะ ก่อนหน้านี้คิดปองร้ายพระชายาอวิ๋นอ๋องและบุตรในครรภ์ของนาง บัดนี้ยังจะมาล่วงเกินข้าอีก เจ้ากล้าด่าข้าว่านังสารเลวอย่างนั้นหรือ?”“ไป๋จื่อ! ตบปากนาง!”เพียงไป๋จื่อได้ยิน ก็รีบก้าวเข้าไป นางเองก็อยากตบถังเสวี่ยหนิงมานานแล้ว ในที่สุดโอกาสนี้ก็มาถึง!“เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ!”เดิมทีไป๋จื่อก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์อยู่แล้ว นางจึงลงมืออย่างไม่เกรงใจหลังจากที่ซ่งรั่วเจินทิ้งท้ายหนึ่งประโยคนางก็เดินเข้าไปในร้าน เพียงแค่มองเข้าไปก็เห็นฉีชิงอีที่ใบหน้าถูกบาดจนเป็นรอยเลือด คราวนี้ฉู่อวิ๋นกุยลงมืออย่างไม่เกรงใจ เพียงแต่...ซ่งรั
ฉีชิงอีรู้สึกถึงความเจ็บแปลบบนใบหน้า พอนำมือไปลูบคลำก็ปรากฏว่ามีเลือดไหลออกมานางเบิกตาโพลง อย่างไม่อยากจะเชื่อ “คนที่ผลักนางล้มคือถังเสวี่ยหนิงมิใช่ข้า แล้วเจ้ามาตบข้าทำไมกัน?”“คิดว่าคนอื่นไม่รู้ ว่าท่านทำอะไรอย่างนั้นหรือ ท่านคิดว่าข้าตาบอดหรือ?”“คิดจริง ๆ หรือว่าโยนความผิดให้แพะรับบาปแล้วจะมิต้องกังวลอะไร?”“ข้าขอเตือนท่านเลยนะว่า เล่ห์อุบายเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะแสดงต่อหน้าข้า!”ในดวงตาของฉู่อวิ๋นกุยเต็มไปด้วยความรังเกียจ ระหว่างเขากับเหลียงอ๋องเดิมทีมิได้มีเรื่องขัดแย้งกัน ทว่านับตั้งแต่เหตุการณ์เมืองฉีหยาง เขาก็รับรู้ถึงความบาดหมางระหว่างเหลียงอ๋องกับเสด็จพี่สามเขาและเสด็จพี่สามเป็นพี่น้องโดยสายเลือดแท้ แน่นอนว่าเขาจะต้องยืนอยู่ฝ่ายเสด็จพี่สามบัดนี้เมื่อเห็นฉีชิงอีและถังเสวี่ยหนิงร่วมมือกันรังแกฮวนเอ๋อร์ เขาจึงอดคิดมิได้ว่าแผนการร้ายนี้อาจจะเป็นความตั้งใจของจวนเหลียงอ๋องถึงอย่างไร เรื่องบางเรื่องที่ผู้ชายทำไม่ได้ ก็จะใช้สตรีในครอบครัวเหล่านี้เป็นเครื่องมือแทนการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างสตรี โดยปกติแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ถึงแม้จะทะเลาะกันจริง ๆ ขึ้นมา ก็เพียงแค่ตักเ
“ไม่แน่ว่าวิธีที่เจ้าใช้อาจจะเหมือนกันกับนางก็เป็นได้ มิเช่นนั้นอวิ๋นอ๋องที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นเจ้าอยู่ในสายตา เหตุใดถึงมาแต่งงานกับเจ้าได้เล่า?"เหยาอวี้จือขมวดคิ้วแน่น “พระชายาเหลียงอ๋อง ถึงในจวนของพวกท่านจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น มันก็มิได้หมายความว่าผู้อื่นจะเป็นเหมือนกันนะเจ้าคะ ท่านกุเรื่องเท็จใส่ร้ายป้ายสีฮวนเอ๋อร์เช่นนี้ มันจะไม่ไร้ยางอายเกินไปหน่อยหรือเจ้าคะ”“แล้วเจ้าถือดียังไง? พวกข้ากำลังพูดอยู่เจ้ามีสิทธิ์มาปากมากหรือ?”ฉีชิงอีรู้อยู่แก่ใจว่ากู้ฮวนเอ๋อร์มิใช่คนที่ใครจะรังแกได้ง่ายๆ อวิ๋นอ๋องเป็นโอรสของฮองเฮา อีกทั้งเป็นน้องชายคนสนิทของฉู่อ๋อง บวกกับตระกูลราชครูกู้ที่มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา แต่เหยาอวี้จือหาได้มีความสำคัญอันใดไม่?“เพี๊ยะ!”ฉีชิงอียกมือขึ้นตบเข้าไปอีกฉาด “เจ้ายังไม่รีบคุกเข่าขอขมาข้าอีก!”“กู้ฮวนเอ๋อร์ เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เป็นบ้าก็ไปรักษาสิ ตนเองไร้ความสามารถ แล้วทำได้แค่ระบายความโกรธกับผู้อื่นเช่นนี้หรือ!”กู้ฮวนเอ๋อร์ผลักฉีชิงอีออกไป และหันกลับไปมองเหยาอวี้จือด้วยความเป็นห่วง “เจ้าเป็นอันใดหรือไม่?”เหยาอวี้จือกุมแก้มที่ถูกตบแล้วส่ายหน้าเบา ๆ “ข้
“พี่หญิง ความจริงแล้ว ตลอดหลายปีมานี้ ท่านก็ไม่ได้ให้กำเนิดบุตรชายหรือบุตรีแก่ท่านอ๋องสักคนเลย บัดนี้รับข้าเข้าจวนมาเป็นชายารอง สำหรับท่านแล้วก็เป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง” “ท่านไม่รู้ดอกว่าบัดนี้ข้างนอกต่างลือว่าท่านขี้หึงนัก ไม่เพียงแต่ตัวเองมีบุตรไม่ได้ ยังคอยขัดขวางท่านอ๋องรับอนุ เรื่องนี้ลือออกไปเยอะเข้า ย่อมไม่มีผลดีต่อชื่อเสียงของท่านเลย!” “ตามความเห็นของข้า ท่านก็ควรใจกว้างสักหน่อย อยู่ร่วมกับข้าให้ดี รอจนถึงเวลาที่ข้าขยายเชื้อสายให้ท่านอ๋อง ทุกคนก็จะสรรเสริญท่าน ไม่ใช่หรือ?” ถังเสวี่ยหนิงกดเสียงต่ำลง นึกถึงตอนนั้นที่นางกับฉีชิงอีเป็นสหายรักกัน ก็รู้มาตลอดว่าฉีชิงอีรู้สึกเจ็บปวดเพราะตนไม่เคยตั้งครรภ์เลย ครานั้นพูดกันว่าร่างกายเหลียงอ๋องไม่ไหว แต่บัดนี้นางร่วมหลับนอนกับท่านอ๋องแล้ว ย่อมรู้ว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น แม้ท่านอ๋องในยามปกติดูป่วยออด ๆ แอด ๆ ไม่มีเรี่ยวแรงอะไร แต่บนเตียงนั้น เป็นดั่งมังกรพยัคฆ์ที่มีชีวิต… เห็นได้ชัดว่า เป็นเหลียงอ๋องที่ไม่ชอบฉีชิงอี จึงร่วมเตียงกับนางน้อยครั้ง! “เหตุใดเจ้าถึงหน้าด้านไร้ยางอายถึงเพียงนี้!” “ถังเสวี่ยหน