ในเวลาเดียวกันเจย่าก็กำลังเดินห้างกับพี่สาวก่อนที่คนเป็นพี่จะต้องพาลูกและสามีกลับบ้านต่างจังหวัด
“เจน้องดูเสื้อผ้าร้านนี้สิสวยๆ ทั้งนั้นเลยพี่ว่าเราเข้าไปเลือกดูหน่อยดีไหม เดี๋ยวพี่จะซื้อให้สักสองสามชุด” หญิงสาวมองหน้าพี่ของเธอก่อนรีบส่ายหน้า “ไม่เอา พี่จะมาซื้อให้เจทำไมล่ะ” “ต้องซื้อสิ อาทิตย์หน้าน้องเจของพี่ต้องไปเป็นเลขาคนสวยของคีรินแล้วไม่ใช่เหรอ” เมื่อได้ยินคำถามแกมชมเช่นนั้นคนฟังก็เผยยิ้ม ตั้งแต่มาถึงเธอก็ยังไม่ได้เจอพี่คีรินเลยนี้น่า ถ้าจะไปเจอกันครั้งแรกที่บริษัทเลยในรอบหลายปี เธอก็อยากจะดูดีที่สุดในสายตาเขาเช่นกัน “งั้นก็ได้ค่ะ พี่ช่วยดูให้เจด้วยนะว่าชุดไหนสวยชุดไหนเจใส่แล้วออร่าจับนะ” “ได้แน่นอน” พี่สาวเอ่ยพลางรีบพากันเข้าไปในร้าน แจมมี่จับชุดที่คิดว่าจะเข้ากับน้องสาวของเธอมาสี่ห้าชุด แล้วให้เจย่าเข้าไปเปลี่ยนทีละชุดออกมาให้เธอดู “พี่คินขาเนเน่หิวข้าวแล้วน่ะ พี่คินพาเนเน่ไปกินข้าวหน่อยสิ” ซึ่งทางด้านนอกอนาคินได้พาสาวคู่นอนของเขามาเดินห้างแก้เบื่อ สายตาคมเหลือบไปเห็นสาวสวยคุ้นตาแวบๆ จากที่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์เมื่อกี้ก็เผยยิ้ม เขารีบหันมาบอกผู้หญิงข้างกาย “แล้วเธออยากกินอะไรล่ะ” “ชาบูค่ะ ได้ไหมคะ” หญิงสาวตอบมาพร้อมแววตาอ้อน อนาคินพยักหน้าให้ “งั้นไปรอที่ร้าน ฉันขอไปห้องน้ำก่อน” เขาตอบด้วยท่าทีไม่ใส่ใจนัก หญิงสาวคนนั้นก็ดีใจรีบทำตามเขาอย่างว่านอนสอนง่าย พอเธอเดินหายไปแล้วชายหนุ่มก็เดินตรงไปยังร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงตรงหน้า เขาแอบเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วยืนมองเธอ เจย่า เธอกำลังสวมเสื้อแขนตุ๊กตาสีชมพูพาสเทล คอเหลี่ยม มีซิปรูดตรงกลางอก จับคู่กับกระโปรงเอวสูงทรงสอบสีเดียวกันยาวคลุมเข่าซึ่งเข้ากับหญิงสาวเป็นอย่างมาก ใบหน้าของเธอดูสดใสร่าเริงแลเหมือนจะชอบชุดนั้นมากอยู่ ทำให้อนาคินเผลอยิ้มตาม จนเห็นว่าหญิงสาวเดินกลับเข้าไปยังห้องเปลี่ยนชุดเขาก็ยืนจ้องรอลุ้นว่าชุดต่อไปจะทำให้เธอออกมาดูดียิ่งกว่าชุดเมื่อกี้มากน้อยแค่ไหน “เจ~พี่ขอไปรับโทรศัพท์แป๊บน่ะ” แจมมี่ร้องบอกกับน้องในห้องแต่งตัวก่อนเดินหายออกไปคุยโทรศัพท์ แต่ดูเหมือนว่าเจย่าจะไม่ได้ยินที่พี่สาวบอก ทำให้เธอยังแต่งตัวแล้วเดินออกมาโชว์ด้วยท่าทีน่ารัก แต่พอลืมตาขึ้นดวงใจของหญิงสาวก็เต้นแรง เธอชะงักจ้องหน้าคนมาใหม่ที่นั่งอยู่ตรงโซฟาแทนที่พี่สาวของเธอ “พี่คิน!” เมื่อแยกออกว่าคนตรงหน้าคือแฝดน้องมุมปากหญิงสาวก็หุบลง “พี่เข้ามาได้ยังไง นี้มันร้านเสื้อผ้าผู้หญิงนะ” เธอถามกับเขาพลางมองหาพี่สาวไปรอบๆ “ทำไมเหรอ ร้านเสื้อผ้าผู้หญิงติดป้ายห้ามว่าไม่ให้ผู้ชายเข้าหรือไง” เขาลุกจากโซฟาแล้วก็ทำเป็นเดินไปดูชุดนู้นชุดนี้. “แล้วพี่เห็นพี่แจมไหม” เธอถามถึงพี่สาวกับเขา “เห็นเดินออกไปคุยโทรศัพท์นะ” เขาตอบแต่ไม่มองหน้ามือพลันจับชุดนอนลายเสือขึ้นมา แล้วทำยื่นไปทาบกับตัวหญิงสาว เจย่าตาโตรีบตะคอกว่าเขา “พี่ทำอะไรนะ!! ทะลึ่ง!” “อะไร! แค่จับดูว่ามันเป็นยังไง ไม่ใช่ว่าฉันจะซื้อให้เธอสักหน่อย” เขาเอ่ยพร้อมเผยยิ้มมุมปากแล้วก็เดินไปอีกมุมหนึ่ง เนื่องจากเห็นว่าพี่สาวของเจย่ากลับมาแล้ว อนาคินแอบไปหลบมุมแล้วมองสองพี่น้องเป็นพักๆ จนทั้งคู่เลือกของจ่ายเงินและเดินออกไป “ทำไมผู้หญิงสองคนนั้นเขาไม่เอาชุดนี้ด้วยล่ะครับ” อนาคินถามกับพนักงานถึงชุดสีชมพูพาสเทลที่เห็นว่ามันสวยและเข้ากับเจย่ามากแต่ดันเป็นชุดที่เธอไม่เลือก “อ๋อคุณลูกค้าเขาบอกว่าวันนี้ให้พี่สาวจ่ายให้จึงยังไม่รับนะคะ” เขาฟังพนักงานพูดแบบนั้นก็เข้าใจได้ในทันทีเพราะราคาในป้ายมันก็แพงมากสมควร ยัยนั่นคงจะเกรงใจพี่สาวอยู่เหมือนเดิมสินะ อนาคินก้มมองชุดนั้นอีกรอบ เขาเองตอนนี้ก็เหลือเงินเก็บอีกไม่มาก หากเขาจะเอาชุดคงจะต้องซิ่งกลับบ้านเลย เขาละสายตาจากชุดแล้วเงยหน้ามองพนักงานสาวตรงหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ผมเอาชุดนี้ใส่กล่องของขวัญให้ด้วยนะครับ” แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจ เมื่อพนักงานรับชุดไปชายหนุ่มก็ยืนอมยิ้ม อนาคินบึ่งรถกลับมาที่คอนโดพร้อมนั่งจ้องกล่องของขวัญบนโต๊ะ “ซื้อมาทำไมวะ ลืมคิดไปเลยว่ายัยนั่นเกลียดขี้หน้าเราอยู่” เขามีสีหน้าละห้อย “ถ้าเราเอาไปให้ในนามตัวเอง ยัยเจคงจะไม่รับแน่” อนาคินถอนหายใจยาวออกมา ก่อนจะนึกอะไรออกแล้วรีบจับกระดาษและปากกาขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มนิ่งงันมองกระดาษโน้ตอยู่พักหนึ่ง พลันยกมือขึ้นเสยผมตัวเองอย่างหงุดหงิด “แม่ง…ก็แค่เสื้อผ้าชุดเดียวเอง จะไปจริงจังอะไรนักหนาวะ” ชายหนุ่มถอนหายใจอีกรอบ “แต่ยังไงก็ซื้อมาแล้ว” ในขณะเดียวกันมือถือของเขาก็สั่น อนาคินหยิบขึ้นมาดูเห็นว่าเป็นเนเน่ที่โทรมาตาม ก็แหงสิ เขาเล่นเทเธอเอาเงินไปซื้อชุดให้สาวอีกคนจนหมดแล้วหนีกลับเสียขนาดนี้ “เอาไงดีวะ” ชายหนุ่มมีความลังเลว่าจะรับดีหรือเปล่า แต่เพราะตระหนักได้ว่าเนเน่ก็ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น เขาจึงกดตัดสายแล้วพิมพ์แชทตอบไปแบบโกหกว่า ‘ฉันปวดท้องเลยกลับแล้ว’ จากนั้นอนาคินก็โยนมือถือทิ้งไปที่โซฟาอีกตัว แล้วหันมาสนใจกระดาษกับของขวัญตรงหน้าต่อณ บ้านพักในย่านแอ็คตัน คีรินนอนเอามือก่ายหน้าผากอยู่ที่โซฟาในบ้านในใจพลางนึกถึงเรื่องวันนั้น ‘ฉันขอโทษ’ วันที่เขาแอบเห็นว่าโซเฟียใส่ผงอะไรบางอย่างลงไปในแก้วเบลีย์ที่ให้เขาดื่ม แต่กระนั้นตัวเขาก็ยังไว้ใจเธอยอมดื่มไปถึงครึ่งแก้วและจึงรู้ว่ามันคือยานอนหลับ เวลานั้นตอนที่สลบไปเขายังมีสติแม้จะกึ่งหลับกึ่งตื่นเพราะฤทธิ์ยาแต่ก็พอจะรับรู้ได้รางๆ ว่าโซเฟียเอาแต่พูดขอโทษเธอร้องไห้ด้วย ส่วนคำพูดอื่นเขากลับจำไม่ได้ว่ามันคือคำว่าอะไรบ้าง เพราะเขาทนฤทธิ์ยานอนหลับไม่ไหวจึงหลับสนิทตื่นขึ้นมาอีกทีก็เช้าแล้วพร้อมกับเห็นว่าเธอและเขานอนร่วมกันอยู่ที่เตียงโดยไม่มีอะไรมาปิดบังร่างกาย “พ่อของเธอสั่งให้ทำแบบนั้นเหรอ? แล้วความรู้สึกของเธอที่มีต่อฉัน มันคือของจริงไหม” เขาหลับตาลงช้าๆ ราวกับพยายามลบภาพทุกอย่างในหัว แต่เสียงเธอในคืนนั้นยังคงวนเวียนอยู่ ‘ฉันขอโทษ... อย่าเกลียดฉันเลยนะคะ’ คีรินลุกขึ้นจากโซฟา พ่นลมหายใจหนักเหมือนจะปล่อยบางอย่างทิ้งไปกับอากาศ แต่หัวใจกลับตะโกนว่า “ฉันต้องรู้ให้ได้ ว่าเธอรักฉันจริง หรือแค่เล่นละครเก่ง” “คุณคีรินคะ” ชายหนุ่มรีบหันไปมองเสียงเรียก พบว่าหญิงสาวกำลังเดินเข้ามาในบ้าน
ณ งานเลี้ยงของเหล่านักธุรกิจบนดาดฟ้าของตึกคอนโดสูงใจกลางเมือง แขกของงานหนึ่งในนั้นก็คือเขา คีริน หลังจากที่ชายหนุ่มเดินคุยกับคู่ค้าและคนรู้จักเสร็จ เขาก็ปลีกตัวออกมายืนเหม่อมองทิวทัศของเมืองใหญ่ ในหัวเอาแต่คิดเห็นเธอคนที่เขาเริ่มมีใจนั่งรถเข้าไปในโรงแรมกับชายอื่น ยิ่งคิดมันก็ยิ่งปวดร้าวจนเข่าแทบทรุด มือที่ถือแก้วไวน์อยู่กำแน่น เรื่องนี้เขาคิดไว้บ้างแล้วและตั้งใจว่าจะไม่โกรธเธอ แต่พอมาเจอเข้าจริงเขาก็อาจจะเป็นหนุ่มใจเย็นแบบที่เขาคิดไว้ไม่ได้ “สวัสดีครับคุณอนาวิน” เสียงของใครบางคนทำเขาหลุดจากห้วงความคิด คีรินรีบหันไปจ้องมอง จึงเห็นว่าตรงหน้าคือ กาเบรียล ลาวาเลนเต้ แต่ที่ทำเขาตกใจไปกว่านั้นเห็นจะเป็น โซเฟียที่กำลังยืนก้มหน้าใส่ชุดเดรสสีขาวลูกไม้ยืนอยู่ข้างๆ ชายแก่ตรงหน้าเขาและสายตาของเขาก็เผลอมองเธอนานเกินกว่าที่ควรเป็น เธอสวยจนทำให้เขาลืมว่าควรจะโกรธ ลืมแม้กระทั่งความคิดในหัวของตัวเขาเมื่อครู่ “สวัสดีครับ คุณกาเบรียล” เขารีบมีสติแล้วยื่นมือไปจับทักทายกาเบรียล ตามประสาคนรู้จัก แต่หางตาก็ยังไม่ละจากสาวสวยที่คุ้นเคย “อ๋อ คนนี้โซเฟีย เธอเป็นลูกสาวนอกสมรสของผมเองครับ” คำแนะนำของชายแก่ทำใ
สองร่างเดินเข้ามาในโรงพยาบาลด้วยกันโดยที่คีรินดูจะตัวติดเดินใกล้เธอไม่ห่าง จนโซเฟียเริ่มใจเต้นแรงอยู่ไม่สุข “เอ้อ คุณคีริน ไม่ต้องเดินใกล้ขนาดนี้ก็ได้มั้งคะ” โซเฟียหยุดเดินเขาก็เดินเอาตัวมาแนบจนร่างชิดกัน หญิงสาวต้องหันไปพูดกับเขาด้วยท่าทีเขินๆ “ทำไมล่ะครับ เราเป็นผัวเมียกันแล้วนี้” เขาว่าพลางจับปลายคางของเธอเสยขึ้น ทำเอาโซเฟียหน้าแดงต้องรีบปัดออก “บ้า นี่คุณเป็นคนแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” เธออายจนต้องรีบเปิดประตูเข้าห้องพักของแม่ไป คีรินมองตามแววตาของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนที่จะเดินตามเธอ “เป็นยังไงบ้างครับ” เขาเดินเข้ามาเห็นเธอคุยอยู่กับพยาบาลในห้องก็เดินเข้าไปถาม “คุณพยาบาลบอกว่าแม่ยังไม่ได้สติเลยค่ะ” โซเฟียมีสีหน้าซีดลงก่อนที่เธอจะเหลือบไปมองหน้าคนบนเตียง คีรินยื่นมือลูบหลังเธอ “ไม่เป็นไรนะครับ ท่านปลอดภัยแล้ว พักผ่อนอีกสักหน่อย คงจะฟื้นขึ้นมาเอง นี่ก็แค่วันเดียวเองนี้” โซเฟียเงยมองเขาพร้อมพยักหน้า ก่อนเธอจะรับรู้ได้ว่ามือถือในกระเป๋ากำลังสั่น “ฉันขอออกไปรับโทรศัพท์ก่อนนะคะ” หญิงสาวเดินออกมาพลางหยิบมือถือออกจากกระเป๋าพอเห็นว่าเป็นเบอร์ของใครเธอก็รีบเดินหลบไปหาที่เงียบ
“เบอร์พี่คิน…” เธอนั่งเงียบจ้องไปที่จอมือถือ เขาโทรมาทำไม? จะโทรมาพูดเรื่องเมื่อคืนเหรอ? หรืออะไร หญิงสาวหน้าแดงแจ๋เมื่อแอบคิดไปไกล จนสายจากเขาถูกตัดไปเอง ก่อนจะเด้งขึ้นเป็นข้อความเข้ามาแทน หลังเธออ่านข้อความบนจอจบเขาก็โทรเข้ามาอีกรอบจนเธอเผลอกดรับอย่างไม่ได้ตั้งตัว เจย่าหน้าเจื่อนไปในทันทีแต่ก็จำต้องยกมือถือขึ้นแนบหู แต่เขากลับไม่พูดอะไรมีเพียงเสียงลมหายใจเบาๆ ดังแทรกเข้ามา “มีอะไรคะ โทรมาแล้วทำไมไม่พูด” เธอจึงตัดความเงียบด้วยการถามเขาก่อน [“พี่นึกว่าเธอเองก็จะไม่พูดกับพี่ด้วยเหมือนกันแหะ เป็นยังไงบ้าง”] เจย่าขมวดคิ้ว “หมายถึงอะไรเป็นยังไงบ้าง” เธอสวนเพราะอยากรู้ว่าเขาจะพูดอะไรเกี่ยวกับคืนนั้นหรือเปล่า ปลายสายจึงเงียบไปอีกรอบ [“ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดถึงอยากได้ยินเสียง”] เขาว่าเจย่าเผลออมยิ้ม ตาบ้านี้จะมาหยอดอะไรอีกล่ะ [“เตรียมของหรือยัง วันจันทร์นี้อย่าลืมว่าต้องไปชุมพรกับพี่นะ”] “จำได้แล้วน่า เจไม่ใช่ปลาทองนะไม่ลืมหรอก” เธอตอบกลับเขาเชิงประชด [“ก็ดี งั้นวันจันทร์หกโมงเช้าพี่จะไปรับที่บ้านนะ เราจะเอารถไปเอง”] “ห๊า!!!” เจย่าตาเบิกกว้างนี้เธอจะต้
ณ บ้านพักที่ลอนดอนในช่วงเย็น หลังจากที่นาตาเลียผ่าตัดเสร็จ โซเฟียก็ขอให้คีรินพากลับบ้าน “คุณโอเคไหม อยู่คนเดียวได้แน่นะ” เขาถามเธอด้วยความเป็นห่วง เพราะยังเห็นว่าเธอน้ำตาคลอและซึมอยู่เลย “ไปอยู่ที่บ้านผมก่อนดีไหม” หญิงสาวรีบหันมาส่ายหน้าให้ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยากจะคิดอะไรเงียบๆ สักพักนะ ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง” เธอตอบแต่ก็ไม่มองหน้าเขา คีรินเห็นแบบนั้นเขาก็ไม่เป็นสุขใจเลย “ถ้างั้น เย็นนี้ผมจะทำอาหารมาทานที่บ้านคุณนะครับ ได้ไหม? ผมกลัวว่าคุณจะไม่ทานข้าว” เขาเอ่ยอย่างห่วงใย หญิงสาวจึงพยักหน้า “ถ้าจะมาอย่าลืมโทรบอกก่อนนะคะ เผื่อว่าฉันจะเผลอหลับนะ” “ครับ” เขาทำได้เพียงมองดูเธอเดินเข้าบ้านไป เธอโทรหาใครตอนที่อยู่โรงพยาบาล ใช่ที่บอกว่าคุยกับพ่อไหม? ทำไมสายตาเธอถึงดูมีความลังเลบางอย่างแฝงอยู่ตั้งแต่ตอนนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะสงสัยเพียงใด คีรินก็จำเป็นต้องเดินกลับบ้านตัวเองไปก่อน ร่างของโซเฟียเข้ามานั่งลงที่มุมโต๊ะตัวเตี้ย เอาหลังพิงกับตัวของโซฟาแววตาของเธอเหม่อลอยเพราะยังคิดไม่ตกกับเรื่องที่จะต้องทำ เธอนั่งนิ่งอยู่แบบนั้นนานโข “คุณจะโกรธจะเกลียดฉันไหมคะ” เธอบ่นพลางนึกถึงใบหน้าและรอยยิ้มขอ
โรงพยาบาล “ฮัลโหลทำไมคุณพึ่งมารับสายคะ หนูโทรหาคุณทั้งคืนทำไมคุณถึงไม่รับ” โซเฟียเอ่ยกับปลายสายทั้งน้ำตา [“ฉันคงมีเวลาว่างมารอรับโทรศัพท์จากแกยี่สิบสี่ชั่วโมงมั้งโซเฟีย”] แต่เขากลับตอบกลับมาอย่างไม่แยแส “เมื่อคืนแม่ของหนูช็อก หมอทำ CT เพิ่มแล้วบอกว่ามีเลือดออกในสมอง ต้องรีบผ่าตัดด่วน... แต่หมอที่ดูแลบอกว่าถ้าจะให้ผ่าเลย ต้องเคลียร์ค่ารักษาของสองเดือนที่แล้วก่อน เพราะเราพาแม่มาอยู่ใน Private Ward ตั้งแต่แรก และคุณก็ยังค้างค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ เขาบอกว่าจะผ่าให้ทันที ถ้าเราจ่ายเงินที่ติดอยู่ก่อน” เธอพูดไปร้องไห้ไป “ทำไมคุณทำแบบนี้ ไหนคุณบอกหนูว่าจ่ายให้ทุกเดือนไง คุณโกหกหลอกใช้หนูมาตลอดเลยเหรอ” เธอต่อว่าปลายสายอย่างเรียกร้อง เธอทำทุกอย่างที่เขาอยากให้ทำพร้อมข้อตกลงเสียดิบดีแต่เขากลับไม่ปฏิบัติตามที่เขาเคยพูด [“แล้วจะทำไม ถ้าแกอยากให้ฉันจ่ายก็รีบรวบหัวรวบหางไอ้อนาวินนั่นให้ฉันสักทีสิ”] โซเฟียปล่อยโฮ ทำไมเขาถึงใช้วิธีนี้มาบีบเธอ “ฮื้อ~ ก็ได้ หนูจะทำให้สาแก่ใจคุณไปเลย เพราะฉะนั้นคุณต้องทำการจ่ายเงินค่ารักษาให้แม่หนูเดี๋ยวนี้! แล้วหนูจะรีบทำให้” เธอยื่นข้อเสนอให้เขาเป็นเชิงขู่