“เจ้านายพี่ไปกินรังแตนที่ไหนมาอีกล่ะ ขยันกินจริงๆ เลยนะไอ้รังแตนเนี่ย โมโหทีไรมาลงที่รวีทุกที หัดพาเจ้านายไปเช็กสมองบ้างนะ ท่าจะบ้า”
ปั้นดาวพูดไม่กลัวเมฆาต่อหน้าเอกวุฒิ แต่จะว่าไป หล่อนคงไม่กล้าพูดประโยคนี้ต่อหน้าเมฆาแน่ๆ เพราะอาจตกงานไม่รู้ตัว อีกอย่างอาจถูกบิดามารดาแผ่นกบาลได้
“พูดดีไปเถอะ ระวังคุณเมฆจะได้ยิน” เอกวุฒิปราม
“ก็เพราะไม่ได้ยินไงถึงพูด พูดให้ได้ยินก็ซวยน่ะสิ” ปั้นดาวเด็กแก่แดดรู้ข้อนี้ดี “ว่าแต่ คุณเมฆไปกินรังแตนที่ไหนมาล่ะ เพื่อนแก่นจะโดนอะไรบ้างเนี่ย เป็นเพราะพี่เอกนั่นแหละ ไม่หัดดูเจ้านายดีๆ ปล่อยให้อารมณ์ไม่ดีอยู่ได้ทุกวัน”
“ไหงมาโทษกันล่ะ เวลาคุณเมฆอารมณ์ไม่ดีก็โดนกันทั้งนั้นแหละ แต่ที่โดนคนแรกคือรวีไง” เอกวุฒิพูดอีกก็ถูกอีก
“ไปดีกว่า”
“ไปไหนล่ะ”
“ไปเก็บมะม่วงให้แม่”
“งั้นพี่ไปด้วย จะได้ไปขอน้านากินมะม่วงน้ำปลาหวาน”
“ใครบอกว่าแม่จะทำน้ำปลาหวาน แม่อาจทำพริกกะเกลือก็ได้นะ” ปั้นดาวโต้กลับ
“ที่รู้เพราะน้านาฝากพี่ซื้อกุ้งแห้งไงล่ะ แค่นี้ก็รู้แล้ว”
“งั้นพี่เอกเป็นคนปีนขึ้นไปเก็บมะม่วง ส่วนหนูจะเป็นคนชี้นิ้วสั่ง ตกลงไหม”
หญิงสาวต่อรอง เอกวุฒิตอบตกลง ทั้งคู่จึงพากันเดินไปยังต้นมะม่วงลูกดก ที่ตอนนี้ออกผลเต็มต้น ขณะที่ปั้นดาวกำลังเดินไปยังจุดหมาย หล่อนก็อดห่วงเพื่อนรักไม่ได้ หากไม่ติดว่า พ่อแม่ทำงานที่นี่ เนาวรัตน์กับเมฆาไม่มีบุญคุณกับครอบครัวตน ป่านนี้ปั้นดาวอาจพาณัฐรวีหนีไปจากอเวจีแสนสวยแห่งนี้ ไปให้พ้นจากความเจ็บปวดที่เพื่อนรักเผชิญอยู่
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงนอนหันมองบานประตูห้องที่ค่อยๆ เปิดออกด้วยนัยน์ตาที่ไม่เป็นมิตรนัก คนที่ก้าวเข้ามาในห้องก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาเมฆาเท่าไหร่นัก เพียงแค่เดินเข้ามาหล่อนก็รับรู้ถึงพลังงานบางอย่าง กระตุ้นบอกจิตใต้สำนึกว่า ไม่น่าไว้วางใจ
“เดินให้มันเร็วๆ หน่อยได้ไหม” เมฆาตวาดเสียงดัง ณัฐรวีสะดุ้ง ก้าวเท้าเร็วขึ้น
“พี่เมฆเรียกรวี...” หล่อนยังไม่ทันพูดจบประโยค เสียงเข้มห้วนดังกลบเสียง
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกฉันว่าพี่ ฉันไม่ใช่พี่เธอ” ความไม่พอใจฉายชัดทั้งในน้ำเสียงและสีหน้า “มานี่”
เขาตบมือลงบนที่นอนข้างตัวเต็มแรง ณัฐรวีกลัวน้ำเสียงและสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ขาทั้งสองข้างจึงก้าวไม่ออก มันหนักเกินกว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ จะยกขึ้น และนั่นทำให้ชายเอาแต่ใจเกิดความหงุดหงิด วาดเท้าลงบนพื้นก้าวเดินมาหาหล่อนเพียงไม่กี่ก้าว
“พิรี้พิไรอยู่ได้ น่ารำคาญ” มือใหญ่จับท่อนแขนเรียวเล็กก่อนเหวี่ยงร่างงามไปบนที่นอน คร่อมร่างหล่อนไว้ “ทีหลังฉันเรียกก็ให้รีบมา ทำตัวเหมือนสาวบริสุทธิ์ไปได้ ทั้งที่ตัวเองเป็นยิ่งกว่าอีตัว”
เมฆาไม่ออมคำพูด เขาสาดคำพูดเจ็บปวดใจโดยไม่สนใจว่า คนได้ยินจะรู้สึกเช่นไร จะเสียใจมากแค่ไหน เขาไม่สน เพราะความรู้สึกที่ณัฐรวีได้รับ น้อยกว่าที่เขากับมารดาเผชิญ
ณัฐรวีมองหน้าเมฆา ชายหนุ่มรูปงาม เรือนร่างบึกบึนสมชายชาตรี เขาเป็นผู้ชายสมบูรณ์แบบ ทั้งหน้าตา รูปร่างและฐานะ ไม่แปลกที่หล่อนมอบหัวใจให้เขา รู้ทั้งรู้ว่าจะไม่ได้ความรักนั้นกลับมา สิ่งที่ได้รับคือความปวดร้าวหัวใจ จิตใจบอบช้ำ เสมือนร่างกายที่ถูกเขาย่ำยีครั้งแล้วครั้งเล่า
ภาพความทรงจำครั้งก่อนหวนเข้ามาในหัว คืนวันที่ณัฐรวีถูกพรากความสาวด้วยน้ำมือชายไม่เห็นคุณค่า เป็นวันคืนที่หล่อนไม่มีทางลืมเลือน
วันนั้นเป็นวันศุกร์ เป็นวันฌาปนกิจศพเชษฐา ทุกคนออกจากบ้านเพื่อไปส่งเชษฐาขึ้นสวรรค์ ยกเว้นณัฐรวีที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปร่วมงาน และถูกขังอยู่ในห้องนอนของตัวเอง เวลาล่วงเลยไปกว่าสามทุ่ม หล่อนรู้สึกง่วงนอน กำลังเอนตัวลงนอนบนเตียงนอน แต่ก็ต้องกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งแทบไม่ทัน เมื่อประตูห้องเปิดออกและถูกปิดลงปังใหญ่ เสียงดังสนั่น ความตกใจเรื่องเสียงน้อยกว่า ภาพใบหน้าและท่าทางของเมฆาที่บอกถึงอันตราย
“พี่เมฆ” สิ้นเสียงติดสั่นของณัฐรวี เสียงหวีดร้องตกใจดังขึ้น “ว้าย!”
เมฆาโถมตัวคร่อมร่างเล็ก ตรึงมือทั้งสองข้างของณัฐรวีไว้เหนือศีรษะ สาวใต้ร่างในวัยสิบเก้าปีหน้าตาตื่นตระหนก หวาดกลัวกับท่าทีของเขา หล่อนดิ้นรนเพื่อให้ตนเองพ้นจากเงื้อมมือเขา แต่ดูเหมือนว่า หนทางนั้นริบหรี่เหลือเกิน
“แม่เธอทำให้พ่อของฉันตาย” เมฆาเสียงเข้มใส่หน้าณัฐรวีที่ไม่อาจโต้ตอบคำพูดเขาได้ เพราะมันคือเรื่องจริง “แม่เธอเป็นนังแพศยา ทำร้าย ทำลายครอบครัวของฉัน”
ความโกรธในจิตใจเมฆามากมายนัก มากจนมันจวนเจียนระเบิดเต็มที สาเหตุการเสียชีวิตของเชษฐามาจากรุ่งวดี มารดาของณัฐรวีที่หนีตามชายชู้ไป ซึ่งชายชู้ไม่ใช่ใคร เป็นคนขับรถของเชษฐา ไม่หนีเปล่ายังหอบสมบัติหลายชิ้นไปด้วย แต่ละชิ้นราคาสูงเป็นหลักล้าน รวมมูลค่าแล้วมากกว่าสิบล้านบาท การหนีไปของ
รุ่งวดี นางไม่ได้พาณัฐรวีไปด้วย ราวกับว่าปล่อยทิ้งไว้ที่ไร่ดุจตะวัน ไม่สนใจไยดี
Chapter 45 ก้องเกียรติยืนมองณัฐรวีที่นอนร้องไห้บนเตียง ส่งเสียงสะอื้นเบาๆ ด้วยความสงสาร เห็นใจ มีความโกรธแค้นเข้ามาปะปน เมื่อวานนี้ประภาพรเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในร้านอาหารให้ตนกับก้องภพฟัง สองพ่อลูกตกใจไม่คิดว่า โลกมันจะกลม ณัฐรวีพบเจอเมฆา ชายหนุ่มที่ทำร้ายจิตใจหล่อนอย่างแสนสาหัส คิดว่าหนีมาไกลสุดท้ายก็ได้พบหน้า มิหนำซ้ำโลกมันเล็กลงทันใด เมื่อรู้ว่าเมฆาเป็นเพื่อนสนิทวรวิทย์ คนคุ้นเคยเสมือนเครือญาติ นับเวลาตั้งแต่ประภาพรพาณัฐรวีกลับมาบ้านก็ล่วงเข้าชั่วโมงที่สิบแปด แต่ไม่มีวี่แววว่าณัฐรวีจะย้ายตัวเองลงจากเตียง และนำคราบน้ำตาออกห่างใบหน้า ข้าวปลาก็ไม่กิน ทำให้คนในบ้านเป็นห่วง โดยเฉพาะก้องเกียรติที่เป็นห่วงมากกว่าใครเพื่อน ร่ำๆ จะไปคุยกับเมฆาให้รู้เรื่อง และห้ามมายุ่งเกี่ยวกับน้องสาวตน ทว่าก็ถูกบิดามารดาห้ามไว้ “ถ้าเราไม่ไปยุ่งกับเขา เขาก็จะไม่มายุ่งกับรวี อยู่นิ่งๆ ดูท่าทีเขาไปก่อน” ก้องภพเตือน ก้องเกียรติก็ทำตาม “รวี” น้ำเสียงอ่อนโยนของก้องเกียรติเอ่ยออกไป เขาทรุดตัวลงนั่งข้างณัฐรวีที่หันหลังร้องไห้ “รวีลุกไปอาบน้ำนะ แล้วลงไปกินข้าว รวียังไม่ได้กินอะ
Chapter 44วันรุ่งขึ้น ณ ไร่ดุจตะวัน เนาวรัตน์เดินนำหน้าเย็นที่ถือกระเป๋าเดินทางลงมาจากบันได เนาวรัตน์มองกิ่งโพยมที่นั่งอยู่บนโซฟารับแขกด้วยสายตาเย็นชา ไร้ความเคารพนับถือเหมือนก่อน นับตั้งแต่เกิดเรื่องคืนนั้น เนาวรัตน์หมดความนับถือกิ่งโพยม นางโกรธที่แม่สามีทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขของวงศ์ตระกูลอย่างไม่แคร์สิ่งใด เนาวรัตน์ทำใจไม่ได้กับเรื่องร้ายนั้น นางจึงวางตัวออกห่าง พูดกันน้อยลง เลี่ยงได้เป็นเลี่ยง “หล่อนจะไปไหนรัตน์” กิ่งโพยมถาม “ไปกรุงเทพค่ะ” เนาวรัตน์ตอบสั้นๆ กำลังก้าวเท้าเดินต่อไป “เดี๋ยวก่อน” คนถูกรั้งหันมามองแม่สามีช้าๆ สายตาเนาวรัตน์เฉยชา กิ่งโพยมที่ถือยศถืออย่างเริ่มไม่พอใจ “แกจะมามองฉันด้วยสายตาแบบนี้ไม่ได้นะ” เนาวรัตน์ถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ก็ยังคงสายตาเช่นเดิม “คุณแม่มีอะไรคะ” จำใจถาม ทั้งที่อยากเดินหนี “ที่ฉันมาที่นี่เพราะอยากคุยกับเมฆให้รู้เรื่อง ผัวอยู่ทาง เมียอยู่ทางแล้วเมื่อไหร่จะมีลูกสักที ฉันรอมาหลายปีแล้วนะ รอจนจะรอไม่ไหวแล้ว”กิ่งโพยมร้อนใจเรื่องนี้มาก ตอนนี้นางอายุเจ็ดสิบเก้าปี ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อี
Chapter 43หากใช่ตามที่เนาวรัตน์คาดเดา ลูกของณัฐรวีที่เมฆาเห็นคือลูกของเมฆา เป็นหลานของตน เด็กคนนั้นยังไม่ตาย เขาได้เกิดมาดูโลก ความรู้สึกผิดในใจเนาวรัตน์ที่เกาะกินเป็นเวลานาน ลบออกไปเกือบครึ่ง น้ำตาแห่งความดีใจที่รู้ว่า หลานของตนยังมีชีวิตอยู่ไหลริน เสียงสะอื้นดังไปตามสาย“คุณแม่ร้องไห้ทำไมครับ คุณแม่เป็นอะไรครับ” เมฆาถามเสียงรน“แม่...แม่...ฮือ” นางยิ่งร้องไห้หนัก“คุณแม่เป็นอะไรครับ” เมฆาถามซ้ำ ความเป็นห่วงมารดามากยิ่งขึ้นที่อยู่ๆ นางก็ร้องไห้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย“แม่มีเรื่องจะบอกลูก” เนาวรัตน์ตัดสินใจเปิดเผยความลับที่นางเก็บไว้หลายปี “แม่คิดว่า...ฮือ...คิดว่าลูกของรวีที่เมฆเห็น เป็น...ฮือ...ปะ...เป็น”เสียงสะอื้นดังมากขึ้น ทำให้คำพูดเนาวรัตน์ขาดตอน“เป็นอะไรครับ” เหตุใดมิทราบได้ เวลานี้หัวใจเขาเต้นแรงผิดปกติ เต้นกระหน่ำราวกับมีกลองศึกถูกตีอยู่ในนั้นก็ว่าได้“เป็นลูกของเมฆ” เมฆาถึงกับนิ่งอึ้ง ตัวเกร็ง ม่านตาขยายกว้าง ใบหน้าฉายชัดถึงความตกใจ ส่งผลต่อหัวใจที่ทำงานหนักมาก เต้นถี่แรงและรัวตุ้บๆ “เขาเป็นลูกของเมฆ”“ละ...ลูกของผมหรือครับ” เขาทวนเชิงถาม สมองบอกตัวเองว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร
Chapter 42ขาทั้งสองข้างของเมฆาไม่ขยับเขยื้อน คำพูดของ ประภาพรกระแทกใจเขาอย่างจัง ที่ผ่านมาเขาทำร้ายจิตใจและร่างกายณัฐรวีอย่างสุดแสน สาดใส่ความแค้น ความชิงชัง ความโกรธทั้งหมดลงที่หล่อน โดยไม่นึกถึงจิตใจคนถูกกระทำสักนิดเดียว หากเขาสำนึกผิดก็ควรปล่อยณัฐรวีไป ไปตามทางที่หล่อนกำหนดและเลือกเองปล่อย...ช่างเป็นคำพูดเสียดใจเมฆาเหลือคณานับ ในหัวเขาไม่เคยมีคำว่าปล่อยณัฐรวี ตอนที่หล่อนอยู่กับเขาที่ไร่ดุจตะวัน เมฆามีความคิดเก็บกักณัฐรวีอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต แต่พอหล่อนหนีจาก เมฆารู้สึกถึงความคลั่งในอารมณ์ เป็นความคลั่งของความคิดถึง โหยหาและเป็นห่วง ทว่าเขาไม่อาจระบายความรู้สึกที่มีในอกได้ ทุกสิ่งอย่างถูกกดทับไว้ในหัวใจและจิตใจเรื่อยมา จนถึงทุกวันนี้เมฆาได้พบเจอณัฐรวีแล้ว ตอนนี้เขาต้องใช้ความคิดอย่างหนัก ความคิดที่ว่า จะปล่อยหล่อนไป หรือจะดึงหล่อนให้กลับมาดังเดิม มีเรื่องหนึ่งที่เมฆามองเห็นชัดเจน ณัฐรวีไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว หล่อนมีครอบครัวที่พร้อมปกป้องดูแลจากภัยอันตรายทั้งปวง รวมทั้งตัวเขาด้วย ที่สำคัญที่สุด เมฆาต้องการให้ณัฐรวีกลับไปอยู่ในฐานะใด ในเมื่อตอนนี้เขามีแก้วตาเป็นภรรยา เมฆามอง
Chapter 41“แกงรัญจวนอร่อยครับ อร่อยมาก ผมยอมรับเลยว่ากินครั้งแรก เป็นครั้งแรกที่น่าประทับใจครับ” ผู้พูดคือไกรศรที่เลือกชิมแกงรัญจวนเป็นชามแรก “พร่ากะปิก็สุดๆ ครับ” โตมรเอ่ยชมบ้าง “แกทำไมไม่กินล่ะเมฆ นั่งมองกับข้าวอยู่ได้” วรวิทย์ถาม เมื่อเห็นว่า เมฆาเป็นเพียงคนเดียวที่ยังไม่ได้กินอาหาร “เออๆ” เมฆาดึงสตินึกคิดกลับมา เขาชิมแกงส้มเป็นชามแรก เนื้อปลาช่อนหั่นพอดีไม่ใหญ่ไม่เล็กถูกตักมาวางไว้ในจานข้าว ปลาสลิดที่มีอยู่แปดตัวตามจำนวนคนที่มาขึ้นมาวางบนจานหนึ่งตัว จากนั้นก็เริ่มลงมือชิมแกงส้ม เมฆาจำคำบอกของณัฐรวีได้ไม่มีลืม เขาทำตามคำบอกนั้น “คุณเมฆกินแกงส้มก่อนนะคะ เคี้ยวสักสองสามครั้งให้รู้รสชาติของแกงส้ม มันจะอยู่ในปาก แล้วค่อยกินปลาสลิดตามไปแล้วเคี้ยวไปพร้อมกัน มันจะอร่อยมากค่ะ” พระเจ้า! แม้ว่าเมฆาไม่ได้กินแกงส้มผักแปดเซียนฝีมือณัฐรวีมานานเจ็ดปี ทว่าเขาจำรสชาติได้ดีไม่มีลืม ซึ่งแกงส้มชามนี้ รสชาติและผักที่ใส่ลงไปตรงกับที่ณัฐรวีทำไม่มีผิด ประหนึ่งเขากำลังกินอาหารฝีมือณัฐรวี มันจะใช่หรือ... เมฆามีข้อกังขาในใจ สูตร
Chapter 40 จวนบ่ายสามโมงไม่กี่นาที รถตู้ของวรวุฒินำลูกชายและกลุ่มเพื่อนสนิทมาถึงร้านอาหารเมฆินทร์ ร้านอาหารแห่งนี้มีพื้นที่สองไร่ไม่ขาดไม่เกิน เป็นส่วนอาคารร้านอาหารคิดเป็นหนึ่งในสี่ ส่วนหนึ่งเป็นสวนหย่อมเต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาพรรณ ศาลาไม้ระแนงตั้งวางอยู่สามหลัง มีไว้ให้ลูกค้าทั้งในส่วนร้านอาหารและร้านกาแฟนั่งพักผ่อนหย่อนใจ ที่เหลือจะเป็นลานจอดรถที่จอดได้นับร้อยคัน หากเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันนักขัตฤกษ์ ลานจอดรถจะล้นมาจอดริมถนนเป็นทางยาว “ร้านอาหารใหญ่มากเลยนะครับคุณพ่อ พื้นที่น่าจะไม่ต่ำกว่าหนึ่งไร่” ไกรศรพูดเมื่อเห็นสถานที่ “ร่มรื่นด้วย มีต้นไม้เยอะเลย” “ที่ดินสองไร่ แต่ก่อนเป็นที่ดินรกร้าง ภพมาซื้อต่อจากเจ้าของเดิมเมื่อยี่สิบปีก่อน ซื้อไว้ตอนนั้นไม่เท่าไหร่เองนะ ตอนนี้น่ะเหรอ สิบล้านยังน้อยเกินไป” ก้องภพตอบ “ผมว่านะครับ ไม่น่าจะต่ำกว่าสามสิบล้าน ที่ดินก็สวย แถมติดถนนใหญ่ด้วย” เอกภพให้ความคิดเห็น “ถึงจะร้อยล้านลุงภพก็ไม่ขายหรอก แกจะเก็บไว้ให้หลานรัก ไม่งั้นคงไม่ตั้งชื่อร้านอาหารเป็นชื่อคีย์” วรวิทย์เอ่ยขึ้นบ้าง