แชร์

บทที่ 4

ผู้เขียน: มู่โร่ว
หลังเย่มู่มู่โยนอาหารหมดอายุลงไปจนหมดก็ขึ้นไปชั้นบน

หน้าจอโทรศัพท์มือถือของเธอสว่างขึ้นไม่หยุด เป็นคุณอาคุณลุงในครอบครัวเธอโทรมา

พ่อแม่ล่วงลับ เธอกลายเป็นเด็กกำพร้า คุณอาคุณลุงร่วมมือกับคุณย่ามาหาถึงบ้าน หมายจะฮุบทรัพย์สินของเธอ

โชคดีที่คุณพ่อคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าจึงทิ้งพินัยกรรมเอาไว้

ในโถงตั้งโลงศพของคุณพ่อคุณแม่ คุณอาคุณลุงรวมถึงคุณย่ากดดันให้เธอมอบทรัพย์สินของคุณพ่อออกไป

ยังอ้างเสียสวยหรูว่าจะช่วยดูแลให้เธอ

บอกว่าเธอเป็นผู้หญิง ต้องแต่งงานไม่ช้าก็เร็ว จะบริหารบริษัทใหญ่มูลค่าหลายหมื่นล้านได้อย่างไร

ห้องชุดสิบกว่าห้อง ร้านค้าหลายร้านกับตึกปล่อยเช่าอีกสองตึก

บอกให้เธอส่งมอบทั้งหมดนั้นออกไปให้พี่น้องของคุณพ่อแบ่งสรรปันส่วนกัน

คุณพ่อไม่ใช่ผู้ถือหุ้นเพียงหนึ่งเดียวของบริษัท แต่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด ถือหุ้นสามสิบกว่าเปอร์เซ็นต์

เย่มู่มู่ขอให้ผู้ถือหุ้นรายอื่นช่วยออกหน้า ช่วยเธอปกป้องทรัพย์สมบัติเอาไว้

เธอไม่เข้าร่วมการบริหาร รับแค่เงินปันผลเท่านั้น

เธอสละสิทธิ์ในการบริหาร ผู้ถือหุ้นรายอื่นย่อมยินดีอยู่แล้ว

บอดี้การ์ดปรากฏตัวขึ้นในโถงตั้งโลงศพจึงควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้

มีทนายและโนตารี พับลิค[1]อยู่ด้วย ประกาศพินัยกรรมของคุณพ่อต่อหน้าสาธารณะ ทรัพย์สินทั้งหมดให้เย่มู่มู่เป็นผู้สืบทอด

พี่ชายน้องชายของคุณพ่อร้องไห้คร่ำครวญ ด่าทอว่าเธอเลือดเย็น ด่าทอว่าคุณพ่อใจดำ

คุณย่ายังคิดจะลงมือตีเธอ แต่ถูกบอดี้การ์ดขวางไว้

พอพวกเขาไม่สามารถแย่งชิงทรัพย์สมบัติอย่างเปิดเผยก็เริ่มหงายไพ่คนในครอบครัว โทรศัพท์มาหาเธอทุกวัน

เห็นเธอไม่สะทกสะท้าน เอาเงินไปจากเธอไม่ได้ก็เริ่มโทรศัพท์มาด่าทอเธอทุกวัน

ด่าเธอว่าใจดำ ด่าเธอว่าโหดเหี้ยมอำมหิต ด่าเธอว่าเห็นผู้ใหญ่ในครอบครัวมีชีวิตลำบากก็ไม่รู้จักให้เงินทองช่วยเหลือ

ภายหลัง เธอบล็อกเบอร์โทรศัพท์มือถือของญาติ ๆ จนหมด พวกเขาก็เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์โทรมาหาเธอ

เย่มู่มู่ปล่อยให้หน้าจอโทรศัพท์มือถือสว่างต่อไป ไม่เคยรับสาย

เธอเดินเข้าไปในห้องนอนของคุณพ่อคุณแม่ ขดตัวนอนบนโซฟาของพวกเขา

ได้กลิ่นที่คุ้นเคย จินตนาการว่าพ่อแม่ยังอยู่ข้างกายเธอ

เช่นนี้เธอถึงสบายใจ

*

หลังจ้านเฉิงอิ้นโยนกระดาษลงไป แจกันก็ไม่ตอบสนองอีกเลย

เขาคิดว่าหรือจะเป็นเพราะตัวเองโลภมากเกินไป เรียกร้องมากเกินไปจนทำให้ท่านเทพโกรธเคือง

เขาข่มความไม่สบายใจเดินออกไปจากจวนแม่ทัพที่ทรุดโทรม

กลางถนนใหญ่ สองฟากถนนเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ทรุดโทรมเกินบรรยาย สายลมม้วนเอาทรายสีเหลืองปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ

ชาวบ้านร่างผอมเหลือแต่กระดูกนับไม่ถ้วนต้องทนหิวโหย นอนรอความตายอยู่ข้างถนน

พวกเขาเห็นแม่ทัพเดินออกมา สายตาเลื่อนลอยทุกคู่มองมาที่เขา

คนที่ยังมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่คุกเข่าคำนับเขา

ก่อนหน้านี้มีผู้อพยพมารวมตัวที่จวนแม่ทัพ ขอร้องให้แม่ทัพเปิดยุ้งฉางแจกจ่ายเสบียง

ผู้อพยพกับคนใช้ในจวนแม่ทัพเกิดขัดแย้งกัน คนใช้ในจวนแม่ทัพบอกว่าในจวนไม่มีเสบียงอาหารมานานแล้ว

สิ่งที่แม่ทัพกับพวกเขากินคือเปลือกไม้

แต่ผู้อพยพไม่เชื่อ สองฝ่ายจึงปะทะกันขึ้นมา

คนใช้ในจวนแม่ทัพเดิมมีสิบกว่าคน ถูกทำร้ายบาดเจ็บไปหกคน สุดท้ายก็ตายไปเพราะไร้ยารักษา

มีหกคนที่หิวตาย

เหลือพ่อบ้านชราเพียงคนเดียว พ่อบ้านชราก็เริ่มกินดินขาวไปแล้ว

พวกเขาแสดงความสำนึกผิดต่อหน้าท่านแม่ทัพ รู้สึกผิดต่อความผิดบาปที่ตนเองได้กระทำลงไป

พวกเขาเฝ้าอยู่หน้าจวนแม่ทัพ หลังตายไป ร่างกายยังสามารถนำมาเลี้ยงทหารสองหมื่นนาย พวกเขาเต็มใจอุทิศร่างกายของตนเอง

จ้านเฉิงอิ้นเดินมาถึงปากทาง สตรีออกเรือนแล้วที่หน้าเหลืองร่างผอมคนหนึ่งคุกเข่าร่ำไห้ต่อหน้าเขา

“ท่านแม่ทัพได้โปรดช่วยชีวิตลูกชายของข้าด้วยเถอะเจ้าค่ะ ขอร้องท่านแล้ว”

นายกองเถียนไท่เห็นดังนั้นก็คิดจะกันสตรีที่เข้ามาขวางทางผู้นั้นออกไป

สตรีผู้นั้นร่ำไห้รำพัน “ข้าน้อยมีลูกเล็กสองคน คนหนึ่งถูกพ่อพวกเขาเอาตัวไปแลกอาหารแล้ว เหลืออยู่คนเดียวเท่านั้น เขายังมีชีวิตอยู่ พ่อเขาไยจึงตัดใจทำได้ลงคอ”

“ท่านได้โปรดช่วยเขาด้วยเถอะเจ้าค่ะ ถึงต้องตาย ข้าก็อยากจะช่วยชีวิตลูกชายเอาไว้!”

จ้านเฉิงอิ้นได้ยินเช่นนั้นก็กำสองมือแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน

ในเมืองมีเรื่องไร้ความเป็นมนุษย์เกิดขึ้นไม่เว้นวัน

เขานึกว่าตัวเองได้ยินมามากแล้ว เห็นมามากแล้วจะชินชาไปเองเสียอีก

ทว่ามโนธรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ทำให้ยากจะยอมรับได้

ต้องเห็นชาวบ้านแลกเปลี่ยนลูกของกันและกันเพื่อนำไปกินเป็นอาหาร ทั้งยังเป็นคนเป็น ๆ อีกด้วย

นี่คือราษฎรที่ตระกูลจ้านของเขาสละชีวิตปกป้องอย่างนั้นหรือ!

“สามีของท่านอยู่ที่ไหน?”

สตรีผู้นั้นเห็นแม่ทัพเต็มใจช่วยเหลือก็ชี้ไปทางปากตรอกเก่า ๆ แห่งหนึ่งทันที

จ้านเฉิงอิ้นหมุนกายเดินตรงไปทางตรอกนั้น

ในตรอกนั้น บิดาผู้หนึ่งเช็ดน้ำตาแลกเปลี่ยนลูกกันอย่างอาลัยอาวรณ์

ลูกของเขากอดขาเขาไว้แน่น ร้องไห้งอแงว่าเขาไม่กินอะไรอีกแล้ว ขอร้องให้บิดาไว้ชีวิตเขาด้วย

อย่าเอาเขาไปแลกเลย!

ยังมีเด็กอีกคนที่ไม่ได้ใส่เสื้อ ร่างกายผอมแห้ง เห็นซี่โครงชัดเจน เขานั่งอยู่บนพื้นดินอย่างเงียบงัน

เขาร้องไห้ไม่ออกแล้ว บนใบหน้ามอมแมมเปื้อนฝุ่นนั้นมีคราบน้ำตาคดเคี้ยวสองสาย

สำหรับความเป็นความตาย ราวกับเขาสิ้นหวังจนยอมรับชะตากรรมไปแล้ว

สตรีผู้นั้นร้องเรียกลูกชาย “ย่างเอ๋อร์!”

เด็กน้อยที่เงียบงันผู้นั้นได้ยินเสียงของมารดาก็พยุงกำแพงลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ต้องการจะเดินมาหามารดา

แต่กลับถูกบิดาถีบล้มอย่างรุนแรง

บิดาขยุ้มคอเขาขึ้นมาแล้วตะคอกเสียงดัง “ยังจะแลกหรือไม่แลก? ถ้าอยากตายก็อย่ามาทำให้ข้าเสียเวลา”

กระบี่ยาวของเถียนไท่พาดอยู่เหนือลำคอชายผู้นั้น

ชายผู้นั้นสะดุ้งตกใจ ทำลูกชายร่วงลงบนพื้น

สตรีผู้นั้นถลาเข้าไปโอบกอดลูกชายเอาไว้

เด็กน้อยถึงได้ปล่อยโฮออกมา “ท่านแม่ ในที่สุดท่านแม่ก็มาช่วยข้า ข้ามีชีวิตต่อไปได้แล้ว ไม่ต้องถูกกินเหมือนน้องชายน้องสาวแล้วใช่ไหมขอรับ!”

มารดาผู้นั้นปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น “ขอโทษ แม่ไม่ดีเอง ไม่ได้ปกป้องน้องชายน้องสาวของเจ้าไว้ให้ดี”

ฝ่ายบิดาได้ยินดังนั้นก็ด่าทอว่า “อย่ามาทำเป็นพูดดี พูดเสียราวกับว่าแลกเด็กมาได้แล้ว เจ้าไม่ได้กินอย่างนั้นแหละ เจ้าซดน้ำแกงเนื้อเยอะกว่าข้าเสียอีก”

สตรีผู้นั้นได้ยินดังนั้นก็ปิดหูลูกชาย ร้องเสียงดังด้วยความตระหนก

“เจ้าไม่ได้บอกข้านี่ว่าใช้ชีวิตลูกข้าแลกมา เจ้าหลอกให้ข้าไปที่อื่นแล้วแอบเอาลูกไปแลก”

“เหตุใดเจ้าจึงใจคอโหดเหี้ยมเช่นนี้ พวกเขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้านะ”

บุรุษผู้นั้นคิดจะตีภรรยาจึงถูกคมกระบี่ของเถียนไท่ที่พาดอยู่บนลำคอบาดเข้า

หยดเลือดไหลลงมาจากลำคอของเขา

เขาเอ่ยเสียงตระหนก “ท่านแม่ทัพ ข้าผิดไปแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้วจริง ๆ ท่านโปรดไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถอะ”

“ข้าไม่เอาลูกไปแลกอีกแล้ว จะเลี้ยงดูให้ดีจนเขาเติบใหญ่”

คนอย่างเขาเมื่อก่อนก็เป็นพวกเกียจคร้านไม่ทำการทำงาน โกหกจนเป็นนิสัย สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก!

จ้านเฉิงอิ้นเอ่ยเสียงเย็นชา “เอาตัวไปรับใช้กองทัพที่ค่ายทหาร”

บุรุษผู้นั้นร้องโหยหวนเหมือนหมูที่จะถูกเชือด พยายามอ้อนวอนร้องขอชีวิต

ทัพใหญ่สามแสนของเผ่าหมานล้อมด่านเจิ้นกวนเอาไว้ แมลงวันตัวเดียวยังบินออกไปไม่ได้ ไปค่ายทหารก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว

บุรุษผู้นั้นด่าทอภรรยา ด่าทอลูกชาย ร้องโวยวายขณะถูกลากตัวไป

ส่วนอีกครอบครัวหนึ่งที่จะแลกเด็กด้วยกันหนีไปแต่แรกแล้ว

จ้านเฉิงอิ้นมองดูเด็กน้อยที่ผมแห้งเหลือแต่กระดูก เขาสัมผัสข้าวปั้นสองก้อนในอกเสื้อ

เขาล้วงข้าวปั้นก้อนหนึ่งออกมาแอบยัดใส่มือสตรีผู้นั้น

สตรีผู้นั้นสัมผัสถึงข้าวปั้นที่ยังอุ่นอยู่ก็พลันอึ้งไปชั่วขณะ แต่ก็รับเอาไว้

ตอนจ้านเฉิงอิ้นจากไป นางพาลูกชายคำนับศีรษะขอบพระคุณเขา!

*

ในอกเสื้อจ้านเฉิงอิ้นเหลือข้าวปั้นก้อนเล็กอยู่เพียงก้อนเดียว

เขาจะเอาไปให้ทหารเด็กคนหนึ่ง

ทหารน้อยซ่อมบำรุงเกือกม้า ซ่อมโต๊ะเก้าอี้เป็น เป็นที่นิยมชมชอบในหมู่ทหารในกองทัพอย่างมาก

สองวันก่อน เผ่าหมานบุกโจมตี เขาถูกธนูยิงหลายดอก ธนูไม่ถึงกับเอาชีวิต แต่เพราะขาดแคลนสมุนไพร บาดแผลจึงติดเชื้อ

หมอบอกว่าเขาไม่รอดแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายรอความตายเท่านั้น

ทหารน้อยดวงตาสดใส ยิ้มบอกว่าไม่กลัวตาย

เพียงหวังว่าจะสามารถกินอิ่มก่อนตาย ถึงจะเป็นรากหญ้าก็ยังดี

เขานำข้าวปั้นสองก้อนติดตัวมา แม้ไม่พอให้เขากินอิ่ม แต่ก็เป็นข้าวปั้นที่ทำจากข้าวสวย ห่อไส้เนื้อเอาไว้ข้างใน

ทหารน้อยน่าจะชอบเหมือนกัน

จ้านเฉิงอิ้นตรงไปยังค่ายทหาร

ฉับพลันนั้น หญิงชราที่หน้าเหลืองร่างผอมท่าทางอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงพลันล้มลงตรงหน้าเขา

นางคุกเข่าลงตรงหน้าเขาอย่างอ่อนแรง ในอ้อมกอดคือตะกร้าที่บรรจุรากหญ้าไว้จนเต็ม

“ท่านแม่ทัพ ข้าใกล้ตายแล้ว หวังว่าท่านแม่ทัพจะสามารถปกป้องหลานสาวข้าไปได้อีกสักระยะ”

“คนในครอบครัวตายไปหมดแล้ว เหลือแค่ข้ากับหลานสาวเป็นที่พึ่งของกันและกัน ข้าทำใจเห็นนางกลายเป็นอาหารของคนอื่นไม่ได้จริง ๆ”

“รากหญ้าพวกนี้ ข้าเก็บหอมรอมริบมาหลายวัน หวังว่าท่านแม่ทัพจะรับเอาไว้”

จ้านเฉิงอิ้นมองแขนของผู้ชรา หลังมือเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย เป็นแผลที่เกิดจากการถูกอาวุธทื่อ ๆ เชือดเฉือน

มุมปากของหลานสาววัยสามขวบมีคราบเลือดแห้งเกรอะกรัง ทุกอย่างล้วนสามารถเข้าใจได้ในทันที

เขากำข้าวปั้นในมือแน่น!

เขาเป็นลูกผู้ชายจิตใจเด็ดเดี่ยวที่สังหารศัตรูในสนามรบมานับไม่ถ้วน

เห็นผู้ชรากรีดเลือดช่วยชีวิตหลานสาว…ฉากที่แสนโหดร้ายเช่นนี้ ต่อให้เขาใจแข็งกว่านี้ก็ยังต้องแหงนหน้าบังคับให้น้ำตาไหลกลับลงไป!

“มีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี เอารากหญ้าพวกนี้ไปต้มกินเถอะ!”

เขาวางข้าวปั้นก้อนสุดท้ายนั้นลงในตะกร้า

ระหว่างทางกลับจวนแม่ทัพ เขาเดินด้วยฝีเท้าเร่งร้อน จิตใจว้าวุ่นสับสน

เห็นราษฎรในเมืองเป็นเช่นนี้ หัวใจเขาเจ็บปวดราวถูกมีดกรีด

เขาจะไปขอร้องให้ท่านเทพช่วยเหลือเหล่าทหารหาญและช่วยชีวิตชาวบ้านในเมือง

ต่อให้ต้องใช้ชีวิตเขาเป็นเครื่องแลกก็ตาม

เขาไม่อยากเห็นผู้คนหิวตายเกลื่อนถนนและชาวบ้านกรีดเลือดรอความตายด้วยความสิ้นหวังอีกแล้ว

[1] โนตารี พับลิค คือ บุคคลผู้มีอำนาจรับรองเอกสารและลายมือชื่อในการทำนิติกรรมต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
ความคิดเห็น (1)
goodnovel comment avatar
Ttnun Puatrakul
เศร้าใจ เวทนา โชคดีที่เราไม่เจอสงคราม
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทล่าสุด

  • ปีแห่งภัยอดอยาก ฉันขายวัตถุโบราณเลี้ยงดูท่านแม่ทัพ   บทที่ 748

    เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า จ้านเฉิงอิ้นก็พอใจเป็นอย่างยิ่งแม้จะมีการเสียเลือดเนื้อและสังหารไปหลายสิบคน แต่ก็ลดความสูญเสียของจำนวนคนลงได้ต่ำที่สุดแล้วเมื่อเห็นว่าหัวหน้าอาวุโสไม่ยินยอมสวามิภักดิ์ ริมฝีปากบางก็ยกยิ้มเย็นชา “โอ้ เจ้าไม่ยินยอมสวามิภักดิ์หรือ?”หัวหน้าชรา เบนสายตาที่พร่ามัวไปยังจ้านเฉิงอิ้น ร่างกายที่เหี่ยวแห้งสั่นเทาไม่หยุด เขาไม่เต็มใจที่จะสวามิภักดิ์คู่ต่อสู้เก่าของเขา หัวหน้าเผ่าอูคู่เสียชีวิตไปแล้วหากเขานำชนเผ่าปาเอ่อร์ยอมจำนนต่อชาวฮั่น ในภายหลังจะถูกชนเผ่าอื่น ๆ ในทุ่งหญ้ามองว่าเป็นความอัปยศเขาไม่ต้องการเป็นหัวหน้าเผ่าแรกที่ยอมจำนนต่อกองทัพตระกูลจ้านจ้านเฉิงอิ้นเอามือไพล่หลังข้างหนึ่ง ยิ้มแต่ไม่พูดนานทีเดียว ริมฝีปากบางของเขาก็ขยับเล็กน้อย “ผู้ไม่สวามิภักดิ์...สังหาร!”ล่ามรีบแปลออกมาในทันทีพลธนูที่อยู่ด้านหลังจ้านเฉิงอิ้นโก่งคันธนู เงื้อลูกศรไปยังหัวหน้าเผ่าปาเอ่อร์ ขณะที่หัวหน้าเฒ่าสั่นเทา มือเท้าเย็นเฉียบเขารู้สึกหวาดกลัวต่อความตายแล้วใครจะคาดคิดว่า วินาทีต่อมา เขาก็ถูกลูกชายและผู้อาวุโสที่อยู่ข้าง ๆ กดตัวลง บังคับให้คุกเข่าลูกชายของเข

  • ปีแห่งภัยอดอยาก ฉันขายวัตถุโบราณเลี้ยงดูท่านแม่ทัพ   บทที่ 747

    เด็ก ๆ ทุกคนถือลูกอมอยู่ในมือ บางคนถือขนมปังแผ่นหนึ่งอยู่ในมือพวกเขาล้วนว่านอนสอนง่าย กัดลูกอมไปครึ่งเม็ด หรือแบ่งขนมปังอีกครึ่งแผ่น ป้อนเข้าปากแม่!ผู้หญิงทุกคนซ่อนแป้งสาลีถุงเล็ก ๆ ไว้ในอ้อมอกเป็นทหารของกองทัพตระกูลจ้านที่เรียกพวกนางออกจากกระโจมและแจกจ่ายให้พวกเขายังบอกอีกว่า ทางนี้มีคนแจกจ่ายหญ้าแห้ง โดยรับตามจำนวนคน!ผู้หญิงกลัวว่าจะมาช้าแล้วจะไม่ได้ พวกนางจึงพาครอบครัวทั้งหมดมาด้วยความเร็วที่สุดผู้หญิงและเด็กไม่ได้เข้าไปในสนามรบ พวกเขายืนต่อแถวรับสิ่งของอยู่ด้านนอกสุดมีคนบอกว่าทุกครัวเรือนจะได้รับข้าวสารกระสอบใหญ่หนักหนึ่งร้อยชั่ง และแป้งสาลีห้าสิบชั่งหลังจากพวกนางมาถึง ได้ยินเสียงประกาศจากลำโพงขนาดใหญ่ที่วนเวียนอยู่“ยอมสวามิภักดิ์ต่อกองทัพตระกูลจ้าน เป็นพลเมืองของดินแดนกองทัพตระกูลจ้าน ทุกครัวเรือนจะได้รับข้าวสารหนึ่งร้อยชั่ง แป้งสาลีห้าสิบชั่ง เด็กหนึ่งคนจะได้รับหญ้าแห้งหนึ่งร้อยชั่ง!”“มีน้ำให้ไม่จำกัด!”“ผู้ที่ยินดีสวามิภักดิ์ โปรดเข้าแถวรับสิ่งของได้เลย!”“กองทัพตระกูลจ้านจะไม่บังคับ ผู้ที่ไม่ยินดีสวามิภักดิ์ จะไม่มีอาหาร หญ้าแห้ง และน้ำ…”เมื่อลำโพงขนาดให

  • ปีแห่งภัยอดอยาก ฉันขายวัตถุโบราณเลี้ยงดูท่านแม่ทัพ   บทที่ 746

    ในศึกกับเผ่าหมานครั้งนี้ที่ร่วมรบกับท่านแม่ทัพใหญ่ กองทัพธงเหลืองทั้งหมดต่างสมัครเข้าร่วมแต่มีเพียงหนึ่งในสามเท่านั้นที่ได้รับคัดเลือกพวกเขาล้วนอยากได้รับรถบ้านเป็นรางวัลเป็นอย่างยิ่งทุกคนต่างฮึกเหิมราวกับม้าพยศ อยากจะรีบพรวดพราดเข้าไปในสนามรบเพื่อช่วงชิงตัดหัวศัตรูมาให้ได้ใครจะคาดคิดว่า หน่วยหน้าไม้ราชวงศ์ฉินจะเป็นฝ่ายลงมือก่อน!ฟิ้ว~เสียงลูกศรแหวกอากาศดังขึ้น หน้าไม้ราชวงศ์ฉินถูกยิงออกไป คนของเผ่าอูคู่ที่บุกเข้ามาก่อนล้มลงทั้งแถวในทันทีหัวหน้าเผ่าอูคู่ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น ชักดาบใหญ่ของตนพุ่งออกมาเฉินขุยชักดาบม่อเตาออกมารับมือ ดาบม่อเตานั้นหนักยิ่งนัก เมื่อฟันลงไปเพียงดาบเดียว ก็ฟันดาบใหญ่ของหัวหน้าเผ่าจนขาดสะบั้นเป็นสองท่อนร่างกายของเขาไม่อาจรับน้ำหนักอันมหาศาลของดาบม่อเตาได้ ขาทั้งสองข้างพลันอ่อนแรง ทรุดฮวบลงไปผู้คนของเผ่าอูคู่ต่างตกตะลึงอ้าปากค้างหัวหน้าเผ่าคือยอดนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา ทั้งยังเป็นยอดฝีมือด้านหมัดมวย แต่กลับรับดาบไม่ได้แม้เพียงดาบเดียวแม้หัวหน้าเผ่าจะล้มลงไป แต่ใบหน้าและลำคอก็ยังแดงก่ำด้วยความเดือดดาล เขาร้องโวยวายเสียงดัง

  • ปีแห่งภัยอดอยาก ฉันขายวัตถุโบราณเลี้ยงดูท่านแม่ทัพ   บทที่ 745

    ชนเผ่าใหญ่ทั้งสองที่มาด้วยท่าทางดุดันเกรี้ยวกราด เมื่อเห็นหญ้าแห้งม้วนใหญ่มหึมาหล่นลงมาตรงหน้า ก็พากันตกตะลึงอ้าปากค้างยืนนิ่งอยู่กับที่!นี่~นี่คือหญ้าอาหารสัตว์?หัวหน้าเผ่าอูคู่ร่างกำยำสูงใหญ่ คว้าหญ้ากำหนึ่งยัดเข้าปากแล้วเคี้ยวดวงตาของเขาเบิกโพลงคือหญ้า!คือหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่อุดมสมบูรณ์!เขาก็พลันตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง ส่งเสียงเอะอะบอกอะไรบางอย่างกับคนในเผ่าชาวเผ่าอูคู่ทั้งหมดกรูกันเข้ามา ทุกคนต่างคว้าหญ้ากำหนึ่งยัดเข้าปาก เคี้ยวไม่หยุดไม่ใช่เพียงแค่คน แม้แต่แกะและวัวที่ล้มอยู่บนพื้นยังไม่ตายสนิท ก็ยังลากร่างเคลื่อนไปทีละน้อย พอคลานไปถึงกองหญ้าก็ก้มลงกัดกินทันทีส่วนหัวหน้าเผ่าปาเอ่อร์ที่เป็นชายชรา ก็หยิบหญ้าเลี้ยงสัตว์กำหนึ่งยัดเข้าปากเช่นกันใบหน้าที่ซูบตอบเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เนื้อหนังที่เหี่ยวย่นหย่อนยานสั่นระริกเขาพูดกับคนที่อยู่ด้านหลังอย่างตื่นเต้น ส่งเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์คนในเผ่าทั้งหมดของเขาล้อมเข้ามา แล้วรีบยัดหญ้าเข้าปากอย่างไม่คิดชีวิตบางคนถึงกับอุ้มหญ้าเลี้ยงสัตว์มัดใหญ่ วิ่งกลับไปยังคอกปศุสัตว์ของตนเผ่าอูคู่เห็นดังนั้น ก็อุ้มหญ้าเลี้ยงสัตว

  • ปีแห่งภัยอดอยาก ฉันขายวัตถุโบราณเลี้ยงดูท่านแม่ทัพ   บทที่ 744

    แม่วัยสาวเมื่อได้ยินเช่นนั้น พลันตกตะลึงนิ่งงันไปให้แปดชนเผ่าใหญ่ยอมสวามิภักดิ์ต่อกองทัพตระกูลจ้าน?ต่อจ้านเฉิงอิ้น ศัตรูคู่อาฆาตของชาวเผ่าอย่างนั้นหรือ?นี่มัน...เผ่าหมานเป็นพวกเลือดร้อน ทะเยอทะยาน ทั้งยังดุร้ายป่าเถื่อนพวกเขาไม่หวั่นเกรงความตาย แต่ไม่มีวันคุกเข่าสยบยอมต่อศัตรูโดยเด็ดขาดเชลยศึกเอ่ยขึ้นเช่นกัน “จะให้แปดชนเผ่าใหญ่ยอมจำนนน่ะหรือ เป็นไปไม่ได้! ต่อให้ฆ่าพวกเขาทิ้ง ก็ไม่มีวันยอม!”“พวกเขาล้วนเป็นชายชาตินักรบดุจพญาอินทรี มีแต่จะโผบินทะยานฟ้า แล้วใยจะยอมก้มศีรษะอันหยิ่งทระนงให้แก่ชาวฮั่น ให้แก่จ้านเฉิงอิ้นได้เล่า!”จ้านเฉิงอิ้นหรี่นัยน์ตาลงเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “โอ้ จริงรึ?”ไม่ยอมก้มศีรษะอันหยิ่งผยองให้ข้างั้นรึ?เช่นนั้นก็ให้ข้าได้เห็น ว่าศีรษะของเผ่าปาเอ่อร์และเผ่าอูคู่แข็งแกร่งสักเพียงใดจ้านเฉิงอิ้นบัญชา “ให้พวกเขาหยุด!”เฉินขุยพยักหน้ารับ ถือลำโพงขนาดใหญ่ตะโกนลั่น “หยุดเดี๋ยวนี้! ใครกล้าลงมืออีก ข้าจะฆ่าทิ้งโดยไม่ปรานี!”เสียงของเฉินขุยกังวานกึกก้อง แม้เขาจะตะโกนสุดเสียง แต่กลับไม่มีผู้ใดหยุดสองชนเผ่าต่างประหัตประหารกันจนตาแดงก่ำเฉินขุยเดื

  • ปีแห่งภัยอดอยาก ฉันขายวัตถุโบราณเลี้ยงดูท่านแม่ทัพ   บทที่ 743

    เชลยศึกชาวม่อเป่ยมองเห็นภาพเบื้องหน้า ใบหน้าของเขาก็พลันแข็งทื่อแปดชนเผ่าใหญ่คือบ้านเกิดของเขา กองทัพตระกูลจ้านบุกมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว แต่พวกเขากลับยังคงขัดแย้งฆ่าฟันกันเองจ้านเฉิงอิ้นถามเขา "สองชนเผ่านี้ขัดแย้งกันด้วยเรื่องใด?""ตอนนี้ในเผ่าเหลือคนอยู่เท่าใด มีชายฉกรรจ์กี่คน มีวัวแกะม้าเหลืออยู่เท่าใด...""แหล่งน้ำและเสบียงอาหารยังเหลืออีกมากน้อยเพียงใด?"เชลยศึกตอบ "ข้าไม่ทราบขอรับ ข้าถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารปีกว่าแล้ว ไม่ได้กลับมานานมาก ไม่รู้ว่ายังมีคนรอดชีวิตอยู่เท่าใด และไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงสู้รบกัน!"เฉินขุยกล่าว "ไปถามผู้หญิงคนนั้น!"เชลยศึกมองไปที่นาง พอเขาพูดจบเพียงไม่กี่คำ ผู้หญิงคนนั้นก็ตกใจกลัวจนถอยหลังกรูด กอดลูกไว้แน่นหมายจะวิ่งหนีแต่ถูกหวังเซิ่งและคนอื่น ๆ ขวางไว้เสี่ยวเถาคว้าแขนผอมบางของนางแล้วลากตัวมานางหวาดกลัวอย่างยิ่งแต่เด็กน้อยในอ้อมแขนของนาง พอเห็นขนมปังไส้เนื้อในมือของหยางชิงเหอ ดวงตาคู่โตก็เอาแต่มองตาปริบ ๆหยางชิงเหอยื่นขนมปังไส้เนื้อให้เขา ทั้งยังหยิบขนมขบเคี้ยวอื่น ๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้ออีกด้วยเด็กน้อยดิ้นหลุดจากอ้อมกอดของแม่ แล้วโผเข้า

  • ปีแห่งภัยอดอยาก ฉันขายวัตถุโบราณเลี้ยงดูท่านแม่ทัพ   บทที่ 742

    ส่วนหยางชิงเหอนั่งยอง ๆ ลงกับพื้น ใช้กระบี่คู่กายขุดลงไป ลึกประมาณครึ่งเซนติเมตรก็พบกับหญ้าแห้ง...“นี่ไม่ใช่สภาพทะเลทรายที่เกิดจากความแห้งแล้งของผืนดิน แต่เป็นเพราะไม่มีพืชพรรณปกคลุม ลมพัดพาทรายจากทะเลทรายมาทับถมบนทุ่งหญ้าเดิม”“หากผืนดินแถบนี้ขาดน้ำเป็นเวลานาน ไม่สามารถหล่อเลี้ยงต้นหญ้าได้ อีกไม่กี่ปีจะต้องกลายเป็นทะเลทรายอย่างแน่นอน!”จ้านเฉิงอิ้นใช้ปลายกระบี่เขี่ยรากหญ้าขึ้นมารากหญ้าแห้งเหี่ยวและบอบบาง ความชื้นในรากถูกดูดซับจนหมดสิ้น ใช้มือบีบเบา ๆ ก็กลายเป็นผงม่อเป่ยขาดแคลนน้ำรุนแรงยิ่งกว่าต้าฉี่เสียอีกสาเหตุที่แปดชนเผ่าใหญ่เหล่านี้ยังไม่เคลื่อนทัพลงใต้ มารุกรานดินแดนต้าฉี่ ก็เพราะพวกเขากำลังกัดกินกันเองราวกับการเลี้ยงกู่ ต่างฝ่ายต่างพยายามกลืนกินซึ่งกันและกันหากพวกเขากลืนกินกันจนเหลือผู้ชนะสุดท้าย ผู้คนถูกฆ่าจนหมดสิ้น วัวแกะถูกกินจนไม่เหลือ พวกเขาจะต้องมุ่งหน้าลงใต้บุกรุกต้าฉี่อย่างแน่นอนและปฏิบัติต่อชาวต้าฉี่เยี่ยงแพะสองขาเข่นฆ่าเพื่อกินเนื้อจ้านเฉิงอิ้นวางรากหญ้าลง “ไป เราเข้าไปให้ลึกกว่านี้”ตอนที่พวกเขาเข้ามาในม่อเป่ยช่วงแรก เส้นทางถูกทะเลทรายขวางกั้น หลัง

  • ปีแห่งภัยอดอยาก ฉันขายวัตถุโบราณเลี้ยงดูท่านแม่ทัพ   บทที่ 741

    “ท่านผู้นำครับ เย่มู่มู่มีวัตถุโบราณในครอบครองมากจนผิดสังเกต ท่านช่วยลองตรวจสอบที่มาหน่อยได้ไหมครับ?”ผู้นำหลัวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “เคยตรวจสอบแล้ว บ้านของเธอมีแจกันอายุกว่าสองพันปีอยู่จริง เคยถูกพวกพ่อค้าของเก่าจับตามอง ทั้งยังมีคนจากพิพิธภัณฑ์มาที่บ้านเพื่อเกลี้ยกล่อมให้บริจาคด้วย!”“ตอนนั้นเป็นช่วงปีสองศูนย์กว่า ๆ พ่อของเธอก็ไม่หวั่นไหว! ไล่คนพวกนั้นกลับไปตั้งหลายครั้ง”“ของเก่าบ้านเธอ ไม่ได้มาจากการขุดสุสาน ไม่ใช่ของที่หาซื้อตามท้องตลาด บางทีบรรพบุรุษอาจจะเคยร่ำรวยมาก่อนจริง ๆ!”ฮ่าวอี้ได้ยินดังนั้น ก็นิ่งเงียบไปนานวัตถุโบราณของบ้านเย่มู่มู่ มากมายจนน่าอิจฉาจริง ๆ!แค่ลงมือครั้งเดียวก็ปาเข้าไปหนึ่งแสนล้านบาท ไม่ใช่หนึ่งร้อยบาทนะ!“เอาล่ะ นายคอยจับตาดูต่อไป รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสม เบื้องบนจะเรียกตัวเธอมาพบ!”ฮ่าวอี้ตกใจ “เบื้องบนต้องการพบเธอหรือครับ?”“ใช่! เพราะฉะนั้นนายต้องคุ้มครองเธอให้ดี!”“ครับ ผมทราบแล้ว!”หลังจากฮ่าวอี้ขับรถกลับไป ก็บังเอิญเจอจางเฉินซีกลับมาพอดี เขากำลังขับซูเปอร์คาร์รุ่นลิมิเต็ด แถมยังฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีพอเห็นฮ่าวอี้ เขาก็ลงจากรถแ

  • ปีแห่งภัยอดอยาก ฉันขายวัตถุโบราณเลี้ยงดูท่านแม่ทัพ   บทที่ 740

    คุณลองดูโรงงานทั้งสี่แห่งนี้ โดยเฉพาะโรงงานปุ๋ยกับโรงงานเครื่องมือเกษตร ที่เป็นหนี้ธนาคารอยู่หลายร้อยล้าน ทั้งสองโรงงานรวมกันพันกว่าล้าน คุณบอกว่าต้องการซื้อกิจการ ไม่มีเงิน ต่อให้ผมอยากจะช่วยคุณซื้อมา ก็หมดปัญญาครับ!“ไม่อย่างนั้นคุณเอาเงินหนึ่งหมื่นล้านออกมาเถอะครับ!”เย่มู่มู่รู้อยู่แล้วเชียว!เธอรู้อยู่แล้ว!เงินหนึ่งหมื่นล้านยังไม่ทันหายร้อน จะต้องถูกใช้จ่ายออกไปแน่ ๆเมื่อวานเธอจ่ายยอดที่ค้างชำระไปแล้วหนึ่งพันล้าน ตอนนี้เหลือเพียงเก้าพันล้านเท่านั้นเธอยังงต้องจ่ายค่าอาวุธ อุปกรณ์สวมใส่ และเกราะกันกระสุนด้วยเกราะกันกระสุนสามแสนชุด ด้วยราคาต่ำที่สุดชุดละสองหมื่นบาท สามแสนชุดก็หกพันล้านบาทยังมีอาวุธ ชุดเกราะ และหน้าไม้ราชวงศ์ฉินที่ยังต้องจ่ายเงินอีก!เดิมทีหนึ่งหมื่นล้านนี้ก็ไม่พอแล้วด้วยซ้ำ!ถ้ากองทัพตระกูลจ้านบุกโจมตีม่อเป่ย แล้วธอไม่ซื้ออาหารสัตว์และอาหารม้าแบบข้น วัว แกะ และม้าพวกนั้น…ก็จะไม่มีอะไรกินเธอขาดแคลนเงินอย่างหนัก ขาดแคลนเงินเกินไปแล้ว!ทันใดนั้นเอง เธอก็คิดอะไรขึ้นมาได้ พลางควานไปยังแจกันที่อยู่ในกระเป๋าสะพายหลัง…หยิบเอาพระราชโองการสีเหลืองอร่ามออกมา

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status