หน้าหลัก / โรแมนติก / บ้านไร่ในฝัน / ตอนที่ 3 ความโดดเดี่ยวในเมืองใหญ่

แชร์

ตอนที่ 3 ความโดดเดี่ยวในเมืองใหญ่

ผู้เขียน: ลินญาร์
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-08-08 05:40:34

ขุนก้าวลงจากรถโดยสารประจำทาง ใบหน้าของเขาถูกกระทบด้วยความร้อนระอุและเสียงอึกทึกของกรุงเทพฯ ที่ไม่เคยหลับใหล กลิ่นควันรถยนต์ผสมกับไอเสียรถเมล์เก่า ๆ คลุ้งอยู่ในอากาศ ท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนเร่งรีบ เสียงแตรรถดังสลับกับเสียงตะโกนเรียกลูกค้า ขุนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ที่กำลังจะถูกกลืนหายไปในมหานครแห่งนี้

ในใจเขามีเพียงความรู้สึกอึดอัดที่สั่งสมมานาน ความน้อยใจที่ถูกมองข้ามความฝัน และความปรารถนาที่จะไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ พ้นจากสายตาของผู้คนที่เคยรู้จัก

กระเป๋าผ้าใบเก่า ๆ ถูกหิ้วอย่างมั่นคง ข้างในมีเสื้อผ้าไม่กี่ชุดกับเงินจำนวนน้อยนิดที่แม่แอบยัดใส่มือให้ก่อนที่เขาจะแอบออกมา เขาไม่มีแผนการ ไม่มีจุดหมาย มีแค่ความหวังเลือนรางว่าจะหา "ที่อยู่" ให้ตัวเองได้ ไม่ต้องเป็นบ้าน ขอแค่อย่าโดนไล่ก็พอ

วันแรก ๆ ในกรุงเทพฯ เป็นเหมือนฝันร้าย ขุนเร่ร่อนไปทั่ว พยายามหางานทำที่ไหนก็ได้ที่พอจะประทังชีวิต งานแรกที่เขาได้คือการเป็นกรรมกรแบกหามข้าวของหนัก ๆ ตามตลาด แรงกายที่เคยใช้ในการทำไร่กลับแตกต่างออกไปเมื่อต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย เขาต้องทนกับคำพูดที่ดูถูกและสายตาที่มองเขาเป็นเพียงแรงงานชั้นต่ำ

หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนไปทำงานล้างจานในร้านอาหารบ้าง ทำงานรับจ้างรายวันบ้าง งานเหล่านั้นสอนให้เขารู้จักความเหน็ดเหนื่อยอย่างแท้จริง และความจริงที่ว่าชีวิตในเมืองใหญ่ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด

ขุนได้เช่าห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่งในตึกแถวเก่า ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยแคบ ๆ ห้องนั้นมีเพียงเตียงเหล็กผุ ๆ โต๊ะไม้เล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่น และกำแพงสีซีดที่ลอกร่อน มันไม่มีหน้าต่างบานไหนที่มองเห็นท้องฟ้ากว้าง ๆ เหมือนที่ไร่ลำไย ไม่มีกลิ่นดิน กลิ่นดอกไม้ มีแต่กลิ่นอับชื้นจากห้องข้าง ๆ และเสียงโวยวายของเพื่อนร่วมห้องเช่า

"ตื่นไปทำงานทุกวัน เลิกมาก็กินข้าวกล่อง นอนบนเตียงเหล็กที่ฝุ่นจับ ไม่มีใครเรียกชื่อ ไม่มีใครถามว่าวันนี้เหนื่อยมั้ย" นี่คือวงจรชีวิตของขุน เขาทำงานเพื่อมีชีวิตรอด ทำงานเพื่อจ่ายค่าห้อง ทำงานเพื่อหล่อเลี้ยงลมหายใจที่โดดเดี่ยว

ในความมืดมิดของห้องเช่าแคบ ๆ นั้น ขุนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งในเมืองใหญ่ ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครสนใจ เขาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แรงกดดันที่มองไม่เห็น แรงกดดันที่บอกว่าเขาต้องเข้มแข็ง ต้องอยู่รอดให้ได้ด้วยตัวเอง

บางครั้งความเหงาก็เข้ากัดกินหัวใจ เขาคิดถึงบ้าน คิดถึงไร่ลำไย คิดถึงพี่เข้ม คิดถึงแม่ คิดถึงเสียงหัวเราะของ เดือน ที่เคยวิ่งตามเขาต้อย ๆ แต่ความน้อยใจและความรู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้งก็ยังคงฝังลึกอยู่ในใจ ทำให้เขาไม่กล้าที่จะหันหลังกลับไป

เขาเคยหยิบหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ที่เก็บได้มานั่งอ่าน บรรทัดเล็ก ๆ เกี่ยวกับ “ทุนการศึกษา” สำหรับเด็กต่างจังหวัดที่อยากเรียนต่อโผล่ขึ้นมาในสายตา ขุนเคยคิดจะลองสมัคร แต่ภาพของแบบแปลนเรือนแปรรูปผลไม้ที่พี่เข้มเคยถือ และประโยคที่ว่า "อยู่ที่นี่ก็เรียนรู้ได้ ไม่เห็นต้องไปไกลถึงกรุงเทพฯ ให้เหนื่อย" ก็ย้อนกลับมาในหัว ทำให้เขาพับหนังสือพิมพ์นั้นเก็บไว้ ไม่เคยแม้แต่จะลองเริ่มต้น

วันคืนในกรุงเทพฯ ดำเนินไปอย่างเชื่องช้าสำหรับขุน ทุกวันเหมือนเดิมซ้ำ ๆ เขาเข้มแข็งขึ้นในแบบที่ต้องเอาตัวรอด แต่ภายในใจกลับมีบาดแผลที่ไม่เคยได้รับการเยียวยา

แสงอาทิตย์ยามเช้าของกรุงเทพฯ ไม่ได้อบอุ่นเหมือนแสงแดดในไร่ลำไย มันมักจะมาพร้อมกับเสียงอึกทึกครึกโครมของเมืองที่ตื่นขึ้น และกลิ่นควันรถที่เริ่มคละคลุ้ง ขุนตื่นขึ้นมาบนเตียงเหล็กผุ ๆ ในห้องเช่าแคบ ๆ ของเขา ทุกวันคือการเริ่มต้นของความเหน็ดเหนื่อยครั้งใหม่

เขาทำงานหลากหลายอย่างในแต่ละวัน ไม่มีอะไรแน่นอน บางวันเขาเป็น กรรมกรแบกหาม อยู่ในตลาดสี่มุมเมือง แบกกระสอบข้าวสาร หัวหอม หรือผักผลไม้หนักอึ้งขึ้นลงรถบรรทุก กล้ามเนื้อแทบฉีก ข้อเข่าปวดร้าวไปหมด เขาต้องทนกับเสียงตะโกนด่าทอจากหัวหน้างานที่หงุดหงิด และสายตาที่มองเขาเป็นแค่เครื่องจักรที่ต้องทำงานให้ได้มากที่สุด

บางวันโชคดีหน่อย เขาก็ได้งานเป็น เด็กเสิร์ฟหรือล้างจาน ในร้านอาหารเล็ก ๆ ตามตรอกซอยแคบ ๆ เขาต้องยืนอยู่หน้าอ่างล้างจานที่เต็มไปด้วยคราบมัน ความร้อนจากไอน้ำและกลิ่นอาหารคาวคลุ้งไปทั่ว มือของเขาเปื่อยยุ่ยจากน้ำยาล้างจานแรง ๆ และผิวหนังก็แห้งกร้านจากน้ำและสบู่ แต่เขาก็ต้องกัดฟันทำ เพราะนี่คือหนทางเดียวที่จะมีเงินซื้อข้าวประทังชีวิต

ในตอนกลางคืน หลังเลิกงาน ขุนจะเดินกลับห้องเช่าอย่างเงียบ ๆ ร่างกายอ่อนล้าจนแทบไม่มีแรงก้าวขา แต่ใจเขากลับยังต้องแข็งแกร่ง เขาจะซื้อข้าวกล่องราคาถูกจากร้านข้างทาง กินมันอย่างเงียบ ๆ คนเดียวบนเตียงเหล็กเก่า ๆ ที่เป็นทั้งที่กิน ที่นอน และบางครั้งก็เป็นที่ระบายความรู้สึกทั้งหมดที่เขาไม่มีใครจะพูดด้วย

ความโดดเดี่ยวคือเพื่อนสนิทของขุนในเมืองใหญ่ เขาไม่มีเพื่อน ไม่มีญาติ ไม่มีใครที่รู้จักชื่อจริง ไม่มีใครถามว่าเขามาจากไหน หรือทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ทุกคนเป็นเพียงเงาที่เดินสวนกันไปมาในชีวิตประจำวันอันวุ่นวาย

“ผมเคยทำงานหนัก…จนลืมถามใจตัวเองมั้ย” ขุนมักจะคิดถึงคำถามนี้อยู่บ่อย ๆ ในวันที่ท้อแท้ เขาทำงานไปวัน ๆ เหมือนหุ่นยนต์ ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีอนาคตที่ชัดเจน สิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงเขาไว้คือสัญชาตญาณของการเอาชีวิตรอด

ในบางวัน เขานั่งอยู่บนฟุตบาทริมถนน มองดูรถยนต์หรู ๆ แล่นผ่านไป มองดูผู้คนที่แต่งตัวดี ๆ เดินจับจ่ายซื้อของ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงเศษฝุ่นที่ถูกทิ้งไว้ข้างทาง ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเข้ากัดกินหัวใจ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเก็บมันไว้ข้างใน

เขาเคยคิดที่จะกลับบ้านหลายครั้ง ภาพของไร่ลำไยอันเขียวขจี เสียงหัวเราะของเดือน และรอยยิ้มอบอุ่นของพี่เข้มผุดขึ้นมาในความทรงจำ แต่ทุกครั้งที่คิดจะหันหลังกลับ ความรู้สึกผิดหวังและน้อยใจที่เคยมีต่อพี่เข้มก็คอยฉุดรั้งไว้ ทำให้เขาต้องกัดฟันใช้ชีวิตที่โดดเดี่ยวนี้ต่อไป

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บ้านไร่ในฝัน   ตอนที่ 14 คืนแห่งการเฉลิมฉลอง

    บรรยากาศในบ้านของ พี่เข้ม เต็มไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองให้กับ บัณฑิตใหม่ อย่าง ขุนพอล และ ลินดา เดินทางมาร่วมงานด้วย พวกเขานำไวน์ชั้นดีและขนมเค้กมาเป็นของขวัญ ข้าวหอมช่วยจัดเตรียมอาหารเย็นชุดใหญ่ มีทั้งอาหารพื้นบ้านและอาหารที่ขุนชอบเป็นพิเศษโต๊ะอาหารถูกจัดวางไว้นอกชานบ้าน ใต้แสงไฟสลัว ๆ ที่ห้อยระย้าจากต้นไม้ใหญ่ เสียงดนตรีเบา ๆ คลอเคล้าไปกับเสียงพูดคุยและเสียงแก้วกระทบกันเดือน มาถึงพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส เธอสวมชุดที่เรียบง่ายแต่ดูสง่างาม ดวงตาเป็นประกายเมื่อมองมาที่ขุน“ยินดีด้วยอีกครั้งนะคะพี่ขุน” เดือนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่จริงใจขุนยิ้มตอบ “ขอบคุณนะเดือน” เขารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดเมื่อได้เห็นเธออยู่ตรงนี้ทุกคนนั่งล้อมวงกันที่โต๊ะอาหาร พี่เข้มรินไวน์ให้ทุกคน พอลยกแก้วขึ้น“ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ของเราด้วยนะขุน” พอลกล่าว “นายเก่งมากจริง ๆ”ทุกคนยกแก้วขึ้นชนกัน เสียง “ไชโย!” ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงลินดายิ้มให้ขุน “ดีใจด้วยนะคะขุน ที่ดิน 50 ไร่ที่พี่เข้มให้…อยู่ติดกับไร่ดอกไม้ของลินดาเลยนะ” เธอเอ่ยขึ้น “ถ้ามีอะไรให้ช่วย บอกได้เลยนะ”ขุนพยั

  • บ้านไร่ในฝัน   ตอนที่ 13 วันแห่งความสำเร็จ

    หลังจากวันนั้นที่คาเฟ่ ขุน ตัดสินใจที่จะกลับไปเรียนต่อในเมืองตามคำแนะนำของ พี่เข้ม แม้ในใจลึก ๆ จะมีความรู้สึกบางอย่างที่อยากจะอยู่ใกล้ เดือน และไร่ลำไย แต่เขาก็รู้ว่าการเรียนคือโอกาสสำคัญที่พี่ชายมอบให้ และเป็นสิ่งที่เขาเคยใฝ่ฝันมาตลอดขุนเดินทางกลับเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง เขาทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างหนัก ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องสมุดและห้องปฏิบัติการ ความรู้ใหม่ ๆ ที่ได้รับทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขามองเห็นอนาคตที่สดใสขึ้นเรื่อย ๆ และตั้งใจว่าจะนำความรู้ที่ได้กลับมาพัฒนา "บ้านไร่ในฝัน" ของเขาให้เป็นจริงตลอดช่วงเวลาที่ขุนเรียนอยู่ในเมือง เขาจะโทรศัพท์กลับมาคุยกับพี่เข้มและข้าวหอมเป็นประจำ เพื่อสอบถามสารทุกข์สุกดิบและข่าวคราวของไร่ลำไย และแน่นอนว่าเขามักจะแอบถามถึง เดือน เสมอเดือนเองก็ใช้ชีวิตอย่างเข้มแข็งและมีความสุขกับการทำงานที่คาเฟ่ดอกไม้ของ ลินดา เธอเติบโตเป็นหญิงสาวที่มั่นใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในใจลึก ๆ ก็ยังคงเฝ้ารอคอยการกลับมาของขุนเสมอเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว…ในที่สุด วันที่ ขุน รอคอยก็มาถึง วันรับปริญญา ของเขาพี่เข้มและข้าวหอมพร้อมด้วย ต้นฝัน ลูกสา

  • บ้านไร่ในฝัน   ตอนที่ 12 แววตาที่ไม่เหมือนเดิม

    เสียงเรียกชื่อของ เดือน แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้โลกทั้งใบของ ขุน หยุดนิ่ง ดวงตาของทั้งคู่สบกัน ขุนเห็นความตกใจและแปลกใจในแววตาของเดือน ส่วนเดือนก็เห็นความรู้สึกบางอย่างที่เธออ่านไม่ออกในดวงตาของเขาลูกค้าหนุ่ม ๆ ที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างก็หันมามองขุนด้วยความสงสัยเล็กน้อย เดือนที่ตั้งสติได้ก่อน รีบส่งยิ้มให้ลูกค้าพร้อมรับออเดอร์อย่างเป็นธรรมชาติ“พี่ขุนมาเมื่อไหร่คะ” เดือนถามขณะที่เธอกำลังชงกาแฟให้ลูกค้า มือของเธอดูคล่องแคล่ว แต่ขุนก็สังเกตเห็นว่ามันสั่นไหวเล็กน้อย“เมื่อวาน” ขุนตอบสั้น ๆ สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่เดือน ไม่ได้สนใจลูกค้าคนอื่น ๆ เลยเมื่อเดือนชงกาแฟเสร็จและส่งให้ลูกค้าเรียบร้อยแล้ว เธอก็หันมาเผชิญหน้ากับขุนอย่างเต็มที่“มาเที่ยวคาเฟ่เหรอคะ” เดือนพยายามยิ้มให้เขาอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นยังคงสวยงาม แต่ดูต่างไปจากรอยยิ้มสดใสในวัยเด็กอย่างสิ้นเชิง มันคือรอยยิ้มของหญิงสาวที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย“มาเยี่ยมหลาน” ขุนตอบ และในที่สุดเขาก็เดินเข้าไปยืนที่หน้าเคาน์เตอร์ “พี่เข้มมีลูกสาวแล้ว ชื่อต้นฝัน”ดวงตาของเดือนเป็นประกายด้วยความยินดี “จริงเหรอคะ! ดีใจด้วยจังเล

  • บ้านไร่ในฝัน   ตอนที่ 11: ดอกไม้บานในใจเดือน

    หลังจากวันที่ ขุน จากไปอีกครั้งพร้อมกับคำสัญญาที่ยังค้างคา เดือน ใช้เวลาอยู่กับตัวเองเงียบ ๆ เธอปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาจนหมดสิ้น ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เดือนรู้ดีว่าชีวิตต้องดำเนินต่อไป และเธอจะต้องเข้มแข็งให้ได้เวลาผ่านไป เดือนเริ่มเติบโตเป็นสาวเต็มตัว ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตา แต่เป็นความคิดและจิตใจ เธอตัดสินใจที่จะไม่จมอยู่กับความเศร้า แต่จะใช้ชีวิตให้ดีที่สุด เพื่อรอคอยวันที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ด้วยความช่วยเหลือของ พี่เข้ม และ ข้าวหอม เดือนได้มีโอกาสเข้าไปทำงานใน ไร่ดอกไม้เรือนกระจกของลินดา ซึ่งอยู่ทางเหนือของไร่ลำไย เธอเริ่มต้นจากการเป็นผู้ช่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เรียนรู้การดูแลดอกไม้ การจัดดอกไม้ และการบริหารจัดการคาเฟ่ดอกไม้ที่สวยงามลินดา มองเห็นความตั้งใจและความมุ่งมั่นในตัวเดือน เธอเอ็นดูเดือนเหมือนน้องสาวคนเล็ก คอยสอนงาน ให้คำแนะนำ และเป็นที่ปรึกษาในทุก ๆ เรื่อง ลินดาไม่ได้สอนแค่เรื่องงาน แต่ยังสอนเรื่องการใช้ชีวิต การจัดการกับอารมณ์ และการมองโลกในแง่บวก“ดอกไม้ก็เหมือนใจคนนะเดือน” ลินดาเคยพูดขึ้นในวันหนึ่งขณะที่ทั้งคู่กำลังจัดดอกไม้อยู่ในเรือนกระจก “ถ้าเราดูแลมันดี

  • บ้านไร่ในฝัน   ตอนที่ 10 อ้อมกอดแห่งการจากลา

    วันเดินทางมาถึง ท้องฟ้าแจ่มใสผิดกับคืนก่อน ๆ ที่มืดครึ้ม ขุน ตื่นแต่เช้า จัดกระเป๋าเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุดลงในกระเป๋าเดินทางใบเก่า ความรู้สึกตื่นเต้นระคนสับสนยังคงวนเวียนอยู่ในใจหลังจากทานอาหารเช้าที่ ข้าวหอม เตรียมไว้ให้ ขุนก็เดินออกมาที่หน้าบ้าน พี่เข้ม ยืนรออยู่แล้ว ข้าง ๆ เขาคือรถกระบะคันเก่าของไร่ สีซีดจางไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังดูดีและใช้งานได้“รถคันนี้…พี่ให้แกเอาไปใช้ในเมือง” พี่เข้มพูดขึ้น น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบ แต่แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย “มันอาจจะเก่าหน่อย แต่ก็ยังวิ่งได้ดี ดูแลมันดี ๆ นะ”ขุนมองรถคันนั้นด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ เขาไม่คิดว่าพี่เข้มจะให้รถเขาไปใช้ในเมือง “ขอบคุณครับพี่”พี่เข้มวางมือบนไหล่น้องชาย “ไปถึงแล้วก็ตั้งใจเรียนนะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”ขุนพยักหน้า เขารับกุญแจรถมาจากพี่เข้ม ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถ เตรียมตัวที่จะก้าวเข้าไปก่อนที่จะสตาร์ทรถ ขุนเหลือบมองไปยัง บ้านของเดือน ที่อยู่ไม่ไกลนัก เขาสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบที่ปกคลุมอยู่ แต่ในใจก็อดคิดถึงเธอไม่ได้เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเสียบกุญแจและบิดสตาร์ทเครื่องยนต์ เสียงเครื่องยนต์เก่า ๆ ดังกระหึ่มขึ้นมาใน

  • บ้านไร่ในฝัน   ตอนที่ 9 การชดเชยของพี่ชาย

    เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความคิดคำนึงถึงคำสัญญาในวัยเด็ก ขุน ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ยังหนักอึ้ง แต่เขาก็พยายามฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นมาช่วยงานในไร่ลำไยเหมือนเช่นเคยขณะที่ขุนกำลังช่วย พี่เข้ม ตัดแต่งกิ่งลำไยอยู่กลางไร่ พี่เข้มก็วางกรรไกรลง เขามองไปยังขุนด้วยแววตาที่จริงจังกว่าปกติ“ขุน…แกอยากกลับไปเรียนไหม” พี่เข้มเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหันขุนชะงักมือที่กำลังตัดกิ่งไม้ เขาเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าพี่เข้มจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา“เรียนเหรอครับพี่” ขุนทวนคำถามพี่เข้มพยักหน้า “ใช่…พี่รู้ว่าแกอยากเรียนมาตลอด พี่…พี่ขอโทษนะที่วันนั้นพี่พูดไม่ดี” น้ำเสียงของพี่เข้มแผ่วลงเล็กน้อย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่เก็บงำมานาน “พี่อยากจะชดเชยให้แก”ขุนยืนนิ่ง เขามองพี่ชายด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งแปลกใจ ตื้นตัน และสับสน เขาไม่เคยคิดว่าพี่เข้มจะพูดคำว่าขอโทษ และไม่เคยคิดว่าพี่ชายจะยังจำความฝันเรื่องการเรียนของเขาได้“พี่ได้คุยกับ อาจารย์สมศักดิ์ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว ท่านเป็นเพื่อนเก่าของพ่อเรา ท่านบอกว่าถ้าแกสนใจ ท่านจะช่วยดูเรื่องทุนการศึกษาให้

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status