ยามสายก่อนงานเลี้ยงต้อนรับเหมันต์ไม่กี่วันแสงแดดจางๆ ทอดตัวเหนือท้องฟ้าแคว้นเหนือ อากาศเย็นจัดแต่ไม่ถึงกับกัดกระดูก กลิ่นหอมอ่อนของต้นสนผสมกลิ่นดินเย็นหลังหิมะตกเบาๆ เมื่อคืนช่างเข้ากับฤดูเหมันต์ยิ่งนัก พื้นหินทางเดินในสวนด้านหลังตำหนักหลวงยังมีละอองน้ำแข็งเกาะพราว เสียงนกกระจิบร้องเรียกแสงอาทิตย์ดังก้องท่ามกลางความเงียบณ กลางทางเดินหินโค้ง เสี่ยวหนี่ที่ถือตะกร้าผ้าขาวสะอาดใส่ของแห้งและสมุนไพรไว้เต็มตะกร้ากำลังเดินกลับจากสวนสมุนไพรด้านในวัง หางคิ้วขมวดนิดๆ เพราะกำลังคิดเรื่องวันงาน และสิ่งที่ต้องจัดเตรียมทั้งวัตถุดิบและเครื่องปรุงต่างๆในขณะเดียวกัน บุรุษผู้หนึ่งกำลังก้าวเข้ามาจากอีกด้านของทางเดินองค์ชายโจวชัวองค์ชายเลือดผสมจากตะวันตกซึ่งเกิดจากการอภิเษกทางการเมืองกับองค์หญิงจากแดนตะวันออก และบิดาที่เป็นองค์ชายของตะวันตก หน้าตาคมเข้ม ผมสีดำสนิทแต่ดวงตาสีน้ำทะเลลึกสะท้อนแสงแดด พาดผ้าคลุมขนสัตว์หนาสีเข้ม ท่าทางไม่เร่งรีบ มือหนึ่งถือหนังสือ อีกมือหมุนผลสนเล่นเดินอย่างไม่เร่งรีบเหมือนกำลังชมวังหลวงเมื่อถึงทางแยก เสี่ยวหนี่ก้าวออกจากพุ่มไม้พร้อมหมุนตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว เพราะลืมห่อสมุน
ใต้เงารัตติกาลที่คลี่คลุมวังหลวง หยางลี่ในชุดคลุมดำซ่อนใบหน้าและรูปลักษณ์อันคุ้นตา ยืนสงบอยู่ใต้ต้นไม่ใหญ่ใกล้เรือนพักของเสี่ยวหนี่ แสงไฟสลัวลอดผ่านหน้าต่างไม้เลื่อนออกมาแต้มสีทองอ่อนบนพื้นกรวดขาว ดวงตาคมใต้ผ้าคลุมสีดำทอดมองไปยังเงาร่างที่ไหววูบอยู่หลังม่านกระดาษบางอย่างเงียบงันไม่มีขันที ไม่มีองครักษ์ ไม่มีใครรู้ว่าหยางลี่แอบลัดเลาะออกจากตำหนักบรรทม มายืนอยู่ตรงนี้ เพียงเพื่อ…หยางลี่ขบกรามแน่นอย่างไม่รู้ตัว ความจริงที่เขารู้ในวันนี้กลับกลายเป็นดาบสองคม เสี่ยวหนี่...คือผู้ที่ปรุงแกงสมุนไพรนั้น มิใช่จี้เหวินอย่างที่เข้าใจอาหารทุกอย่างนั้น...ล้วนมาจากเสี่ยวหนี่ ผู้หญิงที่พูดมาก สดใสและเต็มไปด้วยรอยยิ้มไร้เรื่องทุกข์ตรม “เสี่ยวหนี่...เจ้าทำข้าลำบากใจนัก” เขาพึมพำเบาๆ กับตัวเอง เสียงแผ่วจนแทบไม่พ้นลมหายใจข้าอยากเข้าไปหา อยากพูด อยากถามว่าเหตุใดจึงปล่อยให้จี้เหวินแอบอ้าง เหตุใดจึงยอมทนอยู่เงียบๆ ข้างหลัง หรือว่า…เหตุจึงหลอกลวงข้าแต่ไม่...เขายังไม่กล้า เงาหลังหน้าต่างนั้นช่างบอบบางนัก กลัวว่าคำพูดคำแรกของเขาจะเป็นดั่งคลื่นกระแทกให้ทุกสิ่งที่ผ่านมาพังทลายและที่สำคัญ...เขากังวลกุ้ยเฟยไม
สงครามยังไม่สงบลง เฟิงหรานเดินเร่งฝีเท้ามาที่ทั้งสองคน“ท่านผู้ฝึกสอนซูเหม่ยเรียกเจ้าทั้งสองที่ห้องทำงานของนาง” เสี่ยวหนี่ที่กำลังถกแขนเสื้อขึ้นถึงกับชะงักงันส่วนจี้เหวินที่เบ้ปากพร้อมกับถอนหายใจยาว“ข้าบอกเจ้าแล้วเห็นไหมว่าอย่าทะเลาะกับข้า” จี้เหวินพูดดังเสี่ยวหนี่ส่ายหน้าเดินตามเฟิงหรานไปทันทีสองพี่น้องต่างแม่ เสี่ยวหนี่และจี้เหวิน เดินตามเฟิงหรานเพราะเสียงเรียกของซูเหม่ยไปยังห้องทำงานของแม่ครัวหลวง“ท่านผู้ฝึกสอน” ทั้งสองคนย่อกายลงด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นในใจ“นั่งลงสิทั้งสองคน” เสียงอ่อนโยนของซูเหม่ยดังเบาๆ ไม่เหมือนเช่นทุกครั้งที่นางจะไว้ตัว เสี่ยวหนี่รีบนั่งลงทันทีจี้เหวินที่ยังหันมองเสี่ยวหนี่ด้วยแววตาขุ่นเคืองซูเหม่ย ยืนอยู่กลางห้องหลังเงียบไปครู่หนึ่ง นางหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากกล่องไม้ไผ่ แล้วยื่นมันลงตรงหน้าทั้งสองเสียงดัง “ฟึบ”จดหมายนั้นม้วนผูกด้วยเชือกแดง ตราประทับยังสดใหม่ มือจี้เหวินสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อมองเห็นลายเซ็นท้ายกระดาษ"โจวหลิวเยว่"บิดาของนาง...และของเสี่ยวหนี่เช่นกันซูเหม่ยกอดอก ถอนหายใจช้าๆ“พอจะรู้แล้วใช่ไหมว่าข้าเป็นใคร” เสี่ยวหนี่เบิกตานิดๆ แต่กระนั้นก็
ในชามเคลือบลายแกงสมุนไพรบ้านโจว ร้อนฉ่าถูกเสิร์ฟลงเบื้องหน้าฮ่องเต้หยางลี่ และกุ้ยเฟยชวีหยา โดยจี้เหวินเองแม้บนใบหน้านางจะมีรอยยิ้มเจียมตัว หากมือไม้ที่ยื่นถ้วยชามออกไปกลับสั่นเล็กน้อยราวกับกลัววูบหนึ่งจากสายพระเนตรจะเผาไหม้เงื่อนงำที่แอบซุกซ่อนอยู่ฮ่องเต้หยางลี่ทอดพระเนตรมองชามแกงเงียบๆ ดวงตาลึกล้ำสะท้อนเงาไอร้อนจากอาหารหน้าตา…คล้าย กลิ่น...ใกล้เคียง สี...ใกล้เคียง แต่รสชาติ…เมื่อหยางลี่ตักขึ้นลิ้มชิมรส กลับพบว่าไม่ใช่รสชาติที่เคยตกหลุมรัก ไม่ใช่รสมือของเสี่ยวหนี่ นี่มัน…อย่างไรก็ตาม หยางลี่เก็บความรู้สึกได้เก่ง เพียงกะพริบตาแผ่วหนึ่ง แล้วเอ่ยคำว่า"รสชาติดี...สมกับเป็นจานพิเศษ" เสียงเรียบ สุขุมในใจยังสะกดกลั้นคำถามมากมายว่าทำไมแกงสมุนไพรที่กินในวันนี้ถึงได้ไม่เหมือนที่เคยกิน แต่ที่นี่ต่อหน้ากุ้ยเฟยซวีหยาก้ไม่ใช่ที่ที่จะหาคำตอบหยางลี่เพียงแค่เดาบางอย่าจากท่าทีของจี้เหวิน ได้ดี และเขาทำๆได้เพียงเงียบไปเสียแต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นสายตาของกุ้ยเฟยชวีหยาที่นั่งอยู่ข้างๆ กุ้ยเฟยชวีหยาลอบมองหยางลี่ รอยยิ้มบางผุดขึ้นมุมปาก “ฝ่าบาททรงโปรดอาหารของจี้เหวินมากถึงเพียงนี้ หม่อมฉันก็ดีใจนัก”ชวีหย
หรูซินที่ยืนอยู่ด้านข้าง เหลือบตามองจี้เหวินเพียงนิด ก่อนจะก้าวเข้าไปกระซิบบางอย่างกับกุ้ยเฟยเบา ๆเสียงเบานั้นทำให้สีหน้าของกุ้ยเฟยเปลี่ยนแววตาเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะหันกลับมาพูดอย่างราบเรียบ“เจ้าไปเตรียมตัวเถิด จี้เหวิน ข้าจะให้คนพาเจ้าไปห้องเครื่องของตำหนักชิงหราน และจะส่งเครื่องปรุงที่เจ้าอยากได้ไปให้โดยเฉพาะ… ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”จี้เหวินขานรับเสียงสั่น“เพคะ…”จากนั้นค่อย ๆ ถอยออกมาจากห้องบรรทมด้วยหัวใจที่เต้นระรัว...รู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนสะพานไม้เก่าๆ ที่อาจจะหักลงได้ทุกเมื่อ...ภายในห้องเครื่องของตำหนักชิงหรานอันเงียบสงัด จี้เหวินยืนประจำอยู่หน้าเตาไฟ ใบหน้าเคร่งเครียดไร้รอยยิ้มสดใสตามแบบฉบับของนาง ที่เคยแสดงต่อหน้าผู้อื่น ดวงตานิ่งงันทอดมองวัตถุดิบตรงหน้าราวกับมันคือดาบสองคมที่พร้อมจะเชือดเฉือนนางได้ทุกเมื่อวัตถุดิบทั้งหมดถูกวางไว้เรียงรายตามลำดับ ผักคราดหัวแหวน มะเขือเปราะ ผักกวางตุ้งสด ใบหูเสือ เห็ดหอมป่า ข่าอ่อน เก๋ากี้ รากโสมสดกัวจิ๋ว และผักหอมอีกสองสามอย่าง ทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แต่คนที่ยืนมองอ่างจี้เหวินที่กำลังหนักใจ จำได้ว่ารสชาติเช่นไรแต่จะท
กลิ่นควันไฟจากเตาหินลอยอบอวลอยู่ทั่วห้องครัวฝึกหัด นางในแต่ละนางกำลังวุ่นวายกับการเตรียมวัตถุดิบและทดลองปรุงเมนูสำหรับงานเลี้ยงเหมันต์ เสียงมีดกระทบเขียงดังเป็นจังหวะ เสียงหัวเราะเบาๆ ดังเป็นระยะในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความคึกคักและคาดหวัง และในใจบางคนก็ยังหวาดหวั่นทว่า…บรรยากาศนั้นพลันเงียบกริบลงในทันที เมื่อเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากทางเดินด้านหลังหรูซิน ในชุดนางในจากตำหนักกุ้ยเฟยเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างามและดวงตาเรียบนิ่ง หรูซินเหลือบมองไปรอบห้องเล็กน้อยก่อนสายตาจะหยุดอยู่ที่ จี้เหวิน ซึ่งกำลังปั้นแป้งอยู่หน้าเตาอบ“จี้เหวิน... กุ้ยเฟยเรียกหาเจ้า”น้ำเสียงของหรูซินแม้จะไม่ดัง แต่กลับเยือกเย็นดั่งสายลมหนาวต้นเหมันต์ ทำเอาเสียงหัวเราะในห้องเงียบกริบเพื่อนๆ ที่อยู่ใกล้ชะงักมือโดยไม่รู้ตัว หลิงเชียวที่กำลังสับผักอยู่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วรีบหลบตา ด้านเสี่ยวหนี่ก็เผลอหันมามองทันทีโดยสัญชาตญาณจี้เหวิน ชะงักมือจากการปั้นแป้ง ดวงตาหวาดหวั่นเพียงแวบหนึ่งก่อนจะเหลือบมองไปทางเสี่ยวหนี่อย่างไม่รู้ตัว ราวกับหวังจะหาที่พึ่งในความวุ่นวายภายในใจเสี่ยวหนี่ที่เหมือนจะรู้ใจจี้เหวิน ขมวดคิ้วเล