บทที่ 7 ผู้ชายคนนั้นเขาไม่ได้โกรธนายหรอก
“ถ้าฉันบอกว่าใช่ล่ะ” หลุยส์ตอบทันที มองเพื่อนทั้งสองคนด้วยสายตาจริงจัง “ครอบครัวของฉันเป็นตระกูลใหญ่ที่คอยแต่ชิงดีชิงเด่นกันเอง ถึงฉันจะไว้ใจพ่อแม่แต่ฉันก็เชื่อใจพวกท่านไม่ได้ เพราะท่านยังมีลูกและหลานอีกหลายคน ถ้าท่านไม่ยอมแบ่งผลประโยชน์ให้ลูกชายฉันอย่างที่ท่านพูดจริงๆ ล่ะ ลูกฉันก็คงไม่ต่างไปจากขอทาน ฉันคิดว่าวิธีนี้ดีที่สุดแล้วโมก ทศ อย่างน้อยลูกฉันก็ยังได้เงินปันผลทุกปี พวกนายช่วยฉันด้วยนะ ฉันเชื่อว่านายสองคนจะไม่โกงลูกฉันหรอก”
“ถ้านายไว้ใจฉัน ฉันก็จะยอมช่วยนาย” วิโมกข์รับปากเป็นคนแรกเพราะเห็นแก่เด็กและอยากแก้แค้นอดีตคนรักอยู่ในที
“ถ้าโมกมันรับปากฉันก็เอาด้วยคน” บารมีรับปากอย่างกลัดกลุ้ม นึกสงสัยว่าคนรวยมากๆ นี่เขาสุขหรือทุกข์กันแน่ “แล้วพ่อกับแม่นายจะไม่เคืองฉันสองคนเหรอ”
“เขาคงจะโกรธฉันจนไม่อยากมองหน้าเลย ลูกชายคนโตของครอบครัวขายหุ้นให้เพื่อนเพื่อแก้แค้นที่ถูกตัดออกจากกองมรดก” หลุยส์ เซียะ กล่าวอย่างขมขื่นในโชคชะตาของตัวเอง “ฉันขอบใจนายสองคนมากนะ ฉันจะรีบไปจัดการเรื่องเอกสารแล้วเราจะนัดเจอกันที่นี่อีกที”
หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ทุกคนก็กลับมาเจอกันอีกครั้ง วิโมกข์และบารมีรับเอกสารการถือหุ้นมาคนละฉบับ หลังจากลงชื่อซื้อขายเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ไอ้ทศเอาของมึงมาให้กู แล้วมึงก็เก็บของกูไว้” วิโมกข์แลกเปลี่ยนเอกสารกับเพื่อนซี้ “อนาคตถ้ามึงหรือกูเกิดความโลภอยากจะโกงหลานขึ้นมา จะได้ทำกันยากหน่อย”
“ก็ดีเหมือนกัน” เพื่อนรักทั้งสองจึงแลกเปลี่ยนเอกสารของตนเองให้อีกฝ่ายเก็บรักษา
“ขอบใจนายสองคนมากนะ เสร็จเรื่องนี้ฉันก็หมดห่วงแล้ว ตอนนี้ฉันก็แค่รอเวลาถูกไล่ออกจากบริษัทเท่านั้น”
“มันอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ นายอย่าเพิ่งคิดมากเลยนะ” วิโมกข์ปลอบใจ อยากจะถามมากกว่านี้แต่ก็ฝืนใจเอาไว้ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา
“แล้วนายคุยเรื่องนี้กับเมียหรือยัง” แต่บารมีกลับถามออกไปดั่งที่ใจเขาต้องการ
“เราทะเลาะกันรุนแรงเพราะเรื่องนี้ เธอบอกว่าที่แต่งงานกับฉัน เพราะหวังว่าฉันจะได้เป็นผู้สืบทอดรุ่นต่อไปของครอบครัว เธอถึงยอมทิ้งคนรักเก่าที่รักกันถึงห้าปีมาหาฉัน ถ้ารู้ว่าฉันจะเป็นแบบนี้ เธอจะไม่ทิ้งเขามาหาผู้ชายอย่างฉันเด็ดขาด เธอบอกว่าเขาคนนั้นรักเธอมาก แม้แต่ดาวกับเดือนก็หาให้เธอได้ถ้าเธอต้องการ แต่เธอก็ยังเลือกฉันเพราะคิดว่าฉันมีให้เธอได้มากกว่าเขา” หลุยส์ เซียะ เล่าด้วยความรู้สึกเจ็บปวดสุดบรรยาย “มันเจ็บนะโมก ทศ ที่เมียของตัวเองพูดแบบนี้”
“อย่าดื่มมาก นายต้องขับรถกลับอีกนะหลุยส์” บารมีเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นเพื่อนดื่มเหล้าหนักขึ้น
“ฉันดื่มเพราะดีใจที่ฝากลูกชายให้พวกนายดูแลได้สำเร็จ แล้วก็ดื่มเพราะเสียใจที่ไปหลงรักผู้หญิงไร้หัวใจอย่างมีนา มันคงเป็นกรรมที่ฉันพรากเธอมาจากผู้ชายคนนั้น ต่อให้ล้างบาปจนถึงวันตายก็คงลบล้างความผิดนี้ไม่ได้”
“ผู้ชายคนนั้นเขาไม่โกรธนายหรอก” วิโมกข์ตบบ่าปลอบใจเพื่อนผู้รันทด
“นายรู้ได้ยังไงโมก เขาอาจจะสาปแช่งฉันก็ได้ ฉันถึงได้เป็นแบบนี้”
“ไม่หรอกหลุยส์ ฉันรู้เพราะผู้ชายคนนั้นเขาเป็นเหมือนฉัน”
จริงสินะ เพื่อนเขาคนนี้เคยอกหักจากคนรักมาแล้ว เขาก็เคยเห็นมาแล้วกับตาว่ามีสภาพอย่างไร แต่ก็เพิ่งจะรู้ว่ามันคล้ายกับเรื่องของตน ต่างกันตรงที่เขาเป็นผู้ถูกทิ้ง ส่วนตนเป็นผู้สมหวัง
“เลิกคิดแบบนั้นแล้วเอาเวลาไปดูแลลูกชายของนายให้ดีที่สุดดีกว่านะ แล้วก็เลิกดื่มได้แล้ว”
หลุยส์ เซียะ ชักมือหนีไม่ให้เพื่อนรักดึงแก้วไปได้ “ขอฉันดื่มเถอะนะโมก หลังจากวันนี้ฉันจะไม่ดื่มอีกแล้ว”
“ฉันไม่ได้หมายความว่าให้นายเลิกดื่ม แต่ให้ดื่มน้อย ๆ ลงหน่อยเพราะนายคออ่อนมาก”
“ขอบใจที่เป็นห่วงฉันนะโมก นายต้องห่วงใยลูกชายฉันเหมือนที่ห่วงฉันด้วยนะ พวกนายต้องช่วยกันดูแลลูกชายฉันนะ รับปากฉันสิ”
“ได้สิ”
“ลูกนายก็เหมือนหลานของเรา เราจะปกป้องเขาแทนนายเอง” บารมีตบบ่าเพื่อนที่เมาจนเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง
“ได้ยินแบบนี้แล้วฉันสบายใจจัง ต่อให้ตายก็ไม่เสียดายชีวิตแล้ว มาชนแก้วด้วยกันเป็นครั้งสุดท้ายสิ ต่อไปนี้ฉันจะไม่ดื่มไอ้น้ำเมานี้อีกแล้ว” ...
สิงคโปร์
“มันเป็นแบบนี้ได้ยังไงวะโมก” บารมีมองโลงศพที่กำลังถูกหย่อนลงหลุม คิดไม่ถึงเลยว่าเพื่อนรักจะจากไปเร็วแบบนี้
“ฉันไม่คิดเลยว่าคำพูดของหลุยส์คืนนั้นจะหมายถึงแบบนี้” วิโมกข์ก็โศกเศร้าไม่ต่างกับบารมี คืนนั้นหลังจากดื่มด้วยกัน เขาก็ห้ามปรามไม่ให้ชายหนุ่มขับรถกลับ และชักชวนให้ไปพักด้วยกันที่บ้าน ถ้าเขายอมไปด้วยก็คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ “แต่ทำไมเธอถึงไม่มาร่วมงานศพของสามี” เขามองเด็กชายวัยประมาณสี่ขวบที่ยืนไร้เดียงสาอยู่กับพี่เลี้ยง แยกออกจากกลุ่มคนในครอบครัวอย่างชัดเจน ไร้เงาของมารดามาเคียงข้าง
“ฉันได้ยินว่าทางนี้พยายามติดต่อกับเธอตั้งแต่วันที่หลุยส์เกิดอุบัติเหตุ จนถึงวันนี้ก็ยังติดต่อเธอไม่ได้” บารมีกระซิบบอก “โชคดีที่หลุยส์จัดการเรื่องหุ้นเรียบร้อยแล้ว แต่ทุกอย่างที่เป็นของมันคงเสร็จเธอหมด” คืนนั้นตอนที่นั่งดื่มด้วยกันเขายังคุยว่า จะเอาเงินเก็บไปซื้อประกันชีวิตและยกผลประโยชน์ให้ลูกชาย แต่เขามาจากไปซะก่อนแบบนี้ เงินนั้นก็ต้องตกเป็นของภรรยาอย่างไร้เงื่อนไข
“ฉันเพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นคนโชคดีมากก็วันนี้แหละไอ้ทศ คิดๆ แล้วก็อายว่ะ ที่ร้องไห้ฟูมฟายไม่เป็นผู้เป็นคนเพราะผู้หญิงอย่างนั้น”
‘ฉันไม่อยากให้คุณอายตัวเองเวลาได้พบกับรักครั้งใหม่ หรือคุณคิดว่าจะไม่รักใครอีกแล้ว โง่สิ้นดี!’ คำพูดเมื่อหลายปีก่อนของเด็กสาวที่ชื่อชาร์มมิ่งดังก้องอยู่ในสมอง
“เราอาจจะเจอศึกหนักหลังจากงานนี้นะไอ้ทศ ปัญหาเรื่องหุ้นต้องเกิดขึ้นแน่”
“ถือว่าช่วยมันเป็นครั้งสุดท้ายวะไอ้โมก มันไว้ใจเรา เราก็ต้องช่วยมัน”
“มึงกับกูต้องยืนหยัดไว้นะ ห้ามบอกความจริงเรื่องนี้ให้ใครรู้เด็ดขาด”
“กูรู้แล้วไอ้โมก ถึงปากกูจะช่างเจรจา แต่กูก็รู้ว่าเรื่องไหนควรไม่ควร”
“ยังแบมือขอเงินพ่อใช้อยู่เลย คิดจะมารับผิดชอบพี่ได้ยังไง”“ใครบอกพี่โมกว่าชาร์มไม่ได้ทำงาน ชาร์มเขียนเพลงแล้วก็ช่วยงานคุณพ่อด้วยนะ” เธอเชิดหน้าเถียงเขาที่บังอาจมาดูถูก “คุณพ่อถึงอนุมัติให้ชาร์มใช้เงินได้เต็มที่ไงคะ”“งั้นเหรอ แล้วได้ค่าจ้างเดือนละเท่าไหร่ล่ะ” ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าสาวน้อยคนนี้ทำอะไรบ้าง เพราะน้องสาวเคยเล่าให้ฟังแล้ว แต่เขาก็แค่อยากแกล้งเธอเล่นเท่านั้น“ก็เท่าที่อยากจะใช้นั่นแหละค่ะ” เธอมองค้อนพร้อมกับย่นจมูกใส่เขาเล็กน้อยเขาหัวเราะเบา ๆ เพราะตลกกับคำตอบของเธอ “หึ ๆ ๆ จ่ายให้พี่ไปก่อนก็แล้วกัน แล้วพี่จะใช้เงินสดให้ดีไหม เราจะได้มีเงินสดติดตัวเพิ่มขึ้นอีกหน่อย”“ชาร์มบอกแล้วไงคะว่าจะรับผิดชอบค่ารักษาทั้งหมดเอง” เธอหน้างอยิ่งกว่าเดิมเมื่อถูกขัดใจวิโมกข์เอื้อมมือไปลูบแก้มใส ๆ นั้นอย่างลืมตัว เพราะรู้สึกเอ็นดูกับท่าทางน่ารักน่าชังที่เธอแสดงออกมา“ถ้าไม่ตกลงตามนี้พี่ก็ไม่เอา เดี๋ยวพี่เดินไปเอากระเป๋าที่รถก็ได้”“ก็ได้ค
หญิงสาวรีบปล่อยมือจากประตูเมื่อสู้แรงเขาไม่ได้ เพราะกลัวมันจะหนีบใส่.. แล้วร้องกรี๊ดออกมาดังลั่นเมื่อได้ทบทวนคำพูดของเขา“ทำไมมีนจะไม่ใช่เมียคุณ เราเคยรักกันมาตั้งห้าปี คุณยังเคยคุกเข่าอ้อนวอนไม่ให้มีนทิ้งคุณ คุณบอกว่าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมีน มีนก็กลับมาหาคุณแล้วไงล่ะ ทำไมคุณไม่ทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้ คุณมันผู้ชายสับปลับ” เธอตอกย้ำคำพูดที่เขาเคยพูดเอาไว้เมื่อเจ็ดปีก่อน ตบท้ายด้วยการต่อว่าเขารุนแรง“คุณมีนจะตะโกนให้มันได้อะไรขึ้นมาคะ ในเมื่อเรื่องมันจบไปแล้วตั้งหลายปี” มีนาหันไปมองหญิงสาวที่อยู่ในชุดเดรสสั้นแขนกุดสีดำ ช่วยขับเน้นผิวขาวอมชมพูให้ดูเด่น ใบหน้าของเธอถูกแต่งแต้มไว้บางเบา ผมยาวหยักศกสีน้ำตาลถูกรวบเป็นมวยง่าย ๆ สะพายกระเป๋าสีชมพูแบรนด์หรู แค่เธอแต่งตัวง่าย ๆ แค่นี้ แต่เธอก็ดูแพงจนต้องอิจฉา “มันเป็นเรื่องของฉันกับโมก คุณไม่เกี่ยว” “ชาร์มก็แค
ชายหนุ่มแนบกายทาบกับเรือนร่างเนียนนุ่มไร้ฝ้ากระ สอดฝ่ามือโอบประคองเต้างามเต่งตึงแล้วคลึงเคล้นเบามือ พรมจูบบ่าบอบบางกรุ่นกลิ่นหอมอย่างหลงใหล แล้วตัดใจผละออกเมื่อความรู้สึกอยากเริ่มวิ่งพล่านไปทั่วร่างอีกครั้ง“พี่จะไปหาหมอแต่คงขับรถเองไม่ได้ ชาร์มขับรถเป็นหรือเปล่า” เขาแกล้งถามทั้งที่ไม่สนว่าคำตอบของเธอจะออกมายังไง เพราะถึงอย่างไรก็จะเอาเธอไปด้วยให้ได้“เป็นค่ะ แต่พี่โมกต้องบอกทางชาร์มนะคะ” เธอรีบตอบรับ ไม่กล้าหันหน้าไปประจันกับเขา เพราะกลัวจะหวั่นไหว เรียกร้องขอความสุขจากเขาอีก“หันหน้ามาคุยกับพี่สิ ทำแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ” เขาตำหนิที่เธอจงใจหลบหน้าหญิงสาวหมุนตัวไปเผชิญหน้าอย่างที่เขาต้องการ เอนกายพิงผนังแล้วเลียริมฝีปากเล่นแก้เก้อ ขณะที่มองหน้าเขาไม่ค่อยเต็มตานัก“โธ่เว้ย!” วิโมกข์สติแตกกับท่าทางใสซื่อแต่ดูยั่วยวนอย่างร้ายกาจของเธอจนได้ เขาไม่น่าเรียกร้องให้เธอหันมาเลย ให้ตายสิ! เขาโน้มหน้าไปจนชิดริมฝีปากอวบอิ่มของเธอ “อย่าไปทำแบบนี้ให้ใครเขาเห็นอีกนะ” แล้วจูบทำโทษความยั่วยวนนั้นอย่างหนักห
แล้วเขาจะมาเคืองเธอทำไมเนี่ย มันไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่มันเป็นสิทธิ์ของเธอ เขาจะโมโหทำไมแล้วตอนนี้ล่ะ เขาควรจะปล่อยเธอไป หรือมอมเมาด้วยรสรักจนลืมไม่ลง เขาพินิจใบหน้างดงามหมดจดจนทั่ว.. จะปล่อยเธอไปได้ยังไง ในเมื่อความต้องการของเขาก็เรียกร้องรุนแรงขึ้นทุกทีอยู่อย่างนี้ ดังนั้นคนที่ต้องสอนบทรักบทแรกให้เธอก็ต้องเป็นเขานี่แหละเขาก้มหน้าลงไปหาซอกคอระหง ขบเม้มเบา ๆ สร้างความกระสันให้เธอ ไล้ต่ำลงไปที่เนินอกสล้าง พรมจูบไปทั่วเต้างามเต่งตึงทั้งสองลูก และต่ำลงไปเรื่อย ๆ ตามที่ใจปรารถนา“พี่โมกขา” หญิงสาวจิกเล็บลงไปบนบ่าแน่นตึง เมื่อถูกปลายลิ้นจู่โจมเข้าที่กึ่งกลางของเรือนร่าง มันซาบซ่านจนเธอต้องส่งเสียงร้องออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าเธอมองเรือนร่างที่สมบูรณ์ไปด้วยมัดกล้ามสวยงามไม่วางตา เมื่อเขาขยับตัวขึ้นนั่งคุกเข่า มองไปที่มือของเขากำลังจับเอาไว้ แล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว.. แต่ก็ยังอยากที่จะต้อนรับมัน ถึงแม้จะมีความกลัวแฝงอยู่ เธอขยับขากว้างขึ้นเมื่อเขานำมันมาทักทายกับปากเหว รู้สึกสุขสมกับความซ่านที่ได้รับจากมันชายหนุ่มสะท้านไปทั่วทั้งเรือนร่
วิโมกข์วางโทรศัพท์เมื่อคุยธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว และเห็นสัญญาณไฟเตือนว่ามีสายเข้ามาที่เบอร์บ้าน แต่ยังไม่มีคนรับจึงกดรับเสียเอง “บ้านโชคอนันต์ครับ” (พี่โมกเหรอคะ วิเองค่ะ) “จ้ะ โทรมาหาป้าหวังเหรอ” (โทรหาชาร์มมิ่งค่ะพี่โมก วิโทรเข้ามือถือแต่ปิดเครื่อง ไม่แน่ใจว่าชาร์มเขาลืมเปิดเครื่องหรือยังไม่ตื่นก็เลยโทรเข้าเบอร์บ้าน พี่โมกตามชาร์มมิ่งมารับโทรศัพท์วิหน่อยสิคะ) “โอเคจ้ะ วิวางสายไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่บอกให้ชาร์มมิ่งเขาโทรกลับไปหาก็แล้วกัน” (ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่โมก) ชายหนุ่มวางโทรศัพท์จากน้องสาวแล้วเดินออกมาจากห้องทำงาน เรียกหา
“เหมือนใครเหรอคะคุณมีน” วิเวียนถามขึ้นด้วยความสนใจใคร่รู้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกลัวสักนิด“เหมือนรูปปั้นตรงบันไดเคลื่อนตัวเข้ามาหามีนค่ะ มีนรีบปิดประตูวิ่งขึ้นเตียงเลยค่ะ แล้วมีนยังได้ยินเสียงหัวเราะของผู้หญิงดังเข้ามาในห้อง สลับกับเสียงร้องของตุ๊กแกตลอดทั้งคืนเลยค่ะคุณวิ”“ถ้ามีตุ๊กแกจริงพวกเราก็ต้องเคยได้ยินสิ” วิโมกข์แย้ง ถึงแม้อยู่ในห้องนอนแล้วเขาอาจจะไม่ได้ยินเสียงจากภายนอกถ้าไม่ได้เปิดหน้าต่างทิ้งไว้ แต่การที่มีสัตว์เลื้อยคลานประเภทนี้อยู่ในบ้านก็ต้องเคยได้ยินเสียงร้องของมันบ้างแหละ “คุณจะบอกว่าตุ๊กแกมันร้องเพราะเห็นผีงั้นเหรอ”“แต่มันร้องจริง ๆ นะโมก แล้วเสียงมันไม่ได้ดังมาจากที่เดียวกันด้วย เหมือนมันจะมีกันหลายตัวเลยนะ” “บ้านนี้ไม่มีผีหรอก ลื้อฟุ้งซ่านไปเองหรือเปล่า ตุ๊กแกก็ไม่เคยมี” เจ๊หวังที่ทนฟังความเพ้อเจ้อของมีนามานานขัดขึ้น “ฉันไม่ได้ฟุ้งซ่านนะ ฉันเห็นกั