บทส่งท้ายส่วนเจียงหลัวและไป๋อี้หาน…ชีวิตคู่ของทั้งสองหาใช่ว่ามีเพียงความสุขราบเรียบ หากกลับเต็มไปด้วยทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไปตามสัจธรรมของโลกมนุษย์ บางคราย่อมมีเสียงหัวเราะกังวานสะท้อนทั้งตำหนัก แต่ก็ใช่ว่าจะปราศจากเสียงทะเลาะถกเถียงตามประสาสามีภรรยาที่ครองคู่ร่วมชีวิตกันยาวนานทว่า กาลเวลาอันยืนยาวนับสิบ ๆ ปี พิสูจน์ชัดว่า ไม่มีพายุใดใหญ่หลวงพอจะพรากทั้งสองจากกันได้ ไม่ว่าลมฝนจะถาโถมแรงเพียงใด ไม่ว่าภัยร้ายจากภายนอกหรือความขัดแย้งเล็กน้อยจากภายใน ต่างก็ไม่อาจทำให้มือที่จับกันมั่นคงต้องปล่อยแยกยามราตรีสงัด แสงจันทร์ขาวนวลสาดต้องเรือนผมหงอกขาวโพลนของทั้งคู่ ร่างกายแม้ชรา แต่เมื่อดวงตาของทั้งสองสบประสาน แววประกายอ่อนโยนก็ยังส่องสว่าง ราวกับวันแรกที่ได้ร่วมชีวิต ไม่พร่อง ไม่เสื่อมคลายไปตามกาลเวลาเรื่องราวแห่งรักและแค้นบนแผ่นดินต้าหรง จึงปิดฉากลงด้วยความสงบสุขที่แท้จริง สวีเจียงหลัวหลุดพ้นจากวิบากกรรมที่ติดพันมาหลายภพหลายชาติ คำสาบานต่อท่านพญายมก็ได้ถูกปลดเปลื้องแม้เขานางจะเสียดายอยู่บ้างต่อความทรงจำที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง แต่คำไหนก็คือคำไหน ชะตาต้องหมุนเวียนต่อไปนางได้รับโอกาสเวียนว่า
ในขณะที่ด้านนอกนครเสวียนหยางเต็มไปด้วยเสียงระฆังมงคลและรอยยิ้มยินดีภายในตำหนักเหมันต์กลับต่างออกไปประหนึ่งอยู่กันคนละโลกอากาศในเรือนหม่นหมอง อึมครึมราวกับมีเมฆดำบดบังตะวัน ทั้งที่แสงภายนอกสาดส่องเจิดจ้า ทว่าด้านในกลับเหมือนสวรรค์เองก็ไม่ปรารถนาจะทอดมองชะตาของผู้คนที่นี่ ความเงียบขรึมครอบคลุมไปทั่วทุกซอกมุม รั้วสูงและประตูหนาหนักปิดตายไม่ให้ผู้ใดเข้าออก กุญแจเหล็กดอกใหญ่แขวนอยู่ข้างประตูราวสัญลักษณ์ของการถูกกักขัง เสียงโซ่ตรวนเสียดสีกันในยามลมพัดพลันดังก้องสะท้อน ทำให้ทุกค่ำคืนคล้ายเสียงวิญญาณร่ำไห้สวีเจียงหลีถูกจองจำอยู่ในเรือนเล็กแห่งนี้มานานหลายเดือน นางนั่งก้มหน้ากุมหน้าท้องที่เริ่มปรากฏความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน รอยยิ้มที่ควรจะเปี่ยมสุขของสตรีตั้งครรภ์กลับไม่ปรากฏ มีเพียงแววตาหวาดหวั่นและความกังวลใจแผ่กระจายอยู่เต็มใบหน้า ยิ่งนับวันครรภ์นางยิ่งโตขึ้น นางก็ยิ่งแน่ใจว่าตนกำลังตั้งครรภ์จริง ๆหากเป็นสตรีอื่น คงเต็มไปด้วยความยินดี แต่สำหรับเจียงหลี มันคือฝันร้าย เพราะนางรู้อย่างแจ่มชัดว่าหากอี้เฉินรู้ นางจะไม่มีวันรอดพ้นแรกเริ่ม อี้เฉินมิได้เข้มงวดเรื่องยาห้ามครรภ์นัก แต่หลังเขากลั
รุ่งอรุณวันใหม่ เสียงกลองยามเช้าและระฆังวังหลวงดังขึ้นพร้อมกัน เจิดจ้าไปด้วยแสงตะวันอุ่นที่สาดส่องเหนือกำแพงวัง ประตูท้องพระโรงเปิดออกทีละชั้น เหล่าขุนนางก้าวเข้าสู่โถงใหญ่ด้วยท่วงท่าสงบเคร่งขรึมเบื้องสูง บัลลังก์มังกรประดับมุขทองตั้งตระหง่าน หย่งหมิงฮ่องเต้ประทับเหนืออาสน์มังกรในอาภรณ์สีทอง พระพักตร์สงบเยือกเย็น หากในพระเนตรลึกเร้นยังมีเงาความเหน็ดเหนื่อยจากหลายปีแห่งการครองราชย์ ทว่าครานี้กลับฉายความปลื้มปีติแผ่วบางอยู่บนพระพักตร์เสียงขันทีขานพระนามก้อง “ชินอ๋องไป๋อี้หาน น้อมถวายรายงานใต้เบื้องพระยุคลบาท!”ร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์เต็มยศสีดำปักดิ้นทองก้าวเข้ามาอย่างองอาจ ทุกย่างเท้าหนักแน่นก้องสะท้อนทั่วพื้นหินหยก ไป๋อี้หานก้าวมาหยุด ณ เบื้องหน้าโถงมังกร คุกเข่าลงโขกศีรษะถวายบังคม“กระหม่อมถวายพระพรฝ่าบาท อายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี พ่ะย่ะค่ะ”หย่งหมิงฮ่องเต้ทอดพระเนตรลงมา พระสุรเสียงเข้มทุ้มต่ำดังไปทั่วโถง “ลุกขึ้นเถอะ อี้หาน”“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”“เป็นเช่นไรบ้าง สถานการณ์ที่หุบเขาอวิ๋นเซิง กบฏเหล่านั้นบัดนี้สิ้นซากแล้วหรือไม่?”ไป๋อี้หานประสานมือขึ้น น้อมกายรายงานเสียงชัดเจน “กราบท
ไออุ่นของน้ำสมุนไพรลอยคลุ้งปกคลุมไปทั่วห้องหิน เสียงหยดน้ำกระทบพื้นดังแผ่ว ๆ ร่างสูงใหญ่ของไป๋อี้หานเอนกายนั่งอยู่ในอ่างหิน ดวงตาคมเข้มทอดมองสตรีตรงหน้าที่กำลังถลกแขนเสื้อเช็ดแผ่นหลังให้เขาอย่างเบามือเจียงหลัวก้มหน้ามิกล้าเอ่ยวาจา ความคิดถึงที่เก็บกดมานานกว่าครึ่งเดือนตั้งแต่เขาจากไปเหมือนจะพรั่งพรูออกมากับทุกสัมผัสที่นางถนอมมอบให้ ยามผ้าเนื้อนุ่มลูบไล้ผ่านรอยแผลเก่า หัวใจนางก็หวิวไหว ทั้งยินดีที่ครานี้เขากลับมาโดยปลอดภัยไป๋อี้หานมองเสี้ยวหน้าขาวผ่องที่เงยขึ้นเพียงเล็กน้อย ดวงเนตรมืดลึกพลันแฝงรอยยิ้มบาง เสียงทุ้มแหบพร่าดังขึ้น“ต้าหลัว…พวกเราร่วมหอกันมาครึ่งปีแล้ว เหตุใด…”เจียงหลัวชะงักปลายนิ้ว เงยหน้ามองเขาด้วยแววตาสงสัยปนขวยเขิน “อันใดหรือเพคะ?”บุรุษรูปงามยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เอ่ยคำเรียบง่ายทว่าหนักแน่น“เหตุใด…เจ้าจึงยังไม่มีเจ้าก้อนแป้งน้อยให้ข้าสักคราเล่า?”เจียงหลัวเบิกตาโตทันทีเมื่อฟังคำถาม อี้หานจึงกล่าวต่อ“นับจากวันแต่งงาน ข้าก็ขยันขันแข็งชวนเจ้าปั้นแป้งทุกค่ำคืน อาจเว้นบ้างยามบาดเจ็บจากศึกเจียงเหอ แต่ก่อนจะไปอวิ๋นเซิง ข้าก็…เต็มที่จนเกือบถึงรุ่งสางนะ”คำพูดตรงไปตรงมาทำใ
สายลมวสันต์ยามสายพัดผ่านม่านลูกไม้สีขาวบางของตำหนักกวางผิง แสงตะวันอ่อนลอดผ่านช่องว่างโปร่งบางเป็นริ้วระยับต้องพื้นระเบียง เงาไม้โยกไหวดังคลื่นเล็กในสระน้ำ บรรยากาศเงียบสงบประหนึ่งแผ่นดินที่เพิ่งผ่านพายุใหญ่สวีเจียงหลัวเอนกายอยู่บนเก้าอี้ไม้สลักลวดลายวิจิตร ดวงตาคู่งามทอดมองไปไกล มือเรียวยกถ้วยชาที่อบอวลด้วยกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้ขึ้นจรดริมฝีปาก ไออุ่นของน้ำชาคลอเคลียปลายจมูก แต่ความอบอุ่นนั้นหาได้ชะล้างความเย็นเยียบในดวงตานางไม่แม้หลายวันมานี้นางมิได้ก้าวออกจากตำหนักกวางผิงสักก้าว แต่ทุกความเคลื่อนไหวในนครเสวียนหยางกลับไม่เคยหลุดพ้นหูตาของนางเลยแม้แต่น้อยหลันถิง นางกำนัลคนสนิท ก้าวเข้ามาคุกเข่ารายงานด้วยเสียงหนักแน่น“ชินหวางเฟย เพียงไม่กี่วัน ตระกูลใหญ่สิบกว่าสกุล ที่คอยเป็นมือเป็นเท้าให้กับองค์ชายสาม ถูกจวิ้นอันโหวกักขังไว้ในจวน รอชินอ๋องเสด็จกลับมาเพื่อประหารให้สิ้นแล้วเพคะ”สายตาของเจียงหลัววูบไหวเล็กน้อย ก่อนกลับมาเย็นชาเช่นเดิม หลันถิงยังมิหยุดรายงาน“พอองค์ชายสามทราบความ เขาเดือดดาลยิ่งนัก พอดีกับพระชายาสามเจียวและคนสนิทคิดหลบหนี ถูกเขาสังหารด้วยมือตนเองจนสิ้นแล้วเพคะ”เงียบไปค
กองทัพอวี้หลินซึ่งชินอ๋องทรงนำด้วยพระองค์เอง เคลื่อนพลออกจากประตูเมืองเสวียนหยางในต้นยามเหม่า เสียงฝีเท้าม้าศึกนับหมื่นดังสนั่นราวกลองศึกสะท้อนก้องไปทั่วสะท้านฟ้าสะเทือนปฐพีสายลมต้นฤดูวสันต์พัดเอาฝุ่นผงคละคลุ้งฟุ้งกระจาย ถนนดินแข็งเป็นร่องลึกจากกีบม้าและล้อเกวียน พื้นหญ้าเหี่ยวแห้งยังเกาะหยาดน้ำค้างระยิบระยับต้องแดดยามเช้า ธงศึกสีดำขลิบทองปักตัวกิเลนเพลิงเหยียบเมฆาโบกสะบัดกลางอากาศ ดุจเงาพญามัจจุราชนำทัพออกล่าเหยื่อสองฟากฝั่งถนน ชาวบ้านก้มศีรษะส่งเสียงอวยพร แม้มิรู้แน่ชัดว่าทัพใหญ่มุ่งไปที่ใด แต่ทุกครั้งที่อวี้หลินเคลื่อนพล ภายใต้การนำของชินอ๋องเทพสังหารผู้เกรียงไกรแห่งต้าหรง ล้วนเพื่อปกป้องแผ่นดินและประชาราษฎร์ทั้งสิ้นทว่าเพียงหนึ่งชั่วยามหลังทัพใหญ่ลับสายตา เสียงขันทีหลวงอ่านพระราชโองการก็ดังก้องไปทั่วลานหน้าตำหนักเหมันต์“องค์ชายสามไป๋อี้เฉิน คิดการใหญ่ ซ่องสุมกองกำลังลับ หวังก่อกบฏล้มราชบัลลังก์ อีกทั้งยังยักยอกเงินหลวงสะสมเสบียง โทษถึงตาย! แต่ด้วยพระเมตตาที่บิดามีต่อบุตร เจิ้นจึงลงทัณฑ์เพียงสั่งปิดตำหนักเหมันต์ กักขังตลอดชีวิต หากละเมิดก้าวออกแม้เพียงครึ่งก้าว ให้ตัดศีรษะได้ใน