ณัฐรวีเป็นได้เพียงนางบำเรอไร้ราคา เปรียบดังผืนหญ้าให้เมฆาย่ำยียิ่งกว่าทาสในเรือนเบี้ย ทุกการกระทำของเขาอัดแน่นไปด้วยความแค้นที่แฝงความรักไม่รู้ตัว ในวันที่หล่อนจากไป หล่อนไปแต่ตัวและลูกน้อยในครรภ์
View Moreยามราตรีคืนหนึ่ง สายฝนโหมกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา ลมกระโชกแรงจนกิ่งไม้หักลงมาบนพื้น ต้นไม้ต้นเล็กที่รากยังไม่แข็งแรงหักโค่นลงมาหลายต้น เสียงฟ้าคำรามดังกระหึ่มที่มาพร้อมกับแสงอัสนีบาต กลบเสียงที่กำลังดังอยู่ในบ้านไม้ประดู่สองชั้น
“นังนุ่ม นังเย็น แกสองคนช่วยจับมันสิ อิ่มจะได้กรอกยาใส่ปากมันได้สะดวก” คำสั่งดังจากปากหญิงชราวัยเจ็ดสิบเจ็ดดังแข่งกับเสียงด้านนอก
“คุณย่าอย่าค่ะ อย่าทำอะไรรวีเลย รวีกลัวแล้ว รวีจะไปจากที่นี่ค่ะ” ณัฐรวีคือสตรีที่กำลังถูกทำร้าย หล่อนร้องขอทั้งน้ำตา พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการถูกคุกคามของกิ่งโพยม แต่ดูเหมือนว่า หล่อนไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมนี้ เรี่ยวแรงน้อยนิด ดิ้นหนีเท่าไหร่ก็หนีไม่พ้น หล่อนถูกจับตัวลงนอนบนพื้น นุ่มนั่งทับขาทั้งสองข้าง ส่วนเย็นที่มีร่างกายสูงใหญ่ราวกับผู้ชายคร่อมตรงช่วงอก มือทั้งสองข้างของนุ่มตรึงข้อมือณัฐรวีไว้
“แกได้ไปจากที่นี่แน่ ฉันทนเห็นแกลอยหน้าลอยตาอยู่บ้านหลังนี้นานแล้ว แกต้องไปแต่ตัว ฉันไม่มีวันให้สายเลือดของฉันอยู่ในตัวแกแน่นอน นังสาระเลว” ความเกลียดชังที่มีต่อณัฐรวีมากมายนัก มากเกินกว่าจะทนเลี้ยงเชื้อสายของตนที่อยู่ในท้องณัฐรวี นางไม่มีวันยอมให้เลือดชั่วของณัฐรวีปะปนกับเลือดของเหลนตนแน่นอน
“ลูกของรวีคือเหลนคุณย่านะคะ อย่าทำร้ายแกเลย แกไม่รู้เรื่อง...ฮือ...เมตตาแกด้วยนะคะคุณย่า” คนกำลังเป็นแม่คนอ้อนวอน น้ำตาไหลอาบแก้ม
เปรี้ยง...เสียงฟ้าพิโรธดังสนั่น ประกายไฟวูบวาบสว่างไสวทั้งผืนฟ้าสีทะมึน เสมือนสัญญาณเตือนให้หญิงสูงวัยฉุกคิด ทว่าความโกรธ ความเกลียดชังที่มีอยู่มาก ไม่อาจทำให้นางเปลี่ยนใจได้
“นังอิ่ม เอายากรอกปากมันเดี๋ยวนี้”
“ค่ะคุณท่าน” อิ่มรับคำ ไม่มีทีท่าจะห้ามคนเป็นนาย มือข้างหนึ่งบีบปากณัฐรวีให้อ้ากว้าง อีกมือหนึ่งถือขวดแก้วขวดเล็กไว้มั่น ทำท่าจะเทใส่ปากอีกฝ่ายที่ส่ายหน้าหนีตลอดเวลา
“อะไรกัน มันคนเดียวแกตั้งสามคนสู้แรงมันไม่ได้หรือไง” กิ่งโพยมมองอย่างขัดใจ “มานี่ ฉันช่วยเอง”
แม้ว่าวัยจะล่วงเลยมากกว่าเจ็ดสิบกว่าปี ทว่านางยังแข็งแรง เดินเหินได้สะดวก กิ่งโพยมอยากให้เรื่องนี้จบลงเร็วๆ จึงปรี่ไปนั่งคุกเข่าเหนือศีรษะณัฐรวี จับหัวคนที่ตนเกลียดชังไว้แน่นไม่ให้เคลื่อนไหว
“รีบกรอกยาใส่ปากมันสิ ฉันช่วยจับไว้แล้ว”
กิ่งโพยมสั่งอิ่ม หญิงรับใช้ประจำตัวอายุห่างกันราวสิบห้าปี ขณะนั้นร่างสตรีวัยห้าสิบเจ็ดปีเดินแกมวิ่งมายังห้องโถง นัยน์ตาเนาวรัตน์เบิกกว้างด้วยความตกใจกับภาพเบื้องหน้า
“คุณแม่ทำอะไรรวีคะ” เนาวรัตน์ถาม ดวงตาจ้องมองอิ่มกรอกน้ำสีดำใส่ปากณัฐรวี ซึ่งนางไม่รู้เลยว่า มันคือน้ำหรือยาอะไร หลังจากกรอกยาเสร็จอิ่มได้นำเทปกาวมาปิดปากณัฐรวีไว แล้วใช้มือปิดปากทับอีกด้วย ราวกับว่าไม่ต้องการให้น้ำที่กรอกเข้าไปไหลออกมา “คุณแม่ทำอะไรรวีคะ”
เนาวรัตน์ถามแม่สามีอีกรอบ
“มันท้อง ฉันก็เลยทำแท้งให้มัน”
กิ่งโพยมตอบ สายตาไม่ได้รู้สึกรู้สากับการกระทำของตัวเองเลย คราวนี้ใบหน้าเนาวรัตน์ซีดเผือด ความตกใจระบายเต็มดวงหน้านาง เป็นความตกใจระดับสูงสุดเท่าที่นางเคยรู้สึกได้
“คุณแม่” แม้นว่าเนาวรัตน์จะไม่ชอบหน้า เกลียดชังณัฐรวีไม่ต่างกับแม่สามี ทว่านางก็ไม่คิดทำเรื่องแบบนี้ เพราะมันเป็นเรื่องเหี้ยมโหด จิตใจคนที่กระทำเรื่องแบบนี้ได้ เข้าข่ายโหดร้ายทารุณ ไม่สมควรเป็นมนุษย์ นางมองณัฐรวีที่ตอนนี้สลบบนพื้น สลับกับมองหน้าแม่สามีด้วยหัวใจเต้นรัว
“จำเอาไว้นะทุกคน ห้ามใครเอาเรื่องในห้องนี้ไปพูดเด็ดขาด ถ้าฉันรู้ว่ามีใครพูดล่ะก็ ฉันไม่เอาไว้แน่” กิ่งโพยมข่มขู่ “โดยเฉพาะเธอ แม่รัตน์ เธอห้ามพูดเรื่องนี้กับเมฆเด็ดขาด ฉันไม่อยากทำร้ายเธอนะ ฉันเตือนไว้ก่อน”
กิ่งโพยมพูดจบก็เดินขึ้นไปบนบ้านราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยมีอิ่มเดินตามไป ส่วนนุ่มกับเย็นได้เดินกลับไปห้องพักของตนเอง และไม่คิดจะบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ เหลือเพียงเนาวรัตน์ที่ยืนมองณัฐรวีด้วยความสงสารจับใจ หลุบสายตามองท้องของอีกฝ่าย หลานของตนอยู่ในนั้น หลานที่ยังไม่ทันได้เป็นตัวเป็นตนก็ต้องจากไปเสียแล้ว
สงสารแต่ทำอะไรไม่ได้...
“รวี ฉันขอโทษ” เนาวรัตน์พูดออกมาเบาๆ ร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น ก่อนที่นางจะทำอะไรบางอย่าง นางวิ่งออกไปนอกบ้าน วิ่งฝ่าสายฝนไปหาใครคนหนึ่งที่รีบทำตามคำสั่ง นำรถกระบะสี่ประตูมาจอดหน้าบ้าน ไม่นานนักเข้มเข้ามาในบ้าน รีบอุ้มร่างสาวท้องอ่อนที่เริ่มรู้สึกตัว
“คุณป้า” ณัฐรวีเรียกชื่อเนาวรัตน์เสียงแผ่ว น้ำตาร่วงริน
“เอาเงินนี่ติดตัวไป แล้วไปให้ไกลจากที่นี่ ไม่ต้องกลับมา อย่ากลับมา” ในด้านดีของเนาวรัตน์ นางยังมีความเมตตาปรานี ไม่ได้ถูกความเกลียดชังเข้าครอบงำไม่รู้สึกชั่วดี “รีบพารวีไปเข้ม”
“ครับคุณท่าน” เข้มอุ้มณัฐรวีขึ้นรถ ขับรถออกจากไร่ฟ้ารดา
“โอ๊ย! ปวดท้องเหลือเกิน ปวดจัง” ขณะที่เข้มกำลังขับรถฝ่าสายฝนไปบนถนน เสียงร้องเจ็บปวดไหลผ่านปากณัฐรวีตลอดเวลา เข้มหันมองดูคนนั่งตอนหลังสลับกับมองถนนเบื้องหน้าที่ทัศนวิสัยไม่ดีเอาเสียเลย สายฝนที่ตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา เม็ดฝนก็ใหญ่ แทบจะมองไม่เห็นถนนข้างหน้า “ปวดจัง ปวดจนทนไม่ไหว”
มือทั้งสองข้างกุมอยู่ตรงท้อง หล่อนนอนขดตัว ส่งเสียงร้องเจ็บปวดตลอดเวลา ทำให้เข้มละล้าละหลัง ขับรถไม่มีสมาธิ หันมามองณัฐรวี แล้วหันกลับไปมองถนน แสงจากไฟรถบรรทุกส่องกระทบตาเข้มในระยะใกล้
“เฮ้ย!” สิ้นเสียงเข้มร้องตกใจ เสียงประสานงารถก็ดังขึ้นตาม
โครม!
แรงปะทะส่งผลให้เข้มเสียชีวิตคาที่ ส่วนณัฐรวีกลิ้งไปมาอยู่เบาะหลัง ก่อนที่ตัวหล่อนจะกระเด็นออกมานอกรถผ่านกระจกหลัง ลงนอนหมดสติท้ายรถกระบะ
รถแลนโลเวอร์คันหนึ่งจอดสนิทเมื่อเห็นอุบัติเหตุข้างหน้า ปกติแล้วเขาไม่คิดช่วยเหลือใคร เพราะคิดประสาคนเห็นแก่ตัวว่า ไม่ใช่เรื่องของตน ทว่าครั้งนี้ไม่มีความคิดนั้นในหัว สมองเขาสั่งย้ำๆ ว่า ให้ลงไปช่วย
“รวี” ก้องเกียรติจำผู้หญิงนิสัยดีคนนี้ได้ เขาเปิดท้ายกระบะ กระโดดขึ้นไปอุ้มร่างหมดสติของณัฐรวีลงมาจากรถ ก่อนอุ้มไปยังรถยนต์ของตน โดยไม่คิดช่วยเหลือคนอื่น นอกจากหล่อนเพียงคนเดียว
ความเป็นความตายของณัฐรวีเท่ากัน หล่อนจะอยู่หรือไป ขึ้นอยู่กับสวรรค์กำหนด
Chapter 107ก้องภพ ประภาพร เนาวรัตน์และก้องเกียรติที่เดินทางมารับเมฆาเห็นภาพสามพ่อแม่ลูกกอดกันก็พากันยิ้ม เนาวรัตน์ไม่เพียงแค่ยิ้ม นางตื้นตันดีใจจนร้องไห้ นางภาวนาขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกวัน ขอให้คุ้มครองเมฆาแคล้วคลาดปลอดภัยกลับมา บททดสอบของณัฐรวีไม่ได้ส่งผลต่อเมฆาคนเดียว เนาวรัตน์ได้รับผลกระทบนั้นด้วย สามปีที่ผ่านมาเนาวรัตน์ทรมานใจเช่นกัน กินไม่ค่อยได้ นอนไม่หลับเพราะเป็นห่วงบุตรชาย คืนนี้คงเป็นคนแรกที่เนาวรัตน์หลับได้เต็มตา ไม่ใช่หลับๆ ตื่นๆ เช่นทุกคืนที่ผ่านมาพวกเขารอคอยเห็นภาพนี้มานานแล้ว อยากเห็นครอบครัวเมฆาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา โยนความโกรธแค้น เจ็บปวดและความทรงจำอันเลวร้ายทิ้งไป แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความรัก ความปรารถนาดีที่เมฆากับณัฐรวีที่มีต่อกัน งานเลี้ยงต้อนรับเมฆากลับบ้านจัดขึ้นภายในบ้าน ก้องภพ แขกที่ถูกเชิญมาร่วมงานเป็นคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทของเมฆาที่มากันยกก๊วน อาหารมื้อพิเศษโดยแม่ครัวสาวนามว่าณัฐรวีถูกลำเลียงไว้บนโต๊ะอาหาร โดยแบ่งเป็นสองชุดเพื่อสะดวกในการตักกิน ขณะที่ณัฐรวีกำลังจัดเตรียมอาหาร เมฆานั่งเล่นกับลูกชายในห้อง เมฆินทร์มีเรื่องเล่
Chapter 106สามปีต่อมา เมฆาเดินออกมาจากห้องพักในค่ายทหาร สถานที่ที่เขาใช้พักพิงมาเป็นเวลาสามปี สามปีที่เขาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ได้ฝึกฝนทั้งร่างกายและจิตใจ การที่เขามาเป็นทหารอาสา เมฆาได้เรียนรู้และได้เห็นอะไรมากมาย คนในพื้นที่ล้วนแล้วแต่เป็นมิตร มีบางกลุ่มที่คอยสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในพื้นที่แบบรายวันทหารที่บาดเจ็บจากการลอบโจมตี ไม่ว่าจะเป็นการวางระเบิดคาร์บอม หรือซุ่มยิงก็มีไม่น้อย เสียชีวิตก็มีให้เห็น พวกเขาแม้รู้ว่าเสี่ยงอันตราย แต่ด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบ ทหารกล้าทุกนายจึงปฏิบัติหน้าที่ด้วยใจแข็งแกร่ง อดทน เมฆาเข้าใจความรู้สึกคนจากบ้านไกล ความคิดถึงรุมเร้าใจทุกวัน ไม่ใช่สิ ต้องพูดว่าทั้งวันทั้งคืน แม้แต่ยามนอน ในความฝันก็ยังมีณัฐรวีกับเมฆินทร์ เมฆาทรมานใจมากที่ไม่ได้เจอหน้าสองแม่ลูก เฝ้ารอที่จะได้ยินเสียงของเมฆินทร์ทุกเดือนๆ ละหนึ่งครั้งแบบใจจดใจจ่อ เพราะไม่รู้ว่า ณัฐรวีจะโทรมาตอนไหน วันใด เป็นการรอที่เจ็บปวดรวดร้าวใจ เมฆาคล้ายคนไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีเพื่อนฝูง เพราะเขาไม่สามารถติดต่อใครได้เลย นอกจากคนในค่ายทหารประจำการหรือทหารอาสานายอื่นยังได้กลั
Chapter 105 สามคนพ่อแม่ลูกมองหน้าคนพูด พวกเขาไม่คิดว่าณัฐรวีจะแกร่งและแข็งเช่นนี้ แบบทดสอบนี้โหดมากสำหรับชีวิตคนคนหนึ่งที่ไม่เคยถือปืนปกป้องชาติบ้านเมือง แล้วต้องอยู่ในพื้นที่สามปีเต็ม นั่นเท่ากับว่าอยู่ในดงอันตรายเสี่ยงกับชีวิต ที่แย่ที่สุดคือ การติดต่อกับเมฆินทร์เดือนละหนึ่งครั้ง มันดูน้อยเกินไปกับความรักและความคิดถึงที่สองพ่อลูกมีต่อกัน ต่างฝ่ายต่างคิดถึงกันปานขาดใจแน่นอน “ได้ ตกลงตามนี้” เมฆารับคำอย่างรวดเร็ว ไม่คิดไม่ตรองใดใดทั้งสิ้น “ฉันติดต่อผู้ใหญ่ให้จัดการเรื่องรับคุณเป็นทหารอาสาไว้แล้ว วันจันทร์หน้าคุณไปรายงานตัวกับเขาได้เลย” ณัฐรวีจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ เพราะมั่นใจว่าเขาทำตามข้อตกลงของตนแน่นอน “เหลือเวลาอีกสองวันคุณถึงจะไปรายงานตัว สองวันนี้ฉันจะให้คุณอยู่กับลูกให้เต็มที่ เก็บความทรงจำเอาไว้ตอนที่คุณไปอยู่ที่นั่น และรอคอยจะได้คุยกับลูกอีกครั้งในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า” คำพูดของณัฐรวีราบเรียบ หล่อนกำลังทรมานเมฆาทางอ้อม อยู่ในพื้นที่นานสามปีไม่เท่าไหร่ เป็นการทรมานกายที่พอทนไหว แต่การรอคอยได้พูดคุยกับเมฆินทร์นี่สิ คือการทรมานใจอย่างแสนสา
Chapter 104ความเป็นเด็ก คิดอย่างไร รู้สึกเช่นไรก็พูดออกไปตามนั้น เป็นสายใยแห่งสายเลือดที่ก่อตัวขึ้นเงียบๆ แต่มีพลังอานุภาพใหญ่หลวง ประโยคนี้ของเมฆินทร์ทำให้ณัฐรวีลุกเดินหนี เพราะเกรงว่าตนเองจะใจอ่อน หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จ ก้องภพเรียกให้ณัฐรวีมาพบที่ห้องนั่งเล่น พอหล่อนมาถึงก็พบว่า ภายในห้องมีประภาพรกับก้องเกียรตินั่งอยู่ด้วย“คุณพ่อมีอะไรคะ”“นั่งลงสิ พ่อมีเรื่องจะพูดด้วย” ณัฐรวีนั่งข้างก้องเกียรติ “พ่อจะคุยเรื่องเมฆกับคีย์”“ค่ะคุณพ่อ”“จริงๆ แล้วพ่อไม่อยากยุ่งเรื่องนี้นะ พ่อให้รวีตัดสินใจเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่พอได้ยินคีย์พูดตอนเย็น พ่อคิดว่าเราปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้ ความรู้สึกที่คีย์มีต่อเมฆนับวันจะยิ่งผูกพันกันมากขึ้น พ่อกลัวว่าสักวันหนึ่งถ้าหากรวีตัดขาดเมฆจริงๆ คนที่แย่ที่สุดคือคีย์” ก้องภพเกริ่นยาว “พ่อไม่อยากให้ผลกระทบตกมาอยู่ที่คีย์ พ่อรู้นะว่า รวีก็ไม่ได้โกรธและเกลียดเมฆถึงขั้นปิดตายประตูความสัมพันธ์ ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้เมฆก้าวเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง พ่ออยากให้รวีชัดเจนไปเลยว่า จะให้โอกาสเมฆหรือหยุดเพียงแค่นี้ แต่พอขอเตือนรวีสักข้อว่า ตัดสินใจอะไร นึกถึงสภาพจิตใจของคีย์ด้วย บา
Chapter 103หนึ่งสัปดาห์ต่อมา มีเรื่องราวทั้งดีและร้ายเกิดขึ้นในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ กล่าวถึงเรื่องร้ายที่หนีไม่พ้นเรื่องการเสียชีวิตของกิ่งโพยม และอาการป่วยของแก้วตา ทันทีที่เมฆารู้ข่าว เขาอยากไปกราบศพคนเป็นย่า ถึงแม้จะโกรธเคืองเรื่องในอดีต ทว่ากิ่งโพยมคือคนที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เกิด นางมีบุญคุณกับเขาไม่น้อย จึงอยากไปกราบศพและกล่าวอโหสิกรรมให้คนเป็นย่าเรื่องคิดฆ่าลูกเมียตน ทว่าร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวย ส่งผลให้เขาต้องอยู่โรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวเองให้ดีขึ้น เรื่องแก้วตาเป็นอีกเรื่องที่เมฆาเสียใจและเห็นใจ รวมถึงสงสาร แก้วตาอายุยังน้อย ยังมีอนาคตที่ดีรออยู่เบื้องหน้า ทว่าตอนนี้กลับนอนขยับตัวไม่ได้อยู่บนเตียง และที่น่าแปลกคือ แก้วตามีอาการหวาดกลัวตลอดเวลา โดยเฉพาะเวลากลางคืน ความหวาดกลัวเพิ่มเป็นสองเท่า ดวงตาเลิ่กลั่ก เบิกกว้างด้วยความตกใจทุกคืน หาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไม แพทย์สันนิษฐานว่า แก้วตาคงเห็นเหตุการณ์ตอนกิ่งโพยมถูกฆ่าตายจึงหวาดกลัวยามค่ำคืน อาการจึงเป็นเช่นนี้ ทุกคนที่รู้เรื่องนี้จึงพากันสงสารและเห็นใจที่แก้วตาเหมือนคนเสียสติขึ้นทุกวัน ส่วนเรื่องดีคือเรื่
Chapter 102 ความที่เป็นแพทย์ ทำไมแก้วตาไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร อาการที่เป็นอยู่มันบ่งบอกชัดเจน หล่อนเป็นอัมพาตทั้งตัว ไม่ใช่ด้านใดด้านหนึ่งหรือซีกใดซีกหนึ่ง‘ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่ได้เป็นอัมพาต ไม่ได้เป็น’ แก้วตาพูดในใจ รวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีขยับตัวอีกครั้ง ครั้งแรกไม่ได้ หล่อนก็เริ่มทำครั้งที่สอง สามและสี่ ครั้งสุดท้ายคือครั้งที่ห้า ผลออกมาเช่นเดิมคือ ขยับตัวไม่ได้สักนิดเดียว น้ำตาแห่งความเสียใจไหลพราก หล่อนไม่คิดว่าการลื่นล้มในห้องน้ำเมื่อคืนนี้จะทำให้ตนเป็นอัมพาต และนั่นทำให้แก้วตานึกย้อนถึงวันที่ตนวางแผนทำร้ายกิ่งโพยม มันเหมือนเหตุการณ์ที่หล่อนลื่นในห้องน้ำเมื่อคืนนี้ไม่มีผิด ผลกรรมที่ตนทำไว้กับกิ่งโพยมย้อนกลับมาหาไวปานจรวด ตอนนี้หล่อนกลายเป็นคนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทำในเรื่องที่อยากทำไม่ได้ ทรัพย์สินเงินทองของกิ่งโพยมที่หวังจะได้ แม้จะได้มา แต่หล่อนก็คงไม่ได้ใช้ ‘ทำไมเป็นแบบนี้ ทำไม’ แก้วตาครวญในอกทุกข์ระทม หล่อนวาดความฝันไว้สวยหรูว่า หลังจากได้มรดกของกิ่งโพยม หล่อนจะเที่ยวรอบโลก ใช้เงินและทรัพย์สินที่ได้มาอย่างหรูหราและมีควา
Comments