ซินยว่เดินตามหาเสี่ยวหลานตามมุมต่าง ๆ จนมาเจอนางยืนค้นหาตำราอย่างตั้งอกตั้งใจ ถึงกับไม่รู้ตัวว่านางมายืนอยู่ด้านหลัง“พี่เสี่ยวหลานกำลังค้นหาตำราอะไรอยู่หรือเจ้าคะ” ซินเยว่ยืนมองอยู่ตั้งนานแต่เสี่ยวหลานก็ยังไม่รู้ตัว จึงเอ่ยเรียกออกไปด้วยน้ำเสียงที่ดังพอสมควร“อุ๊ย!! คุณหนูบ่าวไม่ได้เข้ามาหาตำราปกขาวอะไรเช่นนั้นเลยนะเจ้าคะ” เสี่ยวหลานเมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ก็รีบยกมือขึ้นปิดปากตนเองทันที“ข้าจะกลับแล้วเจ้าค่ะ” ซินเยว่ได้ยินคำตอบของเสี่ยวหลานก็นึกขำนางอยู่ในใจ นึกว่าหายไปที่ไหนตั้งนานที่แท้มาแอบหาตำราปกขาวอยู่นี่เองแต่ก่อนที่จะเดินออกจากร้านซินเยว่บังเอิญเห็นตรงผนังข้างประตู มีข้อความเขียนเอาไว้มากมาย ดูเหมือนจะเป็นข้อความเกี่ยวกับปรัชญาชีวิต แต่ยังพอมีพื้นที่เหลืออยู่ให้เขียนเพิ่มได้นางจึงหันไปถามเถ้าแก่“เถ้าแก่ ไม่ทราบว่าตรงนี้คืออะไรหรือเจ้าคะ” นางชี้ไปตรงผนังข้างประตูทางเข้าออกร้าน“ที่ตรงนั้นมีไว้ให้พวกบัณฑิตที่มาที่นี่เขียนปรัชญาของตน เพื่อแบ่งปันความคิดกันขอรับ หากคุณหนูอยากเขียนก็สามารถเขียนได้เลยขอรับ” เถ้าแก่อธิบายให้นางฟังอย่างกันเองมากเมื่อได้ฟังคำตอบจากเถ้าแก่ก็อยากม
วันนี้ซินเยว่สะพายกระเป๋าลายน่ารักใบไม่ใหญ่มาก เดินหาร้านขายตำราในเมืองเหลียงซานกับเสี่ยวหลาน จนมาเจอร้านกลางเก่ากลางใหม่ร้านหนึ่งจึงเดินเข้าไปดูด้านในของร้านเสียหน่อย“สวัสดีขอรับคุณหนู เชิญเข้ามาดูด้านในก่อนได้ขอรับ” เจ้าของร้านเอ่ยทักทายอย่างกระตือรือร้นซินเยว่มองดูเจ้าของร้านที่เป็นบุรุษ อายุน่าจะประมาณสามสิบสามปี พูดจาสุภาพอ่อนน้อมกับลูกค้า โดยรวมแล้วดูคล้ายกับบัณฑิตอยู่ไม่น้อย“ข้าขอลองเดินดูก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ” ซินเยว่ขออนุญาตเถ้าแก่ก่อนจะเดินดูภายในร้านตำรา“ได้สิขอรับ ถ้าคุณหนูถูกใจตำราเล่มไหนค่อยซื้อก็ยังได้ขอรับ” เถ้าแก่ร้านพูดด้วยความเป็นกันเองซินเยว่พยักหน้าให้เถ้าแก่ร้าน แล้วก็เดินเข้าไปสำรวจดูตำราตามชั้นด้านใน ตำราที่เห็นค่อนข้างเก่าสีกระดาษและหมึกก็ซีดจาง คงไม่ค่อยมีลูกค้าเข้ามาที่ร้านสักเท่าใดนักซึ่งต่างจากร้านตำราขนาดใหญ่ก่อนหน้านี้ ที่นางและเสี่ยวหลานแวะเข้าไปเพียงแค่บอกว่าขอเดินดูตำรา พวกนางก็ถูกไล่ออกจากร้านทันที พอเดินสำรวจมาจนถึงมุมหนึ่งของร้าน ก็เห็นว่ามีบุรุษนั่งจับกลุ่มอ่านตำราอยู่สองสามคน“รบกวนถามเถ้าแก่ กลุ่มบุรุษที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องนั้นกำลังทำอะไรกัน
ทหารที่พาตัวสายลับเข้ามาเอาตัวพวกเขาทั้งสองคน มานั่งคุกเข่าลงต่อหน้าหยางหมิงจากนั้นถึงได้เริ่มทำการไต่สวนทันที“ถ้าพวกเจ้ายอมสารภาพทุกอย่างออกมาข้าจะไว้ชีวิต แต่ถ้าไม่ยอมพูดข้าจะสังหารพวกเจ้าทิ้งซะ เอาล่ะพวกเจ้าสองคนชื่ออะไรกันบ้าง”“อย่าบอกพวกมันนะ จินเข่อ พวกมันพูดเช่นนั้นเพราะอยากให้เราสารภาพ พวกมันไม่มีทางไว้ชีวิตพวกเราจริง ๆ หรอก”“อย่าห่วงเลยข้าไม่มีวันเปิดปากบอกพวกมันเด็ดขาด ขอบใจเจ้ามาก รุ่ยเข่อ ที่เตือนเรื่องนี้กับข้า” ทั้งสองคนโต้ตอบกันไปมาทุกคนในคุกลับแห่งนี้ล้วนตะลึงกับการสนทนาของสองคนนี้ยิ่งนัก พวกเขาเป็นสายลับจากเผ่าทูเจี๋ยจริง ๆ ใช่หรือไม่“พวกเจ้าจะชื่ออะไรข้าไม่อยากรู้แล้ว ตอนนี้บอกมาว่าพวกเจ้าลักลอบเข้ามาที่แคว้นหยุน มีจุดประสงค์อะไรกันแน่” หยางหมิงเอ่ยถามทั้งสองคนอีกครั้ง“ฮ่า ๆ ๆ ถามไปก็เท่านั้นข้าไม่บอกพวกเจ้าหรอก” จินเข่อตอบอย่างขอไปทีโดยไม่มีท่าทีเกรงกลัว เขาผ่านการฝึกทรมานร่างกายมามากมาย ถูกทรมานแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้หรอกผั้วะ!! อั่กก..กร๊อบ!! อ๊ากกกก หยางหมิงต่อยไปที่ใบหน้าของสายลับคนแรก จากนั้นก็เหยียบลงที่มืออีกข้างจนได้ยินเสียงเหมือนกระดูกหัก“(เจ้าพวกโง่
“ศิษย์พี่ท่านมาเมืองเหลียงซานครั้งนี้ จะรั้งอยู่ที่นี่นานหรือไม่ขอรับ” เฟยเทียนถามศิษย์พี่ของตน ซึ่งเขาเพิ่งจะเดินทางจากเมืองหลวงมาถึงเมืองเหลียงซานวันนี้ ทั้งสองอยู่ในห้องส่วนตัวของเหลาอาหารแห่งหนึ่งในเมือง“คงต้องสอบสวนสายลับพวกนั้นก่อน ว่าจะมีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง แต่ที่แปลกใจก็คือข้าไม่ได้มาเยือนเมืองเหลียงซานเพียงไม่นาน แต่ทำไมที่นี่ถึงดูเจริญรุ่งเรืองมากกว่าแต่ก่อนนักการค้าขายก็คึกคักผู้คนเดินสวนกันเต็มไปหมด ตอนที่ข้าเดินทางมาที่นี่ก็ได้ยินผู้คนหรือเหล่าพ่อค้า ต่างเล่าลือถึงความงามของสตรีเมืองเหลียงซาน ไหนจะการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าลวดลายงดงาม ไหนจะการแต่งหน้าที่ไม่เหมือนที่อื่นส่วนที่พักก็ต้องเป็นโรงเตี๊ยมหลิ่งซาน ที่มีอาหารแสนอร่อยรวมทั้งน้ำชาเลิศรสกับของว่างที่ไม่เหมือนใคร หากเจ็บป่วยจากการเดินทางก็ต้องไปรักษาที่โรงหมอของท่านหมอซ่ง ที่มีฝีมือการรักษาดีเยี่ยมทั้งยาที่ใช้ก็มีสรรพคุณล้ำเลิศ ข้าได้ยินเรื่องเหล่านี้มาตลอดทางเลยล่ะ” หยางหมิงพูดถึงเรื่องที่เขาได้ยินมาตลอดการเดินทางเฟยเทียนพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องที่ศิษย์พี่ของเขาเล่าออกมา เหล่าพ่อค้าพวกนั้นมักจะแวะมาพักที่
ยามเฉินของเช้าวันต่อมา ลี่หลินจึงตัดสินใจจะถามความเห็นของบุตรสาว เกี่ยวกับเรื่องแต่งงานของนางกับอี้ซวน ถ้าหากบุตรสาวของนางไม่ยอม ลี่หลินก็จะทำตามความเห็นของบุตรสาว“เยว่เอ๋อร์แม่มีเรื่องอยากจะถามความเห็นของเจ้าสักหน่อย ถ้าหากว่าแม่จะแต่งงานใหม่เจ้าจะว่าอย่างไร” นางพูดออกไปแล้วก็สังเกตบุตรสาวไปด้วยว่ามีทีท่าอย่างไรกับเรื่องนี้ ลี่หลินเห็นบุตรสาวทำหน้าคิดหนักจนทนไม่ไหว“เยว่เอ๋อร์หากเจ้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แม่ย่อมตามใจเจ้าอย่างแน่นอน” ลี่หลินคิดว่าบุตรสาวคงไม่อยากให้รับคนอื่นเข้ามา เพราะกลัวว่านางจะต้องเสียใจอีก“อือออออ...ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะข้ารู้ว่าท่านแม่ตัดสินใจดีแล้ว ในเมื่อเรื่องนี้จะทำให้ท่านแม่มีความสุข ข้าจะคัดค้านด้วยเหตุใดกันเจ้าคะ” ซินเยว่ย่อมยินดีมากกว่าเมื่อมารดามีคนมาปกป้องดูแล และท่านอาอี้ซวนยังมีเบื้องหลังไม่ธรรมดา ดีกว่าบิดาผู้โง่เขลาคนนั้นตั้งไม่รู้กี่เท่า“เยว่เอ๋อร์ไม่คิดจะคัดค้านเรื่องนี้สักหน่อยหรือ?” ลี่หลินมองบุตรสาวที่ยิ้มตอบกลับมาอย่างสบายใจ ไม่มีท่าทีอย่างอื่นเลย“ท่านแม่เจ้าคะ ท่านยังสาวและตอนนี้ก็งดงามกว่าแต่ก่อนมาก ท่านควรมีบุรุษดี ๆ สักคนที่สามารถดูแลท่
ซินเยว่ที่เดินมาทางมู่เหวินกับเสี่ยวหลาน นางแสร้งใช้นิ้วมือเล็ก ๆ ของตนโบกไปมา คล้ายกับไล่กลิ่นไม่พึงประสงค์บางอย่างเสี่ยวหลานเมื่อเห็นซินเยว่ทำท่าทางเช่นนั้น จึงรีบถามออกไปด้วยความเป็นห่วง “คุณหนูรู้สึกไม่สบายหรือเจ้าคะ”“ข้าแค่เหม็นน่ะ” ซินเยว่ตอบเสี่ยวหลานไปสั้น ๆแต่คำตอบของซินเยว่กลับทำให้เสี่ยวหลานคิดไปอีกทาง เพราะเสี่ยวหลานคิดว่าตนเองก็อาบน้ำทุกเช้าแล้ว เหตุใดคุณหนูของตนยังบอกว่านางตัวเหม็นอยู่อีก ดังนั้นเสี่ยวหลานจึงตั้งใจว่า ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปนอกจากจะอาบน้ำตอนเช้าแล้ว ก่อนนอนก็ต้องอาบน้ำอีกครั้ง เจ้านายตัวน้อยจะได้ไม่บอกว่านางตัวเหม็นอีกซินเยว่ที่เห็นเสี่ยวหลานสำรวจตัวเองว่า มีกลิ่นเหม็นอย่างที่ตนพูดหรือไม่ จึงต้องอธิบายก่อนที่เสี่ยวหลานจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้“ไอหยา ข้าเหม็นความรักของพวกท่านทั้งสองคนต่างหากเจ้าคะ” พอได้ยินซินเยว่พูดเท่านั้นแหละ เสี่ยวหลานก็บิดตัวเขินเป็นเกลียวไปมาทางด้านเฟยเทียนที่รู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากห้องส่วนตัวของเหลาอาหารที่อยู่เยื้อง ๆ กับโรงหมอ ภายหลังซินเยว่กลับเรือนไปแล้ว จึงเรียกเทียนฉีมารับภารกิจเร่งด่วน เพื่อจัดการคนที่บังอาจใช้แ