ทานตะวันรีบตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน อยากทึ้งหัวสมองไม่รักดีเป็นบ้า!
ภูมิหันขวับมาที่ทานตะวัน เห็นสีหน้าของเธอนั้นจะว่าแดงก็แดงก่ำเหมือนคนจิบไวน์ ทำให้เขาอดคิดไมได้ว่าหรือที่เธอพูดนั้นเพราะคิดจริงหรือแค่...
“ตะวันแค่ยกตัวอย่างค่ะอาภูมิ อย่าคิดมากว่าตะวันแก่แดดเลยนะคะ” เธอรีบบอกหลังจากเงยหน้าสบตาอาหนุ่มที่จ้องอยู่ก่อนแล้ว
ภูมิจึงได้สติตอบกลับ “เออ... ไม่เป็นไร”
“ตะวันว่าเราดูอย่างอื่นดีกว่า”
ทานตะวันเอื้อมหยิบแผ่นอื่นที่ช่องกลางระหว่างเบาะได้แล้วดึงดันจะกดปุ่มดึงแผ่นเก่าออก แต่คนเป็นอากลับปัดมือเธอแล้วบอกเสียงดุ
“แต่อาชอบ”
“แต่ว่าอาภูมิดูแล้วนี่คะ ตะวันอยากดูอย่างอื่น”
อีกฝ่ายทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ แค่นี้เด็กสาวก็รู้แล้วว่ากำลังไม่พอใจ เธอชะงักแล้วเก็บแผ่นใหม่ใส่ที่เดิมแล้วเอ่ยกับอาหนุ่มเสียงอ่อย
“ก็อาอยากให้ตะวันดู”
“แล้วทำไมต้องดูล่ะคะ ตะวันไม่ชอบนี่”
“ไม่ขัดใจอาสักวันคงไม่อัดอั้นใจตายหรอกมั้ง”
“ฮึ อาภูมิเผด็จการ”
เสียงอ่อยๆ ของทานตะวันทำให้ภูมิเลิกต่อปากต่อคำ ทั้งรถจึงมีเพียงเสียงพูดจากเครื่องเล่นซีดีที่กำลังเล่นไปตามบทเท่านั้น แต่แค่นี้ทานตะวันก็รู้สึกหน้าชากับฉากเด็ดในหนังแล้ว
สาวน้อยพรูลมหายใจ ไม่รู้ว่าจะอึดอัดหรือโล่งอกดีที่ภูมิไม่พูดกับเธอต่อ เพราะท่าทางจะหงุดหงิดมากพอดู ทานตะวันเหลือบมองหน้าจออีกครั้งหลังจากเมินหนีไปรอบก็ถึงกับใบหน้าเห่อร้อน เพราะภาพที่เห็นคือสองหนุ่มสาวกำลังนัวเนียเข้าด้ายเข้าเข็มกันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ฉากที่เด็กสาวขึ้นนั่งคร่อมร่างผอมเกร็งของชายแก่กว่าเป็นรอบสองรอบแล้วอกใจเธอหายวูบ แค่การแสดงทำไมต้องลงทุนเปลืองตัวขนาดนี้เชียว...
ดูสิ...
หนำซ้ำตัวละครในเรื่องยังวัยห่างกันเหมือนเธอกับอาภูมิอีก
เฮ้อ!
เด็กสาวครุ่นคิดแล้วได้แต่ถอนใจ ดีที่จอภาพอยู่ด้านล่างคอนโซลรถ หากตั้งอยู่ด้านบนเธอคงหน้าชาด้วยอายสายตาคนนอกมองเข้ามา แต่อาหนุ่มกลับผิวปากตามทำนองเพลงในเรื่องราวกับไม่สนใจว่าเธอจะอึดอัดอย่างไร
รถแล่นไปอีกพักใหญ่เข้าสู่ช่วงการจราจรติดขัด ภูมิผิวปากเบาๆ ก่อนจะเหลือบมองทานตะวันที่นั่งสัปหงกไม่สนใจอะไร เขาจึงเปลี่ยนจากหนังที่กำลังเข้าสู่ช่วงโศกนาฏกรรมตอนท้ายมาเป็นเพลงฟังสบายๆ แทน
ทำนองเพลงหวานเนื้อเพลงสื่อถึงความรักที่เป็นไปได้แม้ว่าฟ้าฝนหรืออะไรหลายอย่างจะไม่เป็นใจ ทำให้ภูมิปล่อยใจลอยไปกับเพลงจนกระทั่งเสียงกระแอมไอจากร่างเล็กที่นั่งสัปหงกข้างๆ ทำให้เขาค่อยๆ พารถเข้าจอดข้างหลังผ่านพ้นช่วงจราจรติดขัดได้พักใหญ่
ภูมิขยับไหล่ไปใกล้แล้วเอื้อมมือโน้มไหล่เด็กสาวที่ขยับไปมาคล้ายปวดเมื่อยไม่ค่อยสบายตัว ให้ศีรษะเธอเอนซบบนไหล่ของเขา แพขนตายาวนิ่งสนิทแล้วแสดงให้เห็นว่าทานตะวันเข้าสู่ช่วงหลับลึก ภูมิเผลอตัวก้มหน้าแนบริมฝีปากบนเปลือกตาหนาเบาๆ ก่อนจะไล้ลงไปที่แก้มนวลหอมกรุ่น
น่ารักเหลือเกิน ทานตะวันของอา...
ภูมิถึงกับสะดุ้งเมื่อพบว่าเจ้าของดวงหน้านวลใสที่เขาเผลอสูดความหอมที่แก้มเธออยู่ขณะนี้กำลังลืมตา
เหมือนไฟฟ้านับพันโวลต์ไหลเวียนทั่วร่าง ภูมิจะถอยก็ดูเหมือนร่างกายไร้แรงขยับเขยื้อน ได้แต่ค้างอยู่อย่างนั้นทั้งที่ริมฝีปากยังแตะบนแก้มเธอ
“อาภูมิทำอะไรคะ” ทานตะวันเสียงสั่นคล้ายละเมอ
“เอ่อ ยุงน่ะ ยุงเกาะที่แก้มตะวัน” ภูมิแก้เก้อรีบถอนตัวออกห่างแล้วโบกมือไปมาตรงข้างแก้มหญิงสาวจนไรผมนิ่มปลิวไสว “นี่ไง อาไล่มันให้แล้ว”
“อ๋อ” ทานตะวันพูดเท่านั้นก็เสเปลี่ยนเรื่อง “เพลงเพราะจังค่ะอาภูมิ”
“อ่อ อืม เพลง Home ของ Michale Buble น่ะ อาเห็นตะวันหลับเพลินก็เลยเปลี่ยนเป็นเพลงเบาๆ”
“ตะวันชอบค่ะ โดยเฉพาะท่อนสุดท้าย I’ll be home tonight I’m coming back home กับอาภูมิ”
ภูมิฟังแล้วหัวใจพองโต ทานตะวันจะรู้ตัวไหมว่าทำให้คนรอใจแกว่งแค่ไหน ทานตะวันอยากกลับบ้านกับเขา บ้านที่มีเขา มารดา กับทานตะวันที่เป็นครอบครัวเดียวกัน
ในที่สุดภูมิตัดสินใจถามสิ่งที่คาใจ
“ตอนนี้ตะวันมีใครรึยัง”
“มีใคร หมายถึงอะไรคะ?” เธอสะดุ้งตอบแค่สั้นๆ แล้วก็ได้รับคำตอบเป็นสายตาเคลือบแคลง
“ก็ใคร... ที่มันหมายถึงแฟนไง”
“ทำไมจู่ๆ ถามคะ ตะวันตกใจหมด” ทานตะวันเสียงอ่อย
ภูมิเห็นเธอเลี่ยงไม่ตอบก็รู้สึกขัดใจ “อาถามเรื่องเบสิคแค่นี้ก็ต้องตกใจด้วย”
เธอส่ายหน้าเบาๆ ก่อนตอบ “ตะวันไม่เคยมีใคร”
นอกจากอาภูมิ...
ทานตะวันนึกในใจพลันหน้าแดงซ่าน มือไม้เงอะงะขึ้นมาทันทีด้วยความอายความรู้สึกตัวเอง
“ไม่น่าเชื่อ จบมหาลัยแล้วไม่เคยมีแฟนสักคนเลยเหรอ”
“อาภูมิอยากให้ตะวันมีแฟนเหรอคะ”
“เอ่อ ก็ไม่เชิง อาแค่อยากรู้”
“ตะวันไปเรียนนี่คะ คุณย่าก็ขอร้องว่าอย่าเพิ่งคิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เอาไว้เรียนจบก่อนก็ไม่สาย ยิ่งอาภูมิย้ำตะวันขนาดนั้นจะกล้ามีแฟนได้ยังไงคะ” เธอตอบเสียงเรียบเหมือนเล่าไปเรื่อยแต่ก็ชะงักเมื่ออีกฝ่ายพูดต่อ
“งั้นต่อจากนี้ก็คิดได้แล้วนะ”
“อาภูมิอย่าประชดแบบนี้สิคะ มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ!”“อารุ้แค่ว่าตะวันรังเกียจความรู้สึกของอา”“ตะวันไม่ได้รังเกียจ!”เธอหรือจะกล้าคิดอย่างนั้น...เด็กสาวน้ำตาหยดทันที ไวเท่าความคิดเท้าที่เจ็บเมื่อครู่กลับไร้ซึ่งความเจ็บปวด มันก้าวนำเธอไปทางฝั่งที่อาหนุ่มกำลังเปิดประตูรถโดยไม่นำพาว่าภูมิจะคิดยังไง“หยุดพูดว่าตะวันรังเกียจอาภูมินะคะ!” เธอตวาดลั่นดึงแขนอาหนุ่มให้หันกลับมาฝนกระหน่ำแรงกว่าเดิมจนเสื้อผ้าหน้าผมอาหลานต่างเปียกลู่ แต่ดวงตาทั้งสองยังคงจ้องกันแน่วแน่นิ่งงัน“ก็ได้... ต่อไปอาจะไม่พูด ไม่ทวงถามอะไรตะวันอีก” ภูมิแกะมือเย็นเฉียบของเด็กสาวออกและมองเธออย่างชั่งใจครู่หนึ่งก็ถอนใจพูดต่อ “อาจะถือว่าเรื่องระหว่างเราไม่เคยเกิดขึ้น ตะวันไม่ได้รักอา"“ไม่จริง!” ทานตะวันสะอึกสะอื้นทันทีภูมิก้มมองสองมือเรียวโอบรอบเอวของตนด้วยความตื่นตะลึง ทานตะวันแนบหน้ากับอกเขาตัวสั่นเทา ภูมิผละมือจากประตูลงกุมมือเด็กสาวไว้จะหันกลับไปแต่เธอขืนตัวไว้แล้วกอดแน่นยิ่งกว่าเดิมจนเขาแทบหายใจไม่ออก“หากอาภูมิรักตะวันจริง” เธอพูดเสียงสั่นเครือ มือกำจิกเสื้อเชิ้ตชายหนุ่มแน่น “คืนนี้เราค้างด้วยกันนะคะ”“อะไรนะ!” ภูมิค
เธอร้องเสียงหลงเหลียวหาคนช่วยแต่ถนนยามดึกเปลี่ยวจนน่าใจหาย ไม่มีรถแม้สักคันติดไฟแดงหรือผ่านไปมา ภูมินึกโมโหจนต้องตวาด“หยุดเดี๋ยวนี้! ร้องยังกะวัวถูกเชือดไปได้ อาไม่ได้จะพาไปฆ่าสักหน่อย”“อาภูมิไมได้ฆ่าให้ตายแต่อาภูมิจะฆ่าตะวันทั้งเป็นรู้ตัวรึเปล่าคะ” เธออุทธรณ์น้ำตาท่วมแก้ม“อาฆ่าตะวันทั้งเป็นตรงไหน ก็เห็นๆ อยู่ว่าตะวันก็เคลิ้มไปกับอา”“อาภูมิ!” เด็กสาวตวาดลั่นทุบอกอาหนุ่มทั้งที่ตัวยังลอยอยู่ในอ้อมแขน “ปล่อย! ถ้าจะดูถูกกันขนาดนี้ก็อย่าสนใจตะวันเหมือนเมื่อก่อนก็ได้”“ไม่ได้...”“ทำไม!”เด็กสาวช้อนตามอง หวังได้ยินคำตอบที่จะทำให้จิตใจดีขึ้น แต่ภูมิกลับนิ่งเฉยทำให้เธอฉุนจัด ฟาดฝ่ามือลงบนหน้าอาหนุ่มอย่างลืมตัว “นี่สำหรับสิ่งที่อาภูมิทำกับตะวัน”“ตะวัน! กล้าตบอาเชียวเหรอ” ภูมิถึงกับตะลึงตั้งตัวไม่ทัน ทั้งโมโหแต่ก็เหมือนจะมือไม้อ่อนเพราะดวงหน้าหลานสาวนอกไส้ทั้งเจ็บปวดและน่าสงสารเหลือเกิน แต่ที่เขาทำไปเพราะหึงหวงเกินต้านไหว เขาต้องหักใจดูทานตะวันเติบโตเป็นสาวอยู่ไกลตามากแค่ไหนแต่ตอนนี้ทานตะวันเรียนจบและโตพอที่จะไม่เป็นเพียงหลานสาวบุญธรรมของเขาแล้วหากบังคับให้เธอเป็นของเขาเสียแต่เดี๋ยวนี้ได
เธอตัดสินใจผลักอาหนุ่มเต็มแรงจนร่างหนาเซชนกระจกฝั่งคนขับ ศอกชายหนุ่มสัมผัสโดนปุ่มกระจกเต็มแรง หน้าต่างฝั่งคนขับเลื่อนลงโดยอัตโนมัติ ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “คุณ... คุณ”“อย่ายุ่งน่า ใครวะ!” ภูมิสบถหันขวับไปมองถึงกับเบิกตาค้าง “เฮ้ย! ตำรวจ!”“ก็ตำรวจสิครับ” นายตำรวจหนุ่มถอนหายใจเฮือกยกมือวางบนกระจกอีกมือส่องไฟฉายเข้ามาในรถสำรวจทานตะวันน้ำตาร่วงผล็อยเบือนหน้าหนีไปอีกฝั่งทันที อาหนุ่มแทบจะดึงทึ้งศีรษะตัวเองที่ปล่อยให้อารมณ์ใคร่พาไป มือหนาเอื้อมไปลูบผมเด็กสาวขยี้เบาๆ ก่อนเอาตัวบังให้แล้วบอก“ติดกระดุมเสื้อก่อน อาจะบังให้”ทานตะวันหน้าเหยเกตะครุบสาบเสื้อที่เปิดอ้าหันข้างให้แสงไฟก้มหน้าก้มตาติดกระดุมเสื้อมือไม้สั่น น้ำตาหยดลงบนหลังมือด้วยความคับแค้นแต่ไม่มีแม้แต่เสียงให้อีกฝ่ายได้ยินเพราะเธอกัดริมฝีปากแน่นแทนการกักเก็บเสียงจนปากนุ่มแทบห้อเลือด อาภูมิใจร้าย...ทำแบบนี้กับเธอทำไม... “ดึกดื่นมาจอดทำอะไรกันที่เปลี่ยวๆ แบบนี้ ขอดูใบขับขี่ด้วยครับ” ตำรวจหนุ่มค้อมตัวลงต่ำจ้องมองลึกไปยังที่นั่งอีกฝั่ง ภาพที่เห็นคือหญิงสาวร่างเล็กนั่งหันหลังให้
ทานตะวันอาศัยทีเผลอเปิดล็อคประตูรถจะก้าวลงไป มือหนาๆ ของเขาก็คว้าข้อมือเธอไว้แล้วกระชากกลับก่อนจะปิดล็อคจากฝั่งตัวเอง“เจ็บนะคะ!” เธอร้องบอก“เจ็บก็ดีแล้ว กล้าดียังไงดื้อกับอาแบบนี้ ลงไปเกิดอันตรายจะทำยังไง”“อยู่ที่นี่ก็อันตรายพอกันแหละค่ะ” เธอตอบพลันน้ำตาก็หยาดหยด “โอ๊ย! ตะวันเจ็บค่ะอา”ภูมิกัดฟันกรอดเบือนหน้าหนียังคงบีบข้อมือเธอแทบห้อเลือด หน้าเข้มเครียดขึ้ง สันกรามบดกันเป็นสันนูน ดวงตาวาวไปด้วยไฟแห่งความโกรธคุโชน เขาโมโหเธอที่ทำเหมือนไม่เคารพกัน“เจ็บงั้นเหรอ! อาสิเจ็บกว่าที่เห็นตะวันก้อร่อก้อติกกับผู้ชายพวกนั้น”“อะไรนะคะ!” เธอถามย้ำตาเหลือกลานกับคำพูดประชดประชัน “อาภูมิหมายความว่ายังไง ทำไมถึงเจ็บ ทำไมคะบอกให้ตะวันรู้หน่อย”“ไม่มีอะไร อาแค่ไม่ชอบที่ตะวันเห็นคนอื่นดีกว่าอา”“แค่นี้เหรอคะเหตุผล” เธอเอ่ยเสียงแผ่วราวกับให้ได้ยินแค่ตัวเองผิดหวัง...ดวงหน้าสดใสพลันหม่นหมองลงทันที เธอเบือนหน้าออกนอกหน้าต่าง ลอบถอนหายใจกลั้นสะอื้นไม่ให้น้ำตาหยาดไหล แต่ดูเหมือนความเสียใจจะไม่ฟัง เพราะไม่กี่นาทีต่อมาก็มีเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน หัวใจคนฟังตกอยู่ที่ตาตุ่มทันใด...“ร้องไห้
ทานตะวันผงะกับถ้อยคำประหลาด หัวใจเธอพองโตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ภูมิมีศักดิ์เป็นอาส่วนเธอมีฐานะเป็นเพียงหลานบุญธรรมของคุณภาคินีมารดาของภูมิ เธอไม่กล้าแม้แต่จะอาจเอื้อมคิดเผยอเทียบเคียงกับเขาได้เลย“อา... คือว่า... อา”ภูมิตั้งท่าจะสารภาพความรู้สึกกับทานตะวัน ถึงยังไงเขาก็ไม่ปล่อยให้เธอเป็นของใครแต่ทว่า...“อ้าว! ยังไม่กลับอีกเหรอคุณตะวัน”“คุณชลทิศ!”สองอาหลานผละออกจากกัน ทานตะวันเหลียวมองต้นเสียงสีหน้าเหยเก ส่วนภูมิกำหมัดแน่นเพราะอีกฝ่ายอมยิ้มมองมายังเขาคล้ายรู้ทัน ครู่เดียวก็ละสายตาไปรอคำตอบจากเด็กสาว“ตกใจอะไรเหรอครับคุณตะวัน”“ปละ... เปล่าค่ะ ตะวันกำลังจะกลับพอดีค่ะคุณชลทิศ”“งั้นเอาไว้เจอกันนะครับ” ชลทิศพูดจบทิ้งสายตามองภูมิที่ยืนหน้าตึงมองอยู่ครู่หนึ่งจึงหันมากระซิบบอก “ผมจะไปเยี่ยมคุณตะวันที่ไร่เร็วๆ นี้”“ไปทำไม!” ภูมิแย้งหน้าตึงทันที“เมื่อกี้ผมบอกไปแล้ว เกรงว่าคุณอาจะไม่ทันฟัง”“ใครเป็นอาคุณ” ภูมิตีรวนเสียงขึ้นจมูก “ไปตะวันกลับ!” “เอ่อ... แต่ตะวันว่า” เธอตอบได้เพียงเท่านี้ก็ถูกกระชากแขนออกห่างอีกฝ่าย “กลับ!” “เดี๋ยวสิคะอาภูมิ!” ทานตะวัน
แค่คิดก็เบื่อ ดีที่มีชลทิศมาคุยเป็นเพื่อน แต่คุยได้ไม่นานภูมิก็เดินตรงเข้ามาสีหน้าถมึงทึงจนทานตะวันที่กำลังหัวเราะร่วนถึงกับหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว“คุยอะไรอยู่หัวเราะสนุกเชียว”คำถามราบเรียบแต่น้ำเสียงดุดันของอาหนุ่ม ทั้งมองเธอและตวัดหางตามาทางชลทิศ ทำให้ทานตะวันขนคอลุกชัน เธอยิ้มแหยๆ แนะนำอีกฝ่ายกับอาของเธอ “นี่คุณชลทิศค่ะ ส่วนนี้คือ...” “คุณภูมิ ภูมิรัตน์ ลูกชายคนเดียวของคุณภาคินี ภูมิรัตน์ เศรษฐีนีเจ้าของสวนปาล์มทางใต้ใช่ไหมครับ” ชลทิศต่อให้สบตาภูมิแบบไม่มีใครยอมใคร ภูมิหัวเราะหึๆ ก่อนตอบ “ครับ... และรีสอร์ตกำลังจะเปิดตัว” “อ๋อ มีรีสอร์ตด้วย” ชลทิศทวนคำแล้วพยักหน้ารับรู้ตาม “ถ้ามีโอกาสผมคงได้ไปพักบ้าง” “น่าจะยังไม่เร็วๆ นี้” ภูมตอบหน้านิ่ง ทานตะวันอึ้ง มองทั้งสองแล้วลอบพรูลมหายใจไม่มีออมคำพูดเลย... ทานตะวันลอบพรูลมหายใจ อดเหน็บแนมอาหนุ่มในใจไม่ได้ แต่ภูมิยักไหล่ เธอทันเห็นจึงเบะปากใส่แต่อีกฝ่ายกลับลอบยกยิ้มทำให้เธอนึกเคืองในใจ“โอว... ผมตกข่าว เพิ่งรู้ว่าไร่ภูมิวัฒน์ทำรีสอร์ตด้วย” ชลทิศตอบแก้เก้อนึกรู