“จู่ๆ เสี่ยวหรานก็ถูกท่านพาตัวกลับมา ข้าคิดว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ จึงไม่เห็นด้วยที่พ่อบ้านคังทำการต้อนรับเสียใหญ่โต เพราะเกรงว่าหากเป็นดังที่ข้ากังวล เสี่ยวหรานจะยิ่งได้รับความอับอาย แต่นอกจากนางจะไม่สนใจคำเตือนข้า ยังพยายามยกฐานะคุณหนูใหญ่มาข่มขู่ซินเอ๋อร์ เพียงเพราะน้องสาวดีใจเกินไปที่พบพี่สาวเลยเสียมารยาท”“นางด่าข้าว่าเป็นบุตรสาวที่มารดามิได้สั่งสอน พอท่านแม่อธิบาย นางก็ให้ท้ายบ่าวมาถกเถียงท่านแม่ ทั้งยังทำร้ายคนจนบาดเจ็บ ซินเอ๋อร์เลยทนมิได้เจ้าค่ะ” หลินผู่ซินกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ดวงตาที่ปานจะพ่นไฟใส่หลินเสี่ยวหรานได้เมื่อครู่ ตอนนี้กลับน้ำตาเอ่อ คล้ายคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างเหลือแสนหลินหานเจ๋อมองไปยังคนสนิทของภรรยา ที่ตอนนี้นั่งโอดโอยอยู่บนพื้น“ถ้าเจ็บจนทำงานไม่ได้ ก็ขายออกไป ข้าไม่สนใจเลี้ยงบ่าวพิการ”“นายท่าน!” เกาอี้ซินตกใจ เพราะบ่าวที่บาดเจ็บคือคนข้างกายที่อยู่ด้วยกันมาก่อนจะออกเรือน กอปรกับท่าทีของสามีที่ดูขึงขังห่างเหิน“ถ้าเจ้าอยากเก็บนางเอาไว้ ก็พาไปรักษาสิ จะให้นางมานั่งร้องไห้คร่ำครวญน่ารำคาญตรงนี้ทำไม”“ท่านพี่ หากหลินเสี่ยวหรานทำร้ายข้า ท่านยังจะพูดแบบน
“ไม่คิดว่าโตจนจะออกเรือนได้อยู่แล้ว มารดาเจ้ายังไม่ได้อบรมอีกว่า เวลาพบพี่สาวซึ่งเกิดจากฮูหยินเอกจะต้องทำเยี่ยงไร”“หลินเสี่ยวหราน เจ้า!” คราวนี้เป็นมารดาที่ไม่ได้อบรมบุตรเสียอาการ“เกาฮูหยิน ท่านต้องอบรมนางให้ดีกว่านี้นะ หากน้องสี่ออกเรือนไปทั้งอย่างนี้ เกรงว่าจะทำให้สกุลหลินขายหน้า”“ท่านแม่อย่ายอมนะเจ้าคะ หลินเสี่ยวหรานด่าว่าท่านไม่สั่งสอนข้าเจ้าค่ะ”“หุบปาก! ข้าได้ยินแล้ว” เกาอี้ซินตวัดเสียงสูงดุบุตรสาวที่ย้ำตะปูตอกฝาโลงลงมาอีก“ว่ายังไงน้องสี่” หลินเสี่ยวหรานเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว พลางจ้องมองน้องสาวต่างมารดาด้วยสายตาจริงจัง ประหนึ่งว่าหากอีกฝ่ายไม่ยอมคำนับตนนั้นถือเป็นโทษมหันต์“เรื่องอะไรที่ข้าต้องคำนับสตรีไร้ยางอาย ที่แปดเปื้อนราคีของคนชั้นต่ำไร้หัวนอนปลายเท้าที่เอามาซ่อนไว้ในเรือนอย่างเจ้าด้วย” หลินผู่ซินที่มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าตอนนี้ตนอยู่เหนือบุตรสาวอดีตฮูหยินแล้ว จึงเลิกเสแสร้งทำเป็นนอบน้อมอย่างที่ผ่านมาทุกคนที่ออกมาต้อนรับคุณหนูใหญ่รู้สึกตกใจกับข่าวที่ได้ยิน ต่างมองหน้ากันไปมา แต่ไม่มีใครกล้ามากวาจา ได้แต่ยืนฟังด้วยใจระทึก“นอกจากมารยาทแล้ว เดี๋ยวนี้เจ้ายังแต่งเรื่องใ
การเดินทางอีกหลายวันที่เหลือผ่านไปอย่างราบรื่น ในที่สุดขณะเดินทาง ก็มาถึงหน้าประตูเมืองหลวงในเวลาสายของวันหลินเสี่ยวหรานไม่อยากทำตัวเป็นจุดสนใจ จึงขอสลับกลับไปนั่งรถม้าคันเดิมกลับจวนสกุลหลิน ถึงฉู่ชิงเฟิงจะไม่เห็นด้วย ที่ว่าที่พระชายาของตนจะนั่งรถม้าเก่าซอมซ่อกลับเข้าเมือง แต่นางยืนกราน พลางพูดทิ้งท้ายว่าจะรอเขาขี่อาชาสีหมอกนำขบวนเกี้ยวเจ้าสาวมารับนางเข้าจวนซู่อ๋องดีกว่า เขาก็ยินยอมทำตามความต้องการของนางด้วยเหตุนี้ฉู่ชิงเฟิงจึงกลับไปนั่งในรถม้าหรูหราของจวนซู่อ๋อง เขาเองก็ยังไม่อยากเผชิญกับสายตาชาวบ้านที่มองมาหลังจากตัวเองหายหน้าไปนานเหมือนกันพอประตูเมืองเปิด หลินเสี่ยวหรานจึงแยกตัวกลับจวนสกุลหลินก่อน เพราะบิดาจะต้องนำคณะติดตามซู่อ๋องเข้าวังหลวงทันทีรถม้าคันเก่าของจวนสกุลหลินแล่นไปตามถนนศิลาที่คับคั่งจอแจไปด้วยผู้คน เมืองหลวงยังคงงดงามเฉกเช่นวันวาน หลินเสี่ยวหรานมองความเจริญและคึกคักผ่านหน้าต่างด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ไม่คิดว่านางจะได้กลับคืนมายังบ้านเกิดเร็วถึงเพียงนี้แม้จะเป็นรถม้าคันเก่า แต่สัญลักษณ์สกุลหลินติดชัดอยู่ พอรถม้ามาจอดที่หน้าจวน คนเฝ้าประตูตาไวจึงเปิดต้อนรับเจ้านายที่น
“จะไม่ให้กังวลได้เยี่ยงไร บางที...ในครรภ์ของเจ้าอาจจะมีหน่อเนื้อเชื้อไขของข้าอยู่แล้วก็ได้” ฉู่ชิงเฟิงคิดว่าการให้เหตุผลนี้จะยอมให้นางเปลี่ยนมานั่งรถม้าของเขา แต่กลายเป็นว่าเขาทำให้นางโกรธยิ่งขึ้น“ที่แท้ท่านอ๋องก็กลัวว่าข้าอาจจะทำให้ทายาทของท่านได้รับอันตรายนี่เอง”“ไม่ใช่อย่างนั้น โธ่เอ๋ย!” ฉู่ชิงเฟิงไม่คิดว่าการพยายามอธิบายอยู่ต่อหน้าสตรีที่กำลังโกรธ เป็นอะไรที่ยากยิ่งเช่นนี้“ไม่ใช่อย่างนั้น แล้วอย่างไหนเล่า” หลินเสี่ยวหรานเค้นเสียงหึ แล้วเบนหน้าหนีเขา“คือความจริงข้าเป็นห่วงเจ้ามากกว่า รถม้าคันนั้นคงนั่งไม่สบาย ข้าเลยอยากให้เจ้ามานั่งรถม้าของข้าแทนก็เท่านั้น”“ขอบพระทัยโซ่วอ๋องที่มีเมตตา แต่อีกไม่กี่ราตรีก็จะถึงเมืองหลวงแล้ว เสี่ยวหรานอดทนได้”“แต่ข้าทนไม่ได้” ฉู่ชิงเฟิงไม่สนใจอีกแล้วว่าใครจะมองเช่นนั้น เพียงพริบตาเขาก็ดึงหลินเสี่ยวหรานมายังอีกด้านหนึ่ง ใช้ลำต้นใหญ่โตของต้นไม้บดบังสายตาสอดรู้สอดเห็นของทุกคนอ๋องหนุ่มกดร่างระหงให้แนบชิดติดต้นไม้ แล้วก้มลงประกบริมฝีปากเล็กที่เอาแต่ประชดประชันไม่หยุดของนาง บดเบียดจุมพิตอย่างโหยหาดุดัน ถ่ายทอดความคิดถึง ความเป็นห่วง และการขออภัยที่อั
“นั่นก็เพราะเวลาข้าทำดีกับเขา คนอื่นๆ ก็จะมองมาด้วยสายตาชื่นชม แล้วจดจำข้าในฐานะสตรีจิตใจสูงส่งดีงามต่างหากเล่า ไม่ใช่เพราะข้าอยากให้เขามาสู่ขอเสียหน่อย”“เอาล่ะๆ ต่อไปเจ้าก็อย่าไปสุงสิงกับเขาอีกเล่า เดี๋ยวอู๋อ๋องจะไม่พอใจเอาได้”“จะมีครั้งต่อไปหรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย โซ่วอ๋องหายไปนานขนาดนี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะโดนเสือลากไปกินแล้วก็ได้”“เจ้าพูดอะไรน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้เลย!” เกาอี้ซินมองซ้ายมองขวากลัวว่าใครจะมาได้ยินเข้า อย่างไรฉู่ชิงเฟิงก็เป็นโอรสของฮ่องเต้ หากมีใครได้ยินวาจาราวกับแช่งชักแบบนี้เกรงว่าลูกสาวของนางจะประสบเภทภัย“ที่นี่มีแต่คนของเรา ท่านแม่จะกลัวไปไย”เกาอี้ซินได้ฟังก็จ้องหน้าหลินผู่ซินเขม็ง นึกอยากจะตีบุตรสาวให้หายซื่อ“แม่เพิ่งชมไปหยกๆ เจ้ากลับเป็นเช่นนี้ไปได้” เกาอี้ซินส่ายศีรษะ “เคยได้ยินหรือไม่ หน้าต่างมีหู ประตูมีตา ต่อไปเจ้าต้องไปอยู่ในเรือนหลังของอู๋อ๋องกับบรรดาหญิงสาวที่อยากขึ้นมาแทนที่เจ้า ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นในเรือนของตน หรือที่ไหนๆ เจ้าก็ห้ามพูดจาไม่คิดเด็ดขาด จำเอาไว้”“ซินเอ๋อร์จะจดจำคำสอนของท่านแม่เอาไว้เจ้าค่ะ”“เจ้ารู้ความเช่นนี้แม่ก็สบายใจ”สองแม่ลูกยิ้มหัวกันอย
คนประกาศขนาดนี้ แล้วเขาจะทำเช่นไรได้ หลินหานเจ๋อได้แต่ตกปากรับคำ ไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง เพราะเรื่องในเรือนหลังของเขากำลังจะถูกตรวจสอบ และดูเหมือนว่าเรื่องที่หลินเสี่ยวหรานต้องอยู่อย่างยากลำบากจะมีมูล หากตนโอนอ่อนบางทีโซ่วอ๋องอาจจะละเว้น ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงดีงามของขุนนางขั้นหนึ่งที่ได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้คงถึงกาลอวสาน“ขอบพระทัยท่านอ๋อง พ่ะย่ะค่ะ” หลังจากนิ่งฟังอยู่นานก็ไม่เห็นหลินเสี่ยวหรานทำอันใด หลินหานเจ๋อจึงต้องเรียกสตินาง “หรานเอ๋อร์ ยังไม่รีบขอบพระทัยท่านอ๋องอีก”แม้จะยังตกใจจนแทบลมจับ แต่เรื่องมาถึงป่านนี้แล้ว นางคงต้องยอมรับชะตากรรม อย่างน้อยนางก็จะได้แต่งออกจากบ้านสกุลหลินอย่างมีเกียรติ ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงว่าผู้ใดจะคิดร้ายอีก “หลินเสี่ยวหรานขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ”“เฟิงหยางขอแสดงความยินดีกับพี่รองด้วย” อู๋อ๋องที่ยืนชมความครึกครื้นอยู่นานได้จังหวะเอ่ยปาก เขายอมรับว่ารู้สึกอิจฉาฉู่ชิงเฟิง เพราะหากบอกว่าหลินผู่ซินงามแล้ว หลินเสี่ยวหรานกลับมีรูปโฉมงดงามยิ่งกว่า และคนที่ได้นางไปกลับเป็นอ๋องว่างงานอย่างพี่ชายเขา แล้วจะไม่ให้เจ็บใจได้อย่างไรเขาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ให้น้อ