เมื่อเดินมาถึงที่ดินส่วนที่ใช้ทำนาปลูกข้าว บนพื้นมีคันไถเหล็กที่ซินเยว่สั่งทำมาเป็นพิเศษ เพื่อช่วยคนที่นี่เกี่ยวกับการไถพรวนกลบหน้าดิน เสี่ยวหลานที่อยากรู้อยากเห็นตามประสาก็เอ่ยถามอีกครั้ง“คุณหนูเจ้าคะ สิ่งนี้ใช่คันไถที่พวกท่านอาคนนั้นบอกใช่หรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวหลานเดินเข้าไปดูเจ้าคันไถที่วางอยู่บนพื้นอย่างสนใจ“อืม ใช่แล้วเจ้าค่ะ” ซินเยว่มองตามเสี่ยวหลานก็นึกอยากจะแกล้งนางเล่นสักหน่อย“บ่าวขอลองทำได้ไหมเจ้าคะ” เสี่ยวหลานเพิ่งเคยเห็นสิ่งแปลก ๆ นี้จึงอยากจะลองใช้ดู“เอาสิ...พี่เสี่ยวหลานเห็นเชือกที่ผูกกับไม้ตรงนั้นหรือไม่ ท่านหยิบมันขึ้นมาคล้องไว้ที่ตัวแล้วออกแรงเดินไปข้างหน้า ข้าจะเป็นคนคอยบังคับคันไถให้เองเจ้าค่ะ” ซินเยว่บอกวิธีใช้คันไถให้กับเสี่ยวหลาน“ได้เลยเจ้าค่ะ!” เสี่ยวหลานก็ทำตามที่ซินเยว่บอกนางออกแรงเดินไปข้างหน้าทันที“เอ่อ...แต่ว่าตรงนั้นมันมีไว้ให้วัวลากมิใช่หรือ” คนงานหลายคนยืนมองสตรีสองคนที่ลองใช้คันไถกันอยู่“ข้าคิดว่าการได้รับใช้คุณหนูซินเยว่นั้น ไม่ว่านางจะให้ทำอะไรแม่นางเสี่ยวหลานก็ล้วนเต็มใจ อย่าว่าแต่แม่นางเสี่ยวหลานเลย หากจะให้ข้าทำเช่นนั้นข้าก็ยินดีทำนะ” ทุกคนพอ
วันนี้ก่อนที่จะไปตรวจงานบริเวณที่ดินตรงเชิงเขาที่ซื้อไว้ ซินเยว่แวะเข้าไปพบอี้ซวนเป็นอย่างแรก เพราะเมื่อวันก่อนนางถูกอี้ซวนเรียกให้มาช่วยสอนวิธีการเล่นไพ่ เห็นเช่นนี้ก็เข้าใจได้ไม่ยากว่า คงอยากจะใช้มันเพื่อกระชับความสัมพันธ์กับมารดาของนางกระมัง“คารวะท่านอาหวงเจ้าค่ะ เป็นอย่างไรเจ้าคะครั้งแรกเล่นหมดไปกี่ตำลึง” มาถึงซินเยว่ก็ถามเรื่องที่ไปเล่นไพ่กับมารดาของตนทันที“ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ของเจ้าร่วมมือกับสาวใช้โกงข้า คงไม่หมดถึงห้าร้อยตำลึงเงินหรอก เหอะ” แม้เขาจะรู้ว่าลี่หลินส่งสัญญาณผ่านสายตากับสาวใช้ จนเสียเงินไปหลายตำลึงแต่เขาก็ยังยินดีที่จะเล่นต่อไป“ท่านก็รู้ว่าถูกโกงแต่ก็ยังเต็มใจยอมให้ท่านแม่ชนะทุกครั้งนี่เจ้าคะ” เสียเงินไปหลายตำลึงแต่ก็ยังยิ้มมีความสุขอยู่ได้ คลั่งรักเกินไปแล้วกระมังว่าที่บิดาของนาง“ข้าไม่อยากให้นางเสียใจยอมนางกับเรื่องแค่นี้จะเป็นอะไรไป” เขาจะกล้าเปิดโปงแผนการของสตรีที่เขารักได้อย่างไร‘เฮ้อ ทำไมคนรอบตัวข้าถึงเป็นเช่นนี้ไปเสียหมดนะ ถ้าไม่ขาดก็เกินข้าละไม่เข้าใจจริง ๆ’“ได้ข่าวว่าเมืองเหลียงซานสามารถแก้ปัญหาขอทานและคนไร้บ้านได้แล้วงั้นรึ?” จู่ ๆ อี้ซวนถามเรื่องนี้กั
ซินยว่เดินตามหาเสี่ยวหลานตามมุมต่าง ๆ จนมาเจอนางยืนค้นหาตำราอย่างตั้งอกตั้งใจ ถึงกับไม่รู้ตัวว่านางมายืนอยู่ด้านหลัง“พี่เสี่ยวหลานกำลังค้นหาตำราอะไรอยู่หรือเจ้าคะ” ซินเยว่ยืนมองอยู่ตั้งนานแต่เสี่ยวหลานก็ยังไม่รู้ตัว จึงเอ่ยเรียกออกไปด้วยน้ำเสียงที่ดังพอสมควร“อุ๊ย!! คุณหนูบ่าวไม่ได้เข้ามาหาตำราปกขาวอะไรเช่นนั้นเลยนะเจ้าคะ” เสี่ยวหลานเมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ก็รีบยกมือขึ้นปิดปากตนเองทันที“ข้าจะกลับแล้วเจ้าค่ะ” ซินเยว่ได้ยินคำตอบของเสี่ยวหลานก็นึกขำนางอยู่ในใจ นึกว่าหายไปที่ไหนตั้งนานที่แท้มาแอบหาตำราปกขาวอยู่นี่เองแต่ก่อนที่จะเดินออกจากร้านซินเยว่บังเอิญเห็นตรงผนังข้างประตู มีข้อความเขียนเอาไว้มากมาย ดูเหมือนจะเป็นข้อความเกี่ยวกับปรัชญาชีวิต แต่ยังพอมีพื้นที่เหลืออยู่ให้เขียนเพิ่มได้นางจึงหันไปถามเถ้าแก่“เถ้าแก่ ไม่ทราบว่าตรงนี้คืออะไรหรือเจ้าคะ” นางชี้ไปตรงผนังข้างประตูทางเข้าออกร้าน“ที่ตรงนั้นมีไว้ให้พวกบัณฑิตที่มาที่นี่เขียนปรัชญาของตน เพื่อแบ่งปันความคิดกันขอรับ หากคุณหนูอยากเขียนก็สามารถเขียนได้เลยขอรับ” เถ้าแก่อธิบายให้นางฟังอย่างกันเองมากเมื่อได้ฟังคำตอบจากเถ้าแก่ก็อยากม
วันนี้ซินเยว่สะพายกระเป๋าลายน่ารักใบไม่ใหญ่มาก เดินหาร้านขายตำราในเมืองเหลียงซานกับเสี่ยวหลาน จนมาเจอร้านกลางเก่ากลางใหม่ร้านหนึ่งจึงเดินเข้าไปดูด้านในของร้านเสียหน่อย“สวัสดีขอรับคุณหนู เชิญเข้ามาดูด้านในก่อนได้ขอรับ” เจ้าของร้านเอ่ยทักทายอย่างกระตือรือร้นซินเยว่มองดูเจ้าของร้านที่เป็นบุรุษ อายุน่าจะประมาณสามสิบสามปี พูดจาสุภาพอ่อนน้อมกับลูกค้า โดยรวมแล้วดูคล้ายกับบัณฑิตอยู่ไม่น้อย“ข้าขอลองเดินดูก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ” ซินเยว่ขออนุญาตเถ้าแก่ก่อนจะเดินดูภายในร้านตำรา“ได้สิขอรับ ถ้าคุณหนูถูกใจตำราเล่มไหนค่อยซื้อก็ยังได้ขอรับ” เถ้าแก่ร้านพูดด้วยความเป็นกันเองซินเยว่พยักหน้าให้เถ้าแก่ร้าน แล้วก็เดินเข้าไปสำรวจดูตำราตามชั้นด้านใน ตำราที่เห็นค่อนข้างเก่าสีกระดาษและหมึกก็ซีดจาง คงไม่ค่อยมีลูกค้าเข้ามาที่ร้านสักเท่าใดนักซึ่งต่างจากร้านตำราขนาดใหญ่ก่อนหน้านี้ ที่นางและเสี่ยวหลานแวะเข้าไปเพียงแค่บอกว่าขอเดินดูตำรา พวกนางก็ถูกไล่ออกจากร้านทันที พอเดินสำรวจมาจนถึงมุมหนึ่งของร้าน ก็เห็นว่ามีบุรุษนั่งจับกลุ่มอ่านตำราอยู่สองสามคน“รบกวนถามเถ้าแก่ กลุ่มบุรุษที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องนั้นกำลังทำอะไรกัน
ทหารที่พาตัวสายลับเข้ามาเอาตัวพวกเขาทั้งสองคน มานั่งคุกเข่าลงต่อหน้าหยางหมิงจากนั้นถึงได้เริ่มทำการไต่สวนทันที“ถ้าพวกเจ้ายอมสารภาพทุกอย่างออกมาข้าจะไว้ชีวิต แต่ถ้าไม่ยอมพูดข้าจะสังหารพวกเจ้าทิ้งซะ เอาล่ะพวกเจ้าสองคนชื่ออะไรกันบ้าง”“อย่าบอกพวกมันนะ จินเข่อ พวกมันพูดเช่นนั้นเพราะอยากให้เราสารภาพ พวกมันไม่มีทางไว้ชีวิตพวกเราจริง ๆ หรอก”“อย่าห่วงเลยข้าไม่มีวันเปิดปากบอกพวกมันเด็ดขาด ขอบใจเจ้ามาก รุ่ยเข่อ ที่เตือนเรื่องนี้กับข้า” ทั้งสองคนโต้ตอบกันไปมาทุกคนในคุกลับแห่งนี้ล้วนตะลึงกับการสนทนาของสองคนนี้ยิ่งนัก พวกเขาเป็นสายลับจากเผ่าทูเจี๋ยจริง ๆ ใช่หรือไม่“พวกเจ้าจะชื่ออะไรข้าไม่อยากรู้แล้ว ตอนนี้บอกมาว่าพวกเจ้าลักลอบเข้ามาที่แคว้นหยุน มีจุดประสงค์อะไรกันแน่” หยางหมิงเอ่ยถามทั้งสองคนอีกครั้ง“ฮ่า ๆ ๆ ถามไปก็เท่านั้นข้าไม่บอกพวกเจ้าหรอก” จินเข่อตอบอย่างขอไปทีโดยไม่มีท่าทีเกรงกลัว เขาผ่านการฝึกทรมานร่างกายมามากมาย ถูกทรมานแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้หรอกผั้วะ!! อั่กก..กร๊อบ!! อ๊ากกกก หยางหมิงต่อยไปที่ใบหน้าของสายลับคนแรก จากนั้นก็เหยียบลงที่มืออีกข้างจนได้ยินเสียงเหมือนกระดูกหัก“(เจ้าพวกโง่
“ศิษย์พี่ท่านมาเมืองเหลียงซานครั้งนี้ จะรั้งอยู่ที่นี่นานหรือไม่ขอรับ” เฟยเทียนถามศิษย์พี่ของตน ซึ่งเขาเพิ่งจะเดินทางจากเมืองหลวงมาถึงเมืองเหลียงซานวันนี้ ทั้งสองอยู่ในห้องส่วนตัวของเหลาอาหารแห่งหนึ่งในเมือง“คงต้องสอบสวนสายลับพวกนั้นก่อน ว่าจะมีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง แต่ที่แปลกใจก็คือข้าไม่ได้มาเยือนเมืองเหลียงซานเพียงไม่นาน แต่ทำไมที่นี่ถึงดูเจริญรุ่งเรืองมากกว่าแต่ก่อนนักการค้าขายก็คึกคักผู้คนเดินสวนกันเต็มไปหมด ตอนที่ข้าเดินทางมาที่นี่ก็ได้ยินผู้คนหรือเหล่าพ่อค้า ต่างเล่าลือถึงความงามของสตรีเมืองเหลียงซาน ไหนจะการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าลวดลายงดงาม ไหนจะการแต่งหน้าที่ไม่เหมือนที่อื่นส่วนที่พักก็ต้องเป็นโรงเตี๊ยมหลิ่งซาน ที่มีอาหารแสนอร่อยรวมทั้งน้ำชาเลิศรสกับของว่างที่ไม่เหมือนใคร หากเจ็บป่วยจากการเดินทางก็ต้องไปรักษาที่โรงหมอของท่านหมอซ่ง ที่มีฝีมือการรักษาดีเยี่ยมทั้งยาที่ใช้ก็มีสรรพคุณล้ำเลิศ ข้าได้ยินเรื่องเหล่านี้มาตลอดทางเลยล่ะ” หยางหมิงพูดถึงเรื่องที่เขาได้ยินมาตลอดการเดินทางเฟยเทียนพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องที่ศิษย์พี่ของเขาเล่าออกมา เหล่าพ่อค้าพวกนั้นมักจะแวะมาพักที่