แสงแดดอุ่นในตอนเช้าสาดลอดผ่านซี่ไม้ไผ่ข้างบ้าน ลมหอมจากใบลำไยและกลิ่นข้าวหอมมะลิที่เพิ่งสุกใหม่ลอยคลอไปในอากาศเดือนยืนอยู่ในครัวเปิดหลังบ้าน ผ้ากันเปื้อนลายดอกยังคงผูกอยู่รอบเอว เสียงกระทะกำลังจี่ไข่เจียวอย่างพอดี ข้าง ๆ มีหมูสามชั้นต้มซีอิ๊วที่หอมจนแมวเดินอ้อมมาสองรอบเธอไม่ได้ทำอาหารแค่เพื่อความอร่อย...แต่ทำเพื่อให้คนที่เธอห่วงกลับมามีแววตาที่กล้าเงยหน้าสู้แดดอีกครั้งไม่นาน ขุนเดินออกมาจากห้องอย่างเงียบ ๆ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อน กางเกงผ้าฝ้ายคลุมเข่า ท่าทางเหมือนคนยังไม่ตื่นเต็มตา แต่กลิ่นอาหารทำให้คิ้วขมวดของเขาคลายออกช้า ๆ“ตื่นแล้วเหรอคะพี่ขุน” เดือนหันมาทักเสียงใส ยิ้มละมุนให้เขาเหมือนเมื่อวานไม่มีเรื่องหนักหนาเกิดขึ้นขุนพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปล้างมือเงียบ ๆ ก่อนจะนั่งลงตรงม้านั่งไม้ยาวใต้ชายคา เดือนตามไปพร้อมถาดอาหารเล็ก ๆ“กับข้าวง่าย ๆ นะคะ...แต่ใส่ใจสุด ๆ” เธอพูดพลางจัดจานให้เขา ข้าวขาวนุ่มถูกตักพอดีคำ ข้าง ๆ มีไข่เจียวกรอบนอกนุ่มใน และหมูต้มร้อน ๆ ที่เธอปรุงด้วยมือทั้งสองข้างขุนไม่พูดอะไรมาก แค่รับช้อน แล้วคีบคำแรกเข้าปากช้า ๆผ่านไปเพียงคำเดียว เขาก็เงียบไปนาน ก่อนจะพูด
ขุนรับขันน้ำจากพอลแล้วดื่มช้า ๆ ลมหายใจแผ่วเบาเหมือนกลั่นบางอย่างไว้ในอก ก่อนจะวางขันลงบนเสื่อเสียงแผ่ว“บางที...” เขาเอ่ยเสียงเบา “…ผมก็กลัวว่าความตั้งใจของตัวเองมันจะเบาหวิวเหมือนละอองดินในลม”เสียงจิ้งหรีดยังคงร้องคลออยู่เงียบ ๆ พอลกับลินดาไม่ได้พูดแทรกในทันที ต่างปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันขุนก้มหน้าลงเล็กน้อย “รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร แต่พอมันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา... กลับกลัวว่าจะสร้างได้ไม่ถึงใจตัวเอง กลัวว่าคนมาแล้วจะไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจาก... บ้านไม้กับกลิ่นดินชื้น ๆ”“กลิ่นดินนั่นแหละ...ที่เขาไม่ได้เจอในเมือง” พอลพูดเสียงนุ่ม ไม่ใช่ปลอบ แต่พูดเหมือนคนเคยผ่านความกลัวมาแล้วเช่นกันลินดาเสริมเบา ๆ ขณะมองแสงตะเกียงไหวระริก “พอลเคยกลัวตอนเริ่มปลูกกล้วยไม้ในเรือนกระจกนะ... ทุกเช้าตื่นมาเขาก็ถามตัวเองว่า ‘แล้วคนจะมาซื้อทำไมในเมื่อมีแค่ดอกไม้กับหยดน้ำเกาะใบ’”พอลหัวเราะในลำคอ “แต่ลินดาก็บอกผมว่า…แค่ทำให้มันงามที่สุดในโลกของเรา... เดี๋ยวโลกอื่นก็จะค่อย ๆ หันมามองเอง”ขุนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาที่เคยมั่นใจเสมอในตอนกลางวันตอนนี้คล้ายมีเงาสงสัยเจือจาง แต่ภายใต้แสงไฟจางนั้น มันก
แดดในตอนบ่ายทอดเงาไม้พาดลงบนลานดินหน้าบ้านขุนกำลังใช้ผ้าขนหนูซับเหงื่อที่คอ ขณะที่พอลนั่งพิงเสาระเบียงไม้ กินน้ำเย็นที่ตักจากกระบอกไผ่ เสียงลมหายใจของทั้งสองคนนิ่งลง หลังลุยทำงานกันครึ่งวันเต็มเสียงฝีเท้าเบา ๆ เดินมาตามทางลูกรังเดือนเดินมาพร้อมกล่องข้าว 2 กล่อง กับถุงน้ำสมุนไพรผูกด้วยเชือกกล้วยเธอสวมผ้ากันเปื้อนลายดอก ผมถักเปียไว้ข้างเดียว แววตายิ้มละมุนจนแม้แต่แดดบ่ายยังอ่อนลง“เหนื่อยไหมคะ พี่ขุน พี่พอล”เธอเอ่ยเสียงอ่อน ขณะวางของลงบนเสื่อไม้ใต้ชายคา“เหนื่อยแต่คุ้มครับ” ขุนตอบ พร้อมรอยยิ้มจริงใจ “วันนี้บ้านพักคืบไปเยอะเลย”“ใช่” พอลเสริม “อีกนิดเดียวจะเห็นแล้วล่ะว่าแขกคนแรกของโฮมสเตย์หลังนี้คงไม่ใช่คนนอกแน่ ๆ”เดือนเลิกคิ้วนิด ๆ “หมายถึงหนูเหรอคะ?”“ก็เอ็งอยู่ที่นี่ตั้งแต่ยังไม่มีประตู ยังไม่มีฝา…” พอลยิ้มแซว “จะไม่นับเป็นเจ้าบ้านด้วยได้ไงล่ะ”ขุนมองหน้าเดือนแล้วพูดเบา ๆ“คนที่อยู่ตั้งแต่บ้านยังเป็นแค่เสา...คือคนที่ทำให้ขุนอยากสร้างให้เสร็จที่สุด”เดือนก้มหน้า มือขยำชายผ้ากันเปื้อนเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมไปจัดจานข้าวให้พอลหันไปอีกทาง แกล้งทำเป็นยุ่งกับการเปิดฝาใบตอง แต่รอยยิ้มตรงม
แสงแดดอ่อนลอดผ่านช่องไม้กลิ่นน้ำสมุนไพรลอยคลุ้งในบ้าน ขุนลืมตาช้า ๆ หลังจากคืนที่หลับ ๆ ตื่น ๆ ด้วยภาพฝันจากเมืองที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังเดือนกำลังชงชาอยู่เงียบ ๆ ไม่พูดอะไร แค่เดินมาแตะหลังเขาเบา ๆ“พี่ขุน...หนูต้มน้ำไว้แล้วนะคะ”เขาพยักหน้าช้า ๆ ยังไม่ลุก แค่เอนตัวพิงฝาไม้ ลมหายใจยังหนักหน่วงในอกนิดหน่อยข้างนอก...เสียงรองเท้าแตะไม้ดังขึ้นทีละก้าว ช้าๆและดูมั่นคงขุนหันไปช้า ๆ เห็นร่างสูงคุ้นตาก้าวขึ้นมาบนชานพี่เข้ม ไม่ได้ส่งเสียง ไม่ได้ยิ้มกว้างแค่ยืนอยู่ตรงนั้น ในเสื้อเชิ้ตสีจางกับหมวกฟางใบเก่า มือหนึ่งถือชะลอม อีกมือแนบอยู่ข้างลำตัว“ตื่นแล้วเหรอ” พี่เข้มเอ่ยสั้น ๆเสียงราบเรียบ...แต่คล้ายจะซึมผ่านเข้ามาถึงอะไรบางอย่างในอก“ครับพี่” ขุนตอบ ก่อนจะพยักหน้าเชื่องช้าเหมือนยังปลุกตัวเองไม่หมดเข้มไม่ได้ถามอะไรต่อเขาเดินเข้ามา แล้วหย่อนตัวลงนั่งตรงพื้นข้างเสากลางบ้าน เสาต้นเดิมที่เขาเคยลงมือสร้างไว้ก่อนน้องชายจะจากไปเรียน“เมื่อคืน...ฝันอะไรล่ะ?”คำถามนั้นออกมาแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ไม่มีแววล้อ ไม่มีแม้แต่เสียงหัวเราะขุนนิ่งไปนาน...แล้วถึงตอบ“ฝันถึงห้องเก่า...หลังคารั่ว...ข้าวกล่องห
ผ้าห่มผืนเดิมยังคลุมตัวทั้งสองคนไว้ ขณะเดือนนอนกอดแขนพี่ขุน ใบหน้าแนบอยู่ตรงอกของเขา เงียบ สงบ แต่เต็มไปด้วยความอุ่นใจไม่มีใครพูดอะไรต่อจากบทสนทนาเมื่อครู่เธอเพียงยกมือแตะเบา ๆ ที่ข้างแก้มของเขา ก่อนจะโน้มตัวขึ้นไปจูบริมฝีปากเขาอย่างแผ่วเบา...เหมือนคนที่คุ้นเคยและรู้ดีว่าจะปลุกความรู้สึกของอีกคนได้ด้วยจังหวะไหนขุนตอบรับอย่างเงียบ ๆ มือสอดเข้าใต้ผ้าห่มมากุมเอวเธอไว้แน่น ริมฝีปากของเขาละเลียดจูบตอบกลับลึกขึ้นทีละนิด ท่วงท่าไม่ได้เร่งเร้า ไม่ใช่ความตื่นเต้นของการเริ่มต้นแต่มันคือ...ความผูกพันของสองคนที่เคย รู้จักกันในจังหวะเรือนกาย มาก่อนแล้วมือของเดือนเลื่อนลงไปปลดกระดุมกางเกงของเขาอย่างมั่นใจ ไม่ใช่ด้วยความกล้าแบบคนเพิ่งเรียนรู้ แต่ด้วยสัมผัสของคนที่เคยรู้ว่าคนตรงหน้าชอบให้แตะตรงไหน ช้าแค่ไหน“วันนี้...ทั้งวันพี่แทบไม่ได้พักเลยนะคะ” เธอกระซิบเสียงอ่อน“เดี๋ยวหนูจะทำให้พี่รู้สึกดีขึ้นเอง…”เธอพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ สม่ำเสมอ และอ่อนโยนในแบบที่ทำให้ขุนได้แต่พยักหน้าเบา ๆ พร้อมสายตาที่ไว้ใจและยอมวางทุกอย่างในมือเธอใต้ผ้าห่มผืนนั้น แท่งเนื้อของเขาค่อย ๆ ถูกปลดปล่อยจากพันธนาการไม่ใช่เพร
ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจากทองอ่อนเป็นน้ำเงินเข้ม ไฟหลอดเล็ก ๆ หน้าเคาน์เตอร์คาเฟ่ค่อย ๆ สว่างขึ้นตามเวลาที่ลินดาตั้งไว้ในระบบ หลอดไฟทรงวินเทจพาดเรียงกันเป็นเส้นเหนือโต๊ะไม้ยาว สะท้อนเงาจากแก้วน้ำสมุนไพรที่ยังคงตั้งอยู่บ้างเสียงกริ่งหน้าร้านดังแผ่วพร้อมกับประตูไม้ถูกผลักออกอย่างแผ่วเบาขุนยืนอยู่ตรงนั้นเหงื่อซึมที่ต้นคอ เสื้อเชิ้ตสีซีดกับกางเกงผ้ายีนส์เริ่มเปื้อนเศษไม้จากวันทำงาน แต่แววตาเขากลับสดใสกว่าทุกแสงในร้าน“เลิกงานหรือยังครับคุณแม่ค้าประจำไร่”เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พร้อมรอยยิ้มเอียง ๆ ที่ทำให้เดือนวางผ้าบนเคาน์เตอร์โดยไม่รู้ตัว“ยังไม่ปิดร้านเลยพี่ มาไวจัง”“ไม่มาไม่ได้ครับ วันนี้ทั้งวัน...ร้านนี้ไม่มีเสียงหัวเราะของเดือนเลย บ้านเงียบจนได้ยินใจพี่เต้น”ลินดาเหลือบมองจากอีกฝั่ง ยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเดินหนีไปจัดของหน้าร้าน“พี่อยู่เวรคนสุดท้ายเลยนะคะ” เดือนแกล้งพูด “ลินดาเขาไล่ให้กลับแน่เลยล่ะ”“งั้นพี่มารับ... กลับพร้อมกันนะครับ”เขายื่นมือออกไปตรงหน้าเธอนิ้วเปื้อนฝุ่นไม้แต่ปลายนิ้วยังอบอุ่นเหมือนทุกครั้งที่สัมผัสเดือนนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เอื้อมมือไปแตะ“เดี๋ยวก่อน ขอปิดเครื่องกาแ