“หา! อาภูมิว่าไงนะคะ?”
“ก็โตแล้ว จบแล้ว จะได้ทำงานแล้ว มีสามีได้แล้วไง”
“ตะวันยังไม่มีแฟนจะให้รีบมีสามีแล้วเหรอคะอาภูมิ”
ทานตะวันพูดไปก็หน้าเห่อร้อน เธอสะดุดใจรอบสองที่วันนี้อาหนุ่มดูประหลาด ทั้งดวงตาระยิบระยับและคำพูดชวนคิดนั่น เธอไม่ได้คิดไปเองว่าครั้งนี้ภูมิถามแปลกๆ แต่เธอก็ไม่ได้ถามเอาความด้วยเกรงว่าจะโดนโกรธอีก
หน้าเข้มแดดแต่คมคายด้วยจมูกคมสัน ริมฝีปากหนาแต่ได้รูปกระจับลอบยกรอยยิ้มแนบเนียนที่แม้แต่เด็กสาวยังไม่ทันสังเกต อารมณ์ดีขึ้นมาอย่างประหลาดกับคำตอบที่ได้รับ
ดีแล้ว...
เป็นแบบนี้แหละดีเพราะเขาจะได้เป็นคนแรกและคนเดียวของเธอ ใครก็อย่ามาหมายแย่งทานตะวันไปจากอกเขาเลย...
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถก็เลี้ยวเข้าจอดหน้าลานห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านชานเมือง ชั้นล่างสุดแบ่งเป็นล็อคสำหรับร้านค้าจับจอง รวมถึงห้องเสื้อฝีมือคนไทยแต่ราคาแพงระดับต้นของประเทศที่ภูมิจงใจพาเด็กสาวมาเพราะเจ้าของร้านเป็นเพื่อนรุ่นน้องของเขา
ทานตะวันลงรถมองเข้าไปในร้านด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพราะห้องเสื้อหรูแห่งนี้มีกิตติศัพท์ว่าราคาแพงหูฉี่ เธอดึงแขนอาหนุ่มไว้แล้วร้องถามก่อนที่เขาจะเปิดประตูเข้าไป
“เดี๋ยวค่ะ อาภูมิ!”
“อะไร”
ภูมิหันกลับมาชักสีหน้าหงุดหงิดพอฝนหยุดแดดก็ออก ถึงเป็นแดดเย็นไม่ร้อนมากแต่ก็ส่องตาจนน่ารำคาญ ขนาดแว่นกันแดดสีดำก็ยังระคายเคืองแต่พอเห็นหน้าคนท้วงคอหดเดินตามติดก็ส่ายหน้า “อาจะเลือกชุดให้ ตะวันแค่มีหน้าที่ลองใส่เข้าใจมั้ย”
“แต่ว่ามันแพงนะคะ”
“อย่าขัดใจ อาอยากให้ของขวัญหลังเรียนจบกับเรา”
“อาภูมิ!” เด็กสาวอุทาน ใจหนึ่งก็พองโตคับอกดีใจที่เขาใส่ใจ อีกใจก็ไม่อยากได้ของราคาแพงขนาดนี้ แค่กลับไปอยู่ไร่ได้เจอหน้าเขาทุกวันเธอก็มีความสุขแล้ว
แต่ทานตะวันต้องหุบยิ้มเมื่อภูมิหันกลับมาเรียกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดตามเคย
“เร็วๆ สิ อาร้อน”
“ค่ะ ค่ะ!”
เด็กสาวหน้าเสียได้แต่เดินแกมวิ่งตามร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อเชิ๊ตสีเทากางเกงยีนส์สีดำสะอาดสะอ้านเข้าไปภายใน
“มาแล้วเหรอ! ไม่เจอกันตั้งนานนะจ๊ะพ่อหนุ่มชาวไร่”
เจ้าของร้านสาวสายหุ่นนางแบบยิ้มกว้างขวางออกมาต้อนรับด้วยท่าทางสนิทสนมกับภูมิเกินกว่าความเป็นลูกค้า
ภูมิหัวเราะเปิดเผยตอบกลับ “ก็เกือบห้าปีแล้วนะ”
“นั่นสิ” หญิงสาวปรายตามองเด็กสาวยิ้มๆ “นี่ใช่มั้ยหลานสาวที่ว่า... โตแล้วนี่ สวยด้วยนะ”
“อืม...”
“หน้าตาสะสวยแบบนี้นี่เองมิน่าคุณอาหวง”
สาวสวยไม่วายหยอกเย้าแถมคลุกวงในภูมิอย่างถือสนิท ทั้งคล้องแขน จับมือภูมิแน่นแบบประสาน หนำซ้ำพูดจาหยอกเย้าจนทานตะวันที่เยืนนิ่งราวกับรูปปั้นค่อยๆ เปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มแย้มเป็นงอหงิกขณะเดินตาม
หมั่นไส้...
ทานตะวันนึกในใจ แต่ก็ต้องเจียมตัวเดินตามต้อยๆ เข้าไปด้านในแต่ก็ไม่วายได้ยินเสียงหยอกเย้าจากคนทั้งสองที่ราวกับอยู่ในโลกส่วนตัวกัน
“หลานสาวสวยนะเนี่ย ฉันไม่แปลกใจแล้วที่นายไม่ยอมมีใครจนป่านนี้”
“เฮ่ย ก็คนอยู่แต่ในไร่จะเจอใครได้ยังไงล่ะ” ภูมิปรามแต่หัวเราะร่วนดูไม่รำคาญอย่างปากว่า
“ก็มีอยู่คนนึงไง”
หญิงสาวกระเซ้าไม่วายเหลือบมองทานตะวันครู่หนึ่งจึงถูกภูมิปรามต่อ
“อย่าพูดมากน่า”
“ก็ได้ ไม่พูดแล้วไม่พูด เดี๋ยวหลานนายจะตกใจ ฉันไปดูลูกค้าทางโน้นดีกว่า หนูตะวันจ๊ะ ตามสบายเลยนะ” เธอว่าพลางก็ผละไปอีกทาง
ทานตะวันไม่ทันตอบก็ต้องหน้าตูมอีกครั้งเพราะรอยยิ้มของเพื่อนสาวคุณอาบ่งบอกเลศนัยอย่างไรพิกลง
ไม่ชอบเลย...
ทานตะวันหน้างอ ไม่สนุกกับพูดของทั้งสอง ทั้งยังไม่รู้สึกอยากไปกับภูมิ เธออยากกลับไปเจอคุณย่า อยากกลับบ้านไร่เร็วๆ แต่เธอหรือจะกล้าขัดใจอาภูมิ
พอก้าวเข้ามาส่วนชั้นในที่เป็นมุมแบรนด์หรูสำหรับลูกค้าระดับวีไอพี ทานตะวันก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับความโอ่อ่ากว้างขวางตกแต่งงดงามและราคาแพงระยับที่ป้ายราคาของเสื้อผ้าทุกชุด
ภูมิเลือกแบบชุดราตรีอย่างพิถีพิถัน เลือกชุดนึงแล้วส่ายหน้าก่อนจะเลือกอีกชุดแล้วยกขึ้นสำรวจพักหนึ่งก็เก็บใส่ราวตามเดิม ครู่ใหญ่จึงเดินเอามาให้เธอที่ยืนรีรออยู่หน้าห้องลองเสื้อแล้วยื่นให้
“เอ้า ลองให้อาดูสองชุดนี้”
“สองชุดเลยเหรอคะ”
“ทำไม ไม่สวยเหรอ”
ทานตะวันเพ่งมองชุดรัดรูปลูกไม้ระยิบระยับสีแดงสดมีสายเส้นจิ๋วคาดไหล่กับอีกชุดสีขาวด้านบนเป็นลูกไม้โปร่งเปิดไหล่เว้าลึกด้านหลังเว้าถึงเอวจนน่าเสียวไส้ เด็กสาวถึงกับย่นจมูก
“ตะวันว่ามันโป๊ไป”
“สวยดี” ภูมิบอกหน้านิ่ง
“แต่ตะวันไม่เคยใส่ชุดแบบนี้เลย”
“ก็ถึงให้ลองไง อาให้ลองก็ลองเถอะน่า อย่าดื้อกับอา”
“ก้ได้ค่ะ”
ทานตะวันถึงกับหน้ามุ่ยอีกรอบเพราะโดนหาว่าดื้อสองครั้งติดๆ ในรอบวัน เธอไม่ดื้อสักหน่อย แต่บางเรื่องก็ควรแย้ง
แต่ก็นั่นแหละ...
ไม่ทันที่ภูมิจะได้พูดอะไรต่อกับท่าทีอิดออดของทานตะวัน ก็พอดีกับที่สลิลลาเพื่อนสาวของเขาเข้ามาพอดี
“นี่สองคน ไปลองที่ห้องลองเสื้อด้านในออฟฟิศนะ ด้านนอกนี้เผื่อลูกค้าขาจรมามันจะวุ่นวาย”
“เฮ่ยไม่ต้องมากพิธีรีตองหรอก”
“ไม่ได้สิ นานๆ จะได้บริการเด็กสาวน่ารักอย่างหนูตะวันทั้งที เข้าไปเถอะน่า”
“แต่...”
ภูมิตั้งท่าแย้งเพราะห้องด้านในที่เป็นส่วนออฟฟิศของสลิลลาค่อนข้างลับตาและแยกออกเป็นส่วนตัว แต่ไม่ทันหญิงสาวเจ้าของร้านที่จัดแจงบอกเสร็จก็พยักเพยิดให้ทั้งสองเข้าไปแล้วปิดประตูบานเลื่อนเรียบร้อย
“อาภูมิอย่าประชดแบบนี้สิคะ มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ!”“อารุ้แค่ว่าตะวันรังเกียจความรู้สึกของอา”“ตะวันไม่ได้รังเกียจ!”เธอหรือจะกล้าคิดอย่างนั้น...เด็กสาวน้ำตาหยดทันที ไวเท่าความคิดเท้าที่เจ็บเมื่อครู่กลับไร้ซึ่งความเจ็บปวด มันก้าวนำเธอไปทางฝั่งที่อาหนุ่มกำลังเปิดประตูรถโดยไม่นำพาว่าภูมิจะคิดยังไง“หยุดพูดว่าตะวันรังเกียจอาภูมินะคะ!” เธอตวาดลั่นดึงแขนอาหนุ่มให้หันกลับมาฝนกระหน่ำแรงกว่าเดิมจนเสื้อผ้าหน้าผมอาหลานต่างเปียกลู่ แต่ดวงตาทั้งสองยังคงจ้องกันแน่วแน่นิ่งงัน“ก็ได้... ต่อไปอาจะไม่พูด ไม่ทวงถามอะไรตะวันอีก” ภูมิแกะมือเย็นเฉียบของเด็กสาวออกและมองเธออย่างชั่งใจครู่หนึ่งก็ถอนใจพูดต่อ “อาจะถือว่าเรื่องระหว่างเราไม่เคยเกิดขึ้น ตะวันไม่ได้รักอา"“ไม่จริง!” ทานตะวันสะอึกสะอื้นทันทีภูมิก้มมองสองมือเรียวโอบรอบเอวของตนด้วยความตื่นตะลึง ทานตะวันแนบหน้ากับอกเขาตัวสั่นเทา ภูมิผละมือจากประตูลงกุมมือเด็กสาวไว้จะหันกลับไปแต่เธอขืนตัวไว้แล้วกอดแน่นยิ่งกว่าเดิมจนเขาแทบหายใจไม่ออก“หากอาภูมิรักตะวันจริง” เธอพูดเสียงสั่นเครือ มือกำจิกเสื้อเชิ้ตชายหนุ่มแน่น “คืนนี้เราค้างด้วยกันนะคะ”“อะไรนะ!” ภูมิค
เธอร้องเสียงหลงเหลียวหาคนช่วยแต่ถนนยามดึกเปลี่ยวจนน่าใจหาย ไม่มีรถแม้สักคันติดไฟแดงหรือผ่านไปมา ภูมินึกโมโหจนต้องตวาด“หยุดเดี๋ยวนี้! ร้องยังกะวัวถูกเชือดไปได้ อาไม่ได้จะพาไปฆ่าสักหน่อย”“อาภูมิไมได้ฆ่าให้ตายแต่อาภูมิจะฆ่าตะวันทั้งเป็นรู้ตัวรึเปล่าคะ” เธออุทธรณ์น้ำตาท่วมแก้ม“อาฆ่าตะวันทั้งเป็นตรงไหน ก็เห็นๆ อยู่ว่าตะวันก็เคลิ้มไปกับอา”“อาภูมิ!” เด็กสาวตวาดลั่นทุบอกอาหนุ่มทั้งที่ตัวยังลอยอยู่ในอ้อมแขน “ปล่อย! ถ้าจะดูถูกกันขนาดนี้ก็อย่าสนใจตะวันเหมือนเมื่อก่อนก็ได้”“ไม่ได้...”“ทำไม!”เด็กสาวช้อนตามอง หวังได้ยินคำตอบที่จะทำให้จิตใจดีขึ้น แต่ภูมิกลับนิ่งเฉยทำให้เธอฉุนจัด ฟาดฝ่ามือลงบนหน้าอาหนุ่มอย่างลืมตัว “นี่สำหรับสิ่งที่อาภูมิทำกับตะวัน”“ตะวัน! กล้าตบอาเชียวเหรอ” ภูมิถึงกับตะลึงตั้งตัวไม่ทัน ทั้งโมโหแต่ก็เหมือนจะมือไม้อ่อนเพราะดวงหน้าหลานสาวนอกไส้ทั้งเจ็บปวดและน่าสงสารเหลือเกิน แต่ที่เขาทำไปเพราะหึงหวงเกินต้านไหว เขาต้องหักใจดูทานตะวันเติบโตเป็นสาวอยู่ไกลตามากแค่ไหนแต่ตอนนี้ทานตะวันเรียนจบและโตพอที่จะไม่เป็นเพียงหลานสาวบุญธรรมของเขาแล้วหากบังคับให้เธอเป็นของเขาเสียแต่เดี๋ยวนี้ได
เธอตัดสินใจผลักอาหนุ่มเต็มแรงจนร่างหนาเซชนกระจกฝั่งคนขับ ศอกชายหนุ่มสัมผัสโดนปุ่มกระจกเต็มแรง หน้าต่างฝั่งคนขับเลื่อนลงโดยอัตโนมัติ ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “คุณ... คุณ”“อย่ายุ่งน่า ใครวะ!” ภูมิสบถหันขวับไปมองถึงกับเบิกตาค้าง “เฮ้ย! ตำรวจ!”“ก็ตำรวจสิครับ” นายตำรวจหนุ่มถอนหายใจเฮือกยกมือวางบนกระจกอีกมือส่องไฟฉายเข้ามาในรถสำรวจทานตะวันน้ำตาร่วงผล็อยเบือนหน้าหนีไปอีกฝั่งทันที อาหนุ่มแทบจะดึงทึ้งศีรษะตัวเองที่ปล่อยให้อารมณ์ใคร่พาไป มือหนาเอื้อมไปลูบผมเด็กสาวขยี้เบาๆ ก่อนเอาตัวบังให้แล้วบอก“ติดกระดุมเสื้อก่อน อาจะบังให้”ทานตะวันหน้าเหยเกตะครุบสาบเสื้อที่เปิดอ้าหันข้างให้แสงไฟก้มหน้าก้มตาติดกระดุมเสื้อมือไม้สั่น น้ำตาหยดลงบนหลังมือด้วยความคับแค้นแต่ไม่มีแม้แต่เสียงให้อีกฝ่ายได้ยินเพราะเธอกัดริมฝีปากแน่นแทนการกักเก็บเสียงจนปากนุ่มแทบห้อเลือด อาภูมิใจร้าย...ทำแบบนี้กับเธอทำไม... “ดึกดื่นมาจอดทำอะไรกันที่เปลี่ยวๆ แบบนี้ ขอดูใบขับขี่ด้วยครับ” ตำรวจหนุ่มค้อมตัวลงต่ำจ้องมองลึกไปยังที่นั่งอีกฝั่ง ภาพที่เห็นคือหญิงสาวร่างเล็กนั่งหันหลังให้
ทานตะวันอาศัยทีเผลอเปิดล็อคประตูรถจะก้าวลงไป มือหนาๆ ของเขาก็คว้าข้อมือเธอไว้แล้วกระชากกลับก่อนจะปิดล็อคจากฝั่งตัวเอง“เจ็บนะคะ!” เธอร้องบอก“เจ็บก็ดีแล้ว กล้าดียังไงดื้อกับอาแบบนี้ ลงไปเกิดอันตรายจะทำยังไง”“อยู่ที่นี่ก็อันตรายพอกันแหละค่ะ” เธอตอบพลันน้ำตาก็หยาดหยด “โอ๊ย! ตะวันเจ็บค่ะอา”ภูมิกัดฟันกรอดเบือนหน้าหนียังคงบีบข้อมือเธอแทบห้อเลือด หน้าเข้มเครียดขึ้ง สันกรามบดกันเป็นสันนูน ดวงตาวาวไปด้วยไฟแห่งความโกรธคุโชน เขาโมโหเธอที่ทำเหมือนไม่เคารพกัน“เจ็บงั้นเหรอ! อาสิเจ็บกว่าที่เห็นตะวันก้อร่อก้อติกกับผู้ชายพวกนั้น”“อะไรนะคะ!” เธอถามย้ำตาเหลือกลานกับคำพูดประชดประชัน “อาภูมิหมายความว่ายังไง ทำไมถึงเจ็บ ทำไมคะบอกให้ตะวันรู้หน่อย”“ไม่มีอะไร อาแค่ไม่ชอบที่ตะวันเห็นคนอื่นดีกว่าอา”“แค่นี้เหรอคะเหตุผล” เธอเอ่ยเสียงแผ่วราวกับให้ได้ยินแค่ตัวเองผิดหวัง...ดวงหน้าสดใสพลันหม่นหมองลงทันที เธอเบือนหน้าออกนอกหน้าต่าง ลอบถอนหายใจกลั้นสะอื้นไม่ให้น้ำตาหยาดไหล แต่ดูเหมือนความเสียใจจะไม่ฟัง เพราะไม่กี่นาทีต่อมาก็มีเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน หัวใจคนฟังตกอยู่ที่ตาตุ่มทันใด...“ร้องไห้
ทานตะวันผงะกับถ้อยคำประหลาด หัวใจเธอพองโตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ภูมิมีศักดิ์เป็นอาส่วนเธอมีฐานะเป็นเพียงหลานบุญธรรมของคุณภาคินีมารดาของภูมิ เธอไม่กล้าแม้แต่จะอาจเอื้อมคิดเผยอเทียบเคียงกับเขาได้เลย“อา... คือว่า... อา”ภูมิตั้งท่าจะสารภาพความรู้สึกกับทานตะวัน ถึงยังไงเขาก็ไม่ปล่อยให้เธอเป็นของใครแต่ทว่า...“อ้าว! ยังไม่กลับอีกเหรอคุณตะวัน”“คุณชลทิศ!”สองอาหลานผละออกจากกัน ทานตะวันเหลียวมองต้นเสียงสีหน้าเหยเก ส่วนภูมิกำหมัดแน่นเพราะอีกฝ่ายอมยิ้มมองมายังเขาคล้ายรู้ทัน ครู่เดียวก็ละสายตาไปรอคำตอบจากเด็กสาว“ตกใจอะไรเหรอครับคุณตะวัน”“ปละ... เปล่าค่ะ ตะวันกำลังจะกลับพอดีค่ะคุณชลทิศ”“งั้นเอาไว้เจอกันนะครับ” ชลทิศพูดจบทิ้งสายตามองภูมิที่ยืนหน้าตึงมองอยู่ครู่หนึ่งจึงหันมากระซิบบอก “ผมจะไปเยี่ยมคุณตะวันที่ไร่เร็วๆ นี้”“ไปทำไม!” ภูมิแย้งหน้าตึงทันที“เมื่อกี้ผมบอกไปแล้ว เกรงว่าคุณอาจะไม่ทันฟัง”“ใครเป็นอาคุณ” ภูมิตีรวนเสียงขึ้นจมูก “ไปตะวันกลับ!” “เอ่อ... แต่ตะวันว่า” เธอตอบได้เพียงเท่านี้ก็ถูกกระชากแขนออกห่างอีกฝ่าย “กลับ!” “เดี๋ยวสิคะอาภูมิ!” ทานตะวัน
แค่คิดก็เบื่อ ดีที่มีชลทิศมาคุยเป็นเพื่อน แต่คุยได้ไม่นานภูมิก็เดินตรงเข้ามาสีหน้าถมึงทึงจนทานตะวันที่กำลังหัวเราะร่วนถึงกับหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว“คุยอะไรอยู่หัวเราะสนุกเชียว”คำถามราบเรียบแต่น้ำเสียงดุดันของอาหนุ่ม ทั้งมองเธอและตวัดหางตามาทางชลทิศ ทำให้ทานตะวันขนคอลุกชัน เธอยิ้มแหยๆ แนะนำอีกฝ่ายกับอาของเธอ “นี่คุณชลทิศค่ะ ส่วนนี้คือ...” “คุณภูมิ ภูมิรัตน์ ลูกชายคนเดียวของคุณภาคินี ภูมิรัตน์ เศรษฐีนีเจ้าของสวนปาล์มทางใต้ใช่ไหมครับ” ชลทิศต่อให้สบตาภูมิแบบไม่มีใครยอมใคร ภูมิหัวเราะหึๆ ก่อนตอบ “ครับ... และรีสอร์ตกำลังจะเปิดตัว” “อ๋อ มีรีสอร์ตด้วย” ชลทิศทวนคำแล้วพยักหน้ารับรู้ตาม “ถ้ามีโอกาสผมคงได้ไปพักบ้าง” “น่าจะยังไม่เร็วๆ นี้” ภูมตอบหน้านิ่ง ทานตะวันอึ้ง มองทั้งสองแล้วลอบพรูลมหายใจไม่มีออมคำพูดเลย... ทานตะวันลอบพรูลมหายใจ อดเหน็บแนมอาหนุ่มในใจไม่ได้ แต่ภูมิยักไหล่ เธอทันเห็นจึงเบะปากใส่แต่อีกฝ่ายกลับลอบยกยิ้มทำให้เธอนึกเคืองในใจ“โอว... ผมตกข่าว เพิ่งรู้ว่าไร่ภูมิวัฒน์ทำรีสอร์ตด้วย” ชลทิศตอบแก้เก้อนึกรู