วันเวลาที่สดใสในไร่ลำไยดูเหมือนจะถูกหยุดลงอย่างกะทันหันในวันหนึ่ง
เดือนยังจำวันนั้นได้ดี เป็นบ่ายแก่ ๆ ที่แดดเริ่มอ่อนแสงลง เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วเหมือนเช่นทุกวัน แต่บรรยากาศในไร่กลับเงียบสงัดผิดปกติ ตอนแรกเดือนคิดว่าพี่ขุนกับพี่เข้มคงออกไปดูงานที่ปลายไร่เหมือนเคย เธอจึงวิ่งตรงไปที่บ้านของพี่เข้ม แต่เมื่อไปถึง กลับพบว่าประตูหน้าบ้านเปิดแง้มอยู่ ความเงียบภายในบ้านทำให้เดือนรู้สึกแปลกใจ “พี่ขุน! พี่ขุนอยู่ไหนคะ!” เดือนเรียกชื่อพี่ชายเสียงใส แต่ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงความเงียบที่ดูดกลืนเสียงเธอหายไป เธอเดินเข้าไปในบ้านอย่างช้า ๆ หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอเดินผ่านห้องครัวที่สะอาดสะอ้าน ห้องรับแขกที่ว่างเปล่า และห้องนอนของขุนที่เปิดประตูทิ้งไว้ บนเตียงนอนของขุน ผ้าห่มถูกพับไว้อย่างเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยของข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว เสื้อผ้าที่เคยแขวนอยู่บนราวก็หายไป ราวกับว่าไม่มีใครเคยพักอยู่ตรงนั้น เดือนเริ่มรู้สึกใจหาย เธอวิ่งออกไปที่ลานหน้าบ้าน มองไปยังไร่ลำไยที่กว้างใหญ่ พยายามมองหาเงาร่างคุ้นตาของขุน แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็ไม่มีวี่แววของเขาเลย ไม่นานนัก พี่เข้มก็เดินกลับมาจากท้ายไร่ ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้ากว่าปกติ ดวงตาที่เคยสงบนิ่งกลับมีแววเศร้าปนกังวล “พี่เข้ม! พี่ขุนไปไหนคะ!” เดือนวิ่งเข้าไปหาพี่เข้ม ถามด้วยเสียงที่สั่นเครือ พี่เข้มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาก้มลงมองเดือน ดวงตาของเขาฉายแววลึกซึ้ง “ขุน…ขุนไปแล้ว” “ไปไหนคะ! ไปเมื่อไหร่!” เดือนถามรัวเร็ว น้ำตาเริ่มคลอเบ้า “เขาไปแล้ว…ไปตั้งแต่เมื่อคืน” พี่เข้มตอบเสียงแผ่ว “เขาไม่ได้บอกอะไรพี่เลย” คำพูดของพี่เข้มเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจของเดือน โลกทั้งใบของเธอเหมือนพังทลายลงในพริบตา “ไม่จริง! พี่ขุนไม่เคยไปไหนโดยไม่บอกหนู!” เดือนร้องไห้ออกมา เธอไม่เชื่อว่าพี่ชายที่เคยสัญญากับเธอว่าจะอยู่ตรงนี้ตลอดไป จะจากไปโดยไม่มีคำร่ำลา พี่เข้มโอบกอดเดือนแน่น พยายามปลอบโยนน้องสาวตัวเล็ก ๆ ที่กำลังเสียใจ “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันเดือน…ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไป” วันนั้น เดือนร้องไห้จนหลับไปในอ้อมกอดของพี่เข้ม เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แสงอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว ความมืดมิดเข้ามาปกคลุมไร่ลำไย และปกคลุมหัวใจของเดือน คืนนั้นยาวนานราวกับไม่มีวันสิ้นสุด เดือนนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ในหัวใจเต็มไปด้วยคำถามมากมายที่ไม่มีใครตอบได้ ทำไมพี่ขุนถึงไป? เขาจะกลับมาไหม? เขาลืมคำสัญญาของเราแล้วใช่ไหม? ไร่ลำไยที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของขุน บัดนี้กลับเงียบสงัดและดูอ้างว้าง เดือนรู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหายไปจากชีวิตของเธอ หลังจากวันที่ขุนหายไป ไร่ลำไยที่เคยเต็มไปด้วยความอบอุ่นก็เหมือนมีเงาอะไรบางอย่างปกคลุมอยู่ เดือน ยังคงแวะเวียนมาที่บ้านพี่เข้มเสมอ แต่ภาพของเด็กชายผู้ร่าเริงที่เคยวิ่งเล่นอยู่รอบ ๆ กลับเหลือเพียงความว่างเปล่า พี่เข้ม เองก็ดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แววตาของเขาที่เคยมีประกายความสุขุมและอ่อนโยน บัดนี้กลับเคร่งขรึมและหมองลง เขาทำงานหนักขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แต่กลับไม่ค่อยพูดจาเหมือนเมื่อก่อน รอยยิ้มที่เคยมีให้เดือนก็เลือนหายไป “พี่เข้ม…พี่ขุนจะกลับมาไหมคะ” เดือนเคยถามพี่เข้มในวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนั่งลับมีดอยู่ที่ใต้ถุนบ้าน พี่เข้มเงยหน้าขึ้นมองเดือนช้า ๆ ดวงตาของเขามีความเจ็บปวดบางอย่างซ่อนอยู่ “ไม่รู้สิเดือน…พี่ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” เขาไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น แต่เดือนรับรู้ได้ถึงความหนักอึ้งในใจของพี่เข้ม ความจริงแล้ว การหายไปของขุนนั้นมีที่มาที่ไปที่ซับซ้อนกว่าที่เดือนเด็กน้อยจะเข้าใจนัก ในวันนั้นที่ขุนหายไป... ขุน ได้บอกกับพี่เข้มว่าเขาอยากไปเรียนต่อในเมือง ใบสมัครทุนเรียนต่อในกรุงเทพฯ วางกางอยู่บนโต๊ะกินข้าว แต่ข้าง ๆ กันคือแบบแปลนขยายเรือนแปรรูปผลไม้ที่พี่เข้มเพิ่งสเกตช์ไว้ “พี่…ถ้าผมได้ทุนนี้ ผมจะต้องไปอยู่กรุงเทพฯ อย่างน้อยสี่ปีนะ” เสียงของขุนในตอนนั้นเบามาก เหมือนคนพูดไม่เต็มเสียง พี่เข้มไม่ได้เงยหน้าจากแบบแปลน เขากลับตอบไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ที่ขุนไม่เคยลืม “อยู่ที่นี่ก็เรียนรู้ได้ ไม่เห็นต้องไปไกลถึงกรุงเทพฯ ให้เหนื่อย” ประโยคนั้นสั้น แต่คมกว่ามีดเล่มไหน มันไม่ได้ห้าม แต่กลับ “ตัดไฟ” ในแววตาของขุน ไปอย่างเงียบ ๆ หลังจากวันนั้น ขุนไม่ได้พูดถึงเรื่องเรียนต่ออีกเลย ไม่ได้ยื่นใบสมัคร ไม่ได้หยิบเอกสารมาพูดซ้ำ เขาแค่เงียบลง…เงียบลงทุกวัน จนกระทั่งเขาหายไปจากบ้านในวันนั้น แม่ ของพี่เข้มและขุนบอกว่า “รอเขาใจเย็นลง เดี๋ยวก็กลับมา” น้ำเสียงของแม่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นว่าลูกชายแค่งอน พ่อ ก็เสริมว่า “อย่าไปตาม เดี๋ยวก็หิว เดี๋ยวก็รู้” พ่อเชื่อว่าลูกชายจะต้องกลับมาเมื่อเจอความลำบาก แต่ พี่เข้ม… เขาพูดว่า “มันแค่งอน เดี๋ยวก็กลับ” เขาคิดว่าน้องชายคงน้อยใจที่เขาไม่เห็นด้วยกับการไปเรียนในเมือง และคงจะกลับมาเมื่อคิดได้ แต่เขาลืมไปว่า บางความเงียบ ถ้าไม่ฟัง มันจะกลายเป็นรอยร้าวที่ไม่มีวันเย็บกลับ พี่เข้มมัวแต่ยุ่งกับการขยายไร่ มัวแต่ดูบัญชี ปรับแผนงาน ปรับคน เขาเห็นว่าน้องชายที่เคยยืนข้างหลังเขาเสมอ เริ่มเงียบขึ้นทุกวัน เริ่มตื่นสาย เริ่มไม่ค่อยพูด เขาเห็น…แต่เขาไม่ได้ถาม “เพราะในหัวพี่…มีแต่คำว่า ‘แกต้องโตให้ได้’ ไม่เคยถามเลยว่า แกไหวมั้ย” จนวันหนึ่ง…เด็กคนนั้นก็หายไป และไม่เคยกลับมาอีกเลย ไร่ลำไยยังคงผลิตผลผลิตงดงาม แต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพี่เข้มกลับหายไป เขากลายเป็นคนเคร่งขรึม ไม่ร่าเริงเหมือนเคย แผ่นหลังที่เคยดูมั่นคง บัดนี้กลับดูแบกรับอะไรบางอย่างไว้หนักอึ้ง เด็กหญิงยังมาแวะหน้าบ้านทุกวัน เหมือนลมหายใจยังรอใครบางคน เธอยังยืนที่พุ่มพุดซ้อน รอคนที่เคยยื่นมือมาลูบหัวเธอเบา ๆ แต่ตอนนี้มีเพียงสายลมที่พัดผ่าน ใบไม้ที่หล่นกราวแทนคำทัก พี่เข้มยังอยู่ที่เดิม แต่แววตาเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขายังคงดูแลไร่ ขยายโรงเรือน ทำงานหนักขึ้นจนคนในหมู่บ้านเอ่ยปากชม แต่ในบ้านไม้หลังนี้กลับไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีมงกุฎใบไม้ ไม่มีเสียงเด็กชายอ้อนขอขนมจากแม่ วันหนึ่ง เดือนเปิดลิ้นชักใต้เตียงในห้องขุนโดยบังเอิญ เธอเจอกล่องเหล็กใบเล็ก ด้านในมีแค่ของไม่กี่ชิ้น มงกุฎใบลำไยที่เธอเคยสาน รูปวาดของเธอกับขุน และกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนด้วยลายมือรีบ ๆ “ถ้าวันหนึ่งพี่ไม่อยู่ตรงนี้… จำไว้นะเดือน ว่าพี่เคยยืนอยู่ตรงนี้เพื่อเธอจริง ๆ ไม่ได้ลืม ไม่ได้หายไป แค่…อยากกลับมาให้ดีกว่าเดิม” มือของเดือนสั่น…น้ำตาไหลหยดลงบนกระดาษใบนั้น ภาพในหัวที่เคยมัว กลับชัดเจนขึ้นในวินาทีนั้นเองเสียงฝนพรำเบา ๆ ในวันนั้นถูกกลบด้วยเสียงฝีเท้าร้อนรนของขุน เขาวิ่งเข้าออกหน้าห้องคลอดด้วยใบหน้าเครียดจัด มือที่เคยมั่นคงสั่นน้อย ๆ อย่างห้ามไม่ได้ “ใจเย็นนะขุน…” พี่ลินดาวางมือบนไหล่ พยายามปลอบ แต่ดวงตาคมก็ยังจับจ้องประตูบานนั้นอย่างไม่กะพริบ ชั่วเวลาที่เหมือนเป็นนิรันดร์ ในที่สุดเสียงแผ่วเบาแต่ชัดเจนก็ดังลอดออกมา เสียงร้องแหลมเล็กของทารกแรกเกิด น้ำตาที่ขุนไม่เคยคิดว่าจะหลั่งง่าย ๆ กลับเอ่อคลอทันทีที่หมอเปิดประตูออกมา “ยินดีด้วยครับ… คุณพ่อ” เขาแทบไม่รอคำอธิบาย รีบก้าวเข้าไป เห็นเดือนนอนอ่อนแรงอยู่บนเตียง ผมเปียกชื้นด้วยเหงื่อ แต่รอยยิ้มบาง ๆ ที่มอบให้เขากลับงดงามที่สุดในชีวิต “พี่ขุน… เรามีลูกแล้วนะคะ” เสียงเธอเบาจนแทบเป็นกระซิบ ชายหนุ่มก้าวเข้าไปจับมือเธอแน่น ก่อนจะก้มลงจุมพิตหน้าผากด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรัก “เก่งที่สุดแล้วเดือน… ขอบคุณนะที่ให้พี่ได้เป็นพ่อ” พยาบาลอุ้มก้อนน้อยห่อผ้าเข้ามา เด็กน้อยตัวแดงจิ๋วส่งเสียงร้องแผ่ว ๆ เมื่อถูกวางลงบนอกแม่ เดือนหลั่งน้ำตาออกมาโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ขุนนั่งข้าง ๆ มองภาพนั้นด้วยแววตาสั่นระริก เหมือนได้เห็น ความฝันของทั้งชีวิต กลายเป็นจริง
แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ้าม่านไม้ไผ่เข้ามาในห้องพักเล็ก เดือนขยับตัวจะลุกขึ้นตามปกติ แต่ทันทีที่ยืนขึ้น ร่างบางก็เซไปเล็กน้อย ความเวียนศีรษะแล่นเข้ามาอย่างกะทันหัน“อ๊ะ…” เธอเผลอร้องเบา ๆ มือคว้าขอบเตียงไว้แน่นขุนที่เพิ่งสวมเสื้อเชิ้ตพอดี รีบเข้ามาประคองทันที “เดือน! เป็นอะไรครับ ทำไมหน้าซีดแบบนี้”หญิงสาวยิ้มจาง ๆ “ไม่เป็นไรค่ะ แค่เวียนหัวนิดหน่อย”ในครัว พี่ไหมกำลังตั้งหม้อข้าวต้มอ่อน ๆ ไว้สำหรับแขกที่เพิ่งตื่น เสียงน้ำเดือดเบา ๆ คลอไปกับกลิ่นหอมอบอวลของข้าวสุกใหม่ แต่สำหรับเดือน กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพียงแค่กลิ่นลอยมาแตะจมูก เธอรีบเอามือปิดปาก สีหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที“พี่ขุน… หนูเหม็นกลิ่นข้าวต้มจังเลย”ขุนตาเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ความตกใจแล่นวาบผ่านใบหน้าคม “หรือว่า…” เขาเอื้อมมากุมมือเธอแน่นขึ้น สายตาเต็มไปด้วยทั้งห่วงใยและความตื่นเต้นที่ยังไม่กล้าพูดออกมาเสียงพี่ไหมดังแทรกขึ้นจากครัว “หนูเดือน ตื่นแล้วเหรอจ๊ะ เดี๋ยวพี่ตักข้าวต้มให้นะ กินอุ่น ๆ จะได้ไม่เวียนหัว”แต่เดือนเพียงส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะหันไปซบอกขุนด้วยความอ่อนแรง ขุนกอดร่างบางไว้แน่น พลางมองออกไปนอกหน้าต่
หนึ่งเดือนหลังงานแต่ง บ้านไร่ในฝันโฮมสเตย์ยังคงอบอวลด้วยความสุข แขกที่แวะมาพักทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง พี่ไหมกับพี่นิ่มก็ทำงานได้ดี รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพวกเธอทำให้ไร่เล็ก ๆ แห่งนี้ดูมีชีวิตชีวายิ่งขึ้นเช้าวันนั้น ขุนลืมตาตื่นขึ้นท่ามกลางอ้อมกอดอุ่น ร่างเล็กของเดือนซุกแนบอยู่ข้าง ๆ ราวกับยังไม่อยากลุกจากเตียงไม้ที่ทั้งคู่ช่วยกันจัดแต่งเมื่อคราวเริ่มเปิดบ้านพักใหม่ ขุนก้มลงหอมแก้มภรรยาเบา ๆ จนเธอสะดุ้งยิ้มเขิน ๆ“พี่ขุน แกล้งหนูแต่เช้าเลยนะคะ”“ก็เมียพี่น่ารักนี่นา” เขาตอบเรียบ ๆ แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความรักทั้งคู่ลุกขึ้นมาช่วยกันทำอาหารเช้าง่าย ๆ ข้าวต้มหม้อเล็กกับผักสดที่เด็ดมาจากสวนหลังบ้าน เสียงหัวเราะดังเบา ๆ เมื่อเดือนทำขิงหั่นบางเกินไป ขุนเลยแอบแซวว่า “นี่เมียพี่ตั้งใจหั่นให้พี่กินทั้งแปลงหรือเปล่า”หลังมื้อเช้า ขุนกับเดือนเดินเล่นรอบไร่ ลมเช้าพัดกลิ่นดอกไม้จากไร่เรือนกระจกของพี่ลินดามาแตะจมูก ขณะที่ด้านไกลเห็นแขกกลุ่มหนึ่งนั่งจิบกาแฟอย่างสบายใจ“พี่ขุน…” เดือนเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ถ้าวันหนึ่งมีเสียงเด็กวิ่งเล่นในไร่ คงจะดีไม่น้อยนะคะ”ขุนหยุดเดิน หันมามองใบหน้าของภรรยาที่แดงระเ
แสงอรุณสาดลอดผ่านกิ่งไม้ใหญ่ ขุนลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมสัมผัสอุ่นจากร่างเล็กที่ยังซุกอยู่ในอ้อมกอด รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าคมเมื่อได้เห็นเดือนหลับตาพริ้ม แก้มแดงระเรื่อจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อคืน“ตื่นได้แล้วคนสวย…เช้านี้เราต้องรีบกลับบ้าน เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะเอาใหญ่” ขุนก้มลงกระซิบเบา ๆ พลางกดจูบหน้าผากเธอเดือนขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นด้วยความงัวเงีย พอได้สติ สีหน้าก็แดงจัด รีบคว้าผ้าห่มมาคลุมกายพลางเบือนหน้าหนี“อายจังเลยพี่ขุน…เมื่อคืนเรา…”“เมื่อคืนเดือนชอบนี่นา” เขายิ้มอบอุ่น ก่อนจะช่วยประคองเธอลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยทั้งคู่รีบเก็บสิ่งของและเดินกลับบ้านด้วยหัวใจเต้นแรง ยิ่งใกล้ถึงเรือนหลังเล็กของแม่เดือน ความเขินก็ยิ่งทวีขึ้น เพราะรู้ดีว่าไม่นานนัก ทุกคนในไร่จะมาหาคู่แต่งงานหมาด ๆ ในเช้าวันนี้เดือนกระซิบเบา ๆ พลางจับมือเขาแน่น “พี่ขุน…อย่าปล่อยมือหนูนะ”ขุนหันมายิ้ม ดึงมือเธอมากุมแน่นกว่าเดิม “ไม่มีวันปล่อย…เราจะกลับไปเริ่มต้นบ้านของเรา…ด้วยกัน”ทั้งสองเดินเคียงกันไปใต้แสงเช้า ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข แม้ยังมีความเขินอาย แต่ก็อบอุ่นเหลือเกินไม่นานหลังจากทั้งคู่กลั
ใต้แสงจันทร์นวล เสื่อผืนบางถูกปูลงบนพื้นหญ้านุ่ม ๆ ข้างลำต้นไม้ใหญ่ที่คุ้นตา ลมกลางคืนพัดเอื่อย เสียงจักจั่นดังเป็นจังหวะคล้ายเสียงขับกล่อม เดือนค่อย ๆ นั่งลงบนตักพี่ขุน แขนเล็กโอบรอบต้นคออย่างเคยชิน แก้มกลมซบอยู่ใกล้ใบหน้าคมที่ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ “เหนื่อยมั้ยพี่ขุน…ทั้งวันเลยนะ” เดือนเอ่ยเบา ๆ พลางเอียงหน้ามองตาเขา ขุนส่ายหัวช้า ๆ แขนใหญ่โอบกอดร่างเล็กไว้แน่น “ไม่เหนื่อยเลย…แค่ได้กอดหนูแบบนี้ ทุกอย่างก็หายไปหมดแล้ว” คำพูดเรียบง่ายทำให้หัวใจเดือนเต้นแรงขึ้นทันที เธอหัวเราะเบา ๆ อย่างเขินอาย แต่ยังคงซุกตัวเข้าหาอ้อมแขนนั้นมากกว่าเดิม ขุนก้มลงหอมแก้มขาวเนียนอย่างแผ่วเบา กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากผิวและเส้นผมของเธอลอยแตะปลายจมูกจนหัวใจเขาอุ่นวาบ เดือนยกมือแตะอกเขาเบา ๆ สบตาพร้อมรอยยิ้มละมุน “คืนนี้…ดีจังเลยพี่ ข้างนอกอาจจะเงียบ แต่หนูรู้สึกว่าหัวใจมันเต็มไปด้วยเสียงเพลง” ขุนหัวเราะในลำคอ ก่อนจะกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ริมฝีปากแตะขมับเธออย่างแผ่วเบา เดือนเงยหน้าขึ้นสบตาพี่ขุน ดวงตากลมส่องประกายวาววับในเงาจันทร์ ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาประกบริมฝีปากกับเขาอย่างแผ่วเบา รสจูบอุ่นร้อนค่อย ๆ ลึกซึ้งขึ้น
เวลาล่วงเลยจนเกือบบ่าย แสงแดดอ่อนคล้อยลงสาดผ่านต้นไม้ใหญ่ ลานไร่ที่เมื่อเช้ายังเต็มไปด้วยเสียงกลองยาวและความคึกคัก บัดนี้กลับอบอวลด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบา ๆ หลังพิธีเสร็จสิ้นขุนกับเดือนนั่งเคียงกัน มือทั้งคู่ยังคงกุมไว้แน่นบนตั่งที่ปูผ้าพื้นเมือง ข้อมือขาวมีสายด้ายผูกข้อมือที่ญาติผู้ใหญ่และเพื่อนบ้านร่วมอวยพร กลิ่นน้ำอบคละคลุ้งผสมกลิ่นดอกไม้สดรอบกายเสียงแซว เสียงอวยพรยังดังไม่ขาดสาย แต่สำหรับคนสองคนตรงกลางพิธีนั้น ราวกับโลกหมุนช้าลง เหลือเพียงความสุขเรียบง่ายที่เอ่อท่วมในหัวใจลินดายืนมองภาพนั้นอยู่ด้านข้าง รอยยิ้มสวยค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม เธอรีบยกมือเช็ด แต่ก็ไม่อาจหยุดได้ พอลที่ยืนข้าง ๆ เห็นเข้าก็เอื้อมมือมากุมไหล่ พลางเอ่ยเสียงนุ่ม “ร้องทำไมกัน…วันนี้มันเป็นวันดีนะ”ลินดาส่ายหน้าเบา ๆ หัวเราะทั้งน้ำตา “ก็เพราะมันดีไงพอล…ฉันเลยอดไม่ได้…เห็นเดือนกับขุนแล้วมันเหมือนฝันที่เป็นจริง เหมือนเราเองก็ได้ย้อนกลับมารู้ว่าความรักที่แท้จริงมันเป็นยังไง”แสงแดดบ่ายคล้อยลอดผ่านม่านใบไม้ลงมาส่องให้ภาพทั้งหมดเปล่งประกายราวกับถูกห่อหุ้มด้วยความอบอุ่น งานวิวาห์กลางไร่ในฝัน ที่