ณ บ้านสองชั้นทรงโมเดิร์นที่ตั้งเรียงรายกันไปตามริมถนน เวลาแสงแดดยามเย็นกำลังสวยงามพร้อมลาขอบฟ้า คีรินหลังจากเคลียร์งานที่เขาเอามาศึกษาต่อบนห้องทำงานเสร็จ ได้เดินลงมาสูดอากาศด้านนอก ชายหนุ่มมองไปที่ข้างบ้านซึ่งเป็นบ้านของสาวผมบลอนด์คนนั้นพลางเผยยิ้มเบาๆ
“นี่ฉันกำลังเป็นอะไรเนี่ย” เขาบ่นให้กับความรู้สึกที่ไม่เคยเป็นมาก่อนพลางส่ายหน้าพัลวัน โคร่ม!!! เสียงดังจากบ้านหลังนั้นทำคีรินชะงักหันพรวดไปจ้องอีกรอบ “คุณ!!!” ชายหนุ่มรีบเดินไปเกาะรั้วแล้วเรียกชื่อของเธอ “คุณโซเฟีย! คุณครับ!!” สายตาคมรีบสอดส่องเข้าไปในบ้านทุกช่องทางที่จะทำได้เพราะแอบเป็นห่วงว่าคนในบ้านจะเป็นอะไรไปหรือเปล่า “ทำไมเธอไม่ตอบ เอะ!” เขาเห็นแวบหนึ่งว่าร่างเล็กด้านในล้มลงไปกองกับพื้น ขายาวพลันสาววิ่งมาที่รั้วหน้าบ้าน คีรินดึงประตูรั้วสีขาวหน้าบ้านโซเฟีย พอเห็นว่าเธอไม่ได้ล็อกพอดี เลยเปิดและวิ่งเข้าไป “คุณ!! คุณโซเฟีย!” เขาตกใจมากที่เห็นว่าหญิงสาวนอนล้มอยู่กลางบ้าน คีรินรีบคุกเข่าลงสำรวจ จึงเห็นว่าเท้าของเธอนั้นบวมแดงแถมตัวก็ยังร้อนอีกด้วย “คุณมีไข้นี่!!” เขาซ้อนร่างเล็กขึ้นมาในอ้อมแขนทันที พลันรีบพามาขึ้นรถที่บ้านของเขาแล้วขับออกไปส่งโรงพยาบาล “อือ” โซเฟียงัวเงียตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้าและสับสนเธอยืดแขนบิดขี้เกียจไปหนึ่งทีก่อนจะลืมตาขึ้น พร้อมกับความตกใจที่เห็นว่าชายหนุ่ม ผู้กำลังวิ่งเล่นในหัวใจเธอยืนส่งยิ้มให้อยู่ “น่ารักจัง” คีรินสบถออกมาเป็นภาษาบ้านเกิดอย่างลืมตัว ทำให้โซเฟียที่ตกใจดีดตัวลุกนั่งอยู่นั้นเอียงคอมองเขาด้วยความสงสัย “เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรเหรอคะ” ชายหนุ่มนิ่งชะงักไปก่อนหันมามองเธอเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เปล่าหรอก ว่าแต่คุณเป็นยังไงบ้าง เหนื่อยไหม เพลียหรือเปล่าแล้วขายังรู้สึกเจ็บไหมครับ” หญิงสาวรีบก้มสำรวจตัวเองตามที่เขาถามก่อนส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เท่าไหร่แล้วนะคะ แต่ตอนที่อยู่บ้านนะเจ็บมากเลย ตัวก็ร้อนด้วย” เธอบอกพร้อมรอยยิ้มแตะมุมปากทุกครั้งที่มองหน้าเขา “คุณหมดสติไปนะเพราะมีไข้ ตอนนี้หมอให้ยาลดไข้กับแก้อักเสบที่ข้อเท้าให้แล้ว” “ไม่น่าล่ะไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่แล้วค่ะ ว่าแต่คุณเป็นคนพาฉันมาส่งที่นีเหรอ” คีรินพยักหน้าให้พร้อมมองตาเธอที่กำลังจ้องเขาด้วยใบหน้าแดงๆ “ถ้างั้นเรากลับกันเลยไหมครับ นี่มันก็จะดึกแล้วนะ” เขาเอ่ยชวนอย่างเกๆ กังๆ โซเฟียมองดูด้วยความชอบก่อนเธอจะเอะใจได้ “เอ้อ! นี่ฉันหลับไปนานมากเลยเหรอคะ” “ก็สามชั่วโมงพอดีนะ หมอเขาบอกว่าถ้าคุณตื่นแล้วและอาการดีขึ้นไม่ได้เป็นอะไรมากก็ให้กลับบ้านได้เลย ผมก็เลยรอคุณตื่นก่อน กลัวว่าคุณจะกลับบ้านเองไม่ไหว” หญิงสาวมองเขาด้วยความซาบซึ้ง “ทำไมคุณไม่ปลุกฉันล่ะคะ ช่างเป็นคนดีอะไรแบบนี้ งั้นเรากลับกันเถอะค่ะ ถึงบ้านแล้วให้ฉันทำกับข้าวเลี้ยงนะคะ” ชายหนุ่มนิ่งไปครู่ เขาพยักหน้ารับ ก่อนเข้ามาพยุงเธอที่กำลังจะลุก “ค่อยๆ เดินนะครับหมอบอกว่าคุณยังใช้ขาที่เจ็บมากไม่ได้นะ เดี๋ยวมันจะอักเสบเพิ่ม” “ขอบคุณค่ะ ว้ายๆ” หญิงสาวเดินเซถลารีบคว้าเอวของคีรินอย่างลืมตัว ทำให้ตัวเขาขยับเข้าไปชิดเธอ จมูกโด่งของทั้งคู่แนบเข้าหากันอย่างไม่ได้นัดหมาย เสียงลมหายใจดังแผ่วๆ ราวพวกเขากำลังกลั้นหายใจ ดวงตาสบกันเปล่งประกายดั่งดวงดาวบนท้องฟ้ายามราตรี ตึกตักๆ “เอ้อ ขอโทษค่ะ” เธอค่อยๆ ดันตัวเองออกจากเขาอย่างนึกเสียดาย ทั้งคู่หันหน้าหนีกันไปคนละทางเพราะต่างคนต่างเขินอายให้อีกฝ่าย “ไม่เป็นไรครับ ผมว่าเราค่อยๆ เดินกันไปเถอะนะ” คีรินหันกลับไปจ้องที่หญิงสาวอีกครั้งพลางจับมือเธอมาคล้องแขนเขาไว้ เพื่อไม่ให้เธอเสียหลักจะล้มลงไปอีก “ขอบคุณมากเลยนะคะ ฉันนี่ซุ่มซ่ามจังเลย” ทั้งคู่เดินไปพร้อมคุยกันไป “ไม่เป็นไรครับ น่ารักดีออก” หญิงสาวชะงักเงยหน้ามองเขาด้วยใบหน้าแดง “จริงเหรอคะ เป็นครั้งแรกเลยนะที่มีใครมาชมฉันแบบนี้” “เหรอครับ ถ้าอยู่ใกล้ผม อาจจะได้ยินผมเผลอชมคุณทุกวันเลยก็ได้” โซเฟียหน้าร้อนเขินเขาจนพูดไม่ออก แทนที่เธอควรจะหยอดเขาไปให้มากกว่านี้แท้ๆ แต่เธอดันมาเสียอาการเพราะเขาชมเธอตามมารยาทเนี่ยน่ะ หญิงสาวกอดแขนเขาไว้แน่น พลางก้มหน้ามองพื้นยังไม่กล้าแม้จะสบสายตากับเขาด้วยซ้ำ บ้านฤทธา “มานั่งเศร้าอะไรอยู่ตรงนี้ลูกสาวพ่อ” หลังทานข้าวเย็นเสร็จจิรกิตติ์ที่เห็นว่าลูกสาวแอบเดินออกมานั่งเงียบๆ คนเดียวที่สวนหลังบ้าน เขาจึงเดินออกมาหา “พี่แจมมี่พาหลานๆ กลับหมดแล้วเจก็เลยไม่มีคนให้คุยด้วยเฉยๆ ค่ะ” เธอหันมามองพ่อที่ย่อนก้นลงนั่งข้างๆ กันที่ม้านั่ง “จริงสินะ แป๊บๆ ลูกๆ ของพ่อก็โตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว” จิรกิตติ์เงยหน้ามองท้องฟ้า “วันนั้นที่พี่สาวของลูกเกิดพ่อยังจำได้ดีเหมือนว่ามันพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้อยู่เลย พอมาวันนี้แจมมี่ดันมีสามีและมีหลานให้พ่อ แถมไม่ได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับพ่อและแม่อีกแล้ว” เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่มีแววตาที่พึงพอใจอยู่ไม่น้อย “ลูกสาวที่เคยวิ่งเล่นอยู่บ้านนี้กลายเป็นเหมือนแขกของบ้านทุกครั้งที่กลับมา และทิ้งความคิดถึงเอาไว้เมื่อเธอต้องกลับไป” เจย่ามองคุณพ่อของเธอด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ไม่เอาสิคะคุณพ่อ พูดแบบนี้เดี๋ยวเจก็จะอยู่เกาะคุณพ่อกินไปจนตายหรอก” จิรกิตติ์หันมายิ้มให้ลูก “ไม่ได้ ปีนี้ลูกก็ 24 แล้วนี่” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความเป็นห่วงและหวงอยู่นิดๆ “ถึงพ่อจะอยากเก็บลูกไว้ให้อยู่กับพ่อกับแม่มากแค่ไหน พ่อก็คงทำแบบนั้นไม่ได้” เขายกมือขึ้นลูบหัวของเธอ “แต่พ่อขอให้ลูก เลือกคนที่จะมาอยู่ด้วยกัน ด้วยหัวใจของลูกนะเข้าใจไหม คนที่ลูกรักเขาแล้วเขาก็ต้องรักลูก” เจย่ามองหน้าพ่อด้วยแววตาซาบซึ้ง “คนคนนั้นไม่ต้องดีไปหมดทุกอย่างก็ได้ ขอแค่เขาดีกับลูกพ่อทุกอย่างก็พอ” ประโยคนี้มันทำให้เจย่าอดนึกถึงพี่คีริน พี่ชายแสนดีของเธอไม่ได้ หญิงสาวยิ้มเขินแล้วกระซิบพูดกับพ่อเสียงเบา “แล้วถ้าเป็นพี่คีรินล่ะคะ คุณพ่อว่าพอได้ไหม” จิรกิตติ์เลิกคิ้วในทันที พลางถามลูกกลับด้วยความสับสน “คนที่ลูกอยากจะอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตคือคีรินจริงๆ เหรอลูก พ่อคิดว่าลูกแค่ปลื้มเขา แล้วพี่เขาก็เป็นแค่คนที่ลูกชอบในวัยเด็กเสียอีก” คำถามของบิดาอดสร้างความลังเลในใจให้หญิงสาวไม่ได้ “แต่ว่าตั้งแต่เกิดมาผู้ชายที่ดีกับเจที่สุดรองจากคุณพ่อแล้วก็พี่จอน ดูเหมือนจะมีแค่พี่คีรินนี่ค่ะ”ใช่! ก็เขาอบอุ่นกับเธอที่สุด จนเธอไม่เคยคิดจะไปชอบใครเลยตั้งแต่เล็กจนโตเพราะว่าเธอยึดเอาคีรินเป็นต้นแบบของผู้ชายที่เธอชอบ “แต่ความดีกับความรักมันไม่ใช่สิ่งเดียวกันหรอกนะลูก” คำพูดนี้ของพ่อทำเจย่าหลุดจากความคิดแล้วหันมาสบตาด้วยอีกครั้ง “บางทีคนที่ดีกับเราก็อาจจะไม่ใช่คนที่เรารักจริงๆ ส่วนคนที่เรารักเขาก็อาจจะไม่ได้ดีกับเราเสมอไปนะ พ่อไม่อยากให้ลูกสับสนน่ะเจย่า” คนฟังก้มหน้าดั่งคิดตามคำที่พ่อบอก “แล้วจะต้องทำยังไงเราถึงจะไม่สับสนล่ะคะ” จิรกิตติ์อมยิ้ม “ใช้ใจไง” คนพูดมองมาที่เธอด้วยความเอ็นดู “เดี๋ยวพอลูกไปทำงานได้อยู่ใกล้ชิดเขา ลูกก็จะรู้เองแหละว่าจริงๆ เขาเป็นแค่คนที่ดีด้วย เป็นแค่คนที่ลูกรักหรือว่าเป็นทั้งสองอย่าง” หญิงสาวพยักหน้า พยายามที่จะเข้าใจแม้จะยังสับสน จนคุณพ่อของเธอลุกขึ้น “มันดึกมากแล้วไปเข้านอนเถอะ นั่งอยู่ตรงนี้ยุงมันเยอะนะลูก” เขาเอ่ยบอกพอเธอพยักหน้าให้ จิรกิตติ์ก็เดินกลับเข้าบ้านไปก่อน เจย่าจึงทำได้เพียงครุ่นคิด “ถึงเขาจะเป็นทั้งสองอย่างแบบที่พ่อพูดสำหรับเรา แต่สำหรับเขา….เราจะได้เป็นอะไรนะ” เธอเอ่ยอย่างน้อยใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าพี่ชายคนที่เธอชอบ คิดกับเธอเช่นไร นี่ขนาดเธอกลับมาหลายวันแล้วเขายังไม่โทรหรือแวะมาเยี่ยมเลยสักครั้ง “ไม่ใช่ว่าพี่มีคนรักไปแล้วหรอกนะ” เธอบ่นๆ ไปกับอากาศก่อนที่จะสะดุ้งให้เสียงเรียกจากแม่บ้าน “คุณหนูมาอยู่นี่เอง พี่ไปหาที่ห้องก็ไม่เจอ” เจย่ารีบหันไปมองแม่บ้านสาวที่เดินมาพร้อมกับกล่องสีชมพูผูกริบบิ้นสีแดงดูสะกดตา “พี่อ้อมมีอะไรจ๊ะ” “เมื่อกี้มีคนมากดออดหน้าบ้านนะคะพี่เปิดออกไปแล้วเจอเจ้ากล่องนี้วางอยู่ มีจดหมายอยู่ด้วยเห็นจ่าหน้าซองเป็นชื่อคุณหนู เลยเอามาให้” แม่บ้านส่งกล่องใบนั้นให้กับเธอ “ขอบใจนะพี่” เจย่ารับไว้พลางใช้มืออีกข้างหยิบซองจดหมายเล็กๆ อันนั้นขึ้นมาดูเธอยิ้มกว้าง แล้วเดินเอากลับไปเปิดที่ห้องณ บ้านพักที่ลอนดอนในช่วงเย็น หลังจากที่นาตาเลียผ่าตัดเสร็จ โซเฟียก็ขอให้คีรินพากลับบ้าน “คุณโอเคไหม อยู่คนเดียวได้แน่นะ” เขาถามเธอด้วยความเป็นห่วง เพราะยังเห็นว่าเธอน้ำตาคลอและซึมอยู่เลย “ไปอยู่ที่บ้านผมก่อนดีไหม” หญิงสาวรีบหันมาส่ายหน้าให้ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยากจะคิดอะไรเงียบๆ สักพักนะ ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง” เธอตอบแต่ก็ไม่มองหน้าเขา คีรินเห็นแบบนั้นเขาก็ไม่เป็นสุขใจเลย “ถ้างั้น เย็นนี้ผมจะทำอาหารมาทานที่บ้านคุณนะครับ ได้ไหม? ผมกลัวว่าคุณจะไม่ทานข้าว” เขาเอ่ยอย่างห่วงใย หญิงสาวจึงพยักหน้า “ถ้าจะมาอย่าลืมโทรบอกก่อนนะคะ เผื่อว่าฉันจะเผลอหลับนะ” “ครับ” เขาทำได้เพียงมองดูเธอเดินเข้าบ้านไป เธอโทรหาใครตอนที่อยู่โรงพยาบาล ใช่ที่บอกว่าคุยกับพ่อไหม? ทำไมสายตาเธอถึงดูมีความลังเลบางอย่างแฝงอยู่ตั้งแต่ตอนนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะสงสัยเพียงใด คีรินก็จำเป็นต้องเดินกลับบ้านตัวเองไปก่อน ร่างของโซเฟียเข้ามานั่งลงที่มุมโต๊ะตัวเตี้ย เอาหลังพิงกับตัวของโซฟาแววตาของเธอเหม่อลอยเพราะยังคิดไม่ตกกับเรื่องที่จะต้องทำ เธอนั่งนิ่งอยู่แบบนั้นนานโข “คุณจะโกรธจะเกลียดฉันไหมคะ” เธอบ่นพลางนึกถึงใบหน้าและรอยยิ้มขอ
โรงพยาบาล “ฮัลโหลทำไมคุณพึ่งมารับสายคะ หนูโทรหาคุณทั้งคืนทำไมคุณถึงไม่รับ” โซเฟียเอ่ยกับปลายสายทั้งน้ำตา [“ฉันคงมีเวลาว่างมารอรับโทรศัพท์จากแกยี่สิบสี่ชั่วโมงมั้งโซเฟีย”] แต่เขากลับตอบกลับมาอย่างไม่แยแส “เมื่อคืนแม่ของหนูช็อก หมอทำ CT เพิ่มแล้วบอกว่ามีเลือดออกในสมอง ต้องรีบผ่าตัดด่วน... แต่หมอที่ดูแลบอกว่าถ้าจะให้ผ่าเลย ต้องเคลียร์ค่ารักษาของสองเดือนที่แล้วก่อน เพราะเราพาแม่มาอยู่ใน Private Ward ตั้งแต่แรก และคุณก็ยังค้างค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ เขาบอกว่าจะผ่าให้ทันที ถ้าเราจ่ายเงินที่ติดอยู่ก่อน” เธอพูดไปร้องไห้ไป “ทำไมคุณทำแบบนี้ ไหนคุณบอกหนูว่าจ่ายให้ทุกเดือนไง คุณโกหกหลอกใช้หนูมาตลอดเลยเหรอ” เธอต่อว่าปลายสายอย่างเรียกร้อง เธอทำทุกอย่างที่เขาอยากให้ทำพร้อมข้อตกลงเสียดิบดีแต่เขากลับไม่ปฏิบัติตามที่เขาเคยพูด [“แล้วจะทำไม ถ้าแกอยากให้ฉันจ่ายก็รีบรวบหัวรวบหางไอ้อนาวินนั่นให้ฉันสักทีสิ”] โซเฟียปล่อยโฮ ทำไมเขาถึงใช้วิธีนี้มาบีบเธอ “ฮื้อ~ ก็ได้ หนูจะทำให้สาแก่ใจคุณไปเลย เพราะฉะนั้นคุณต้องทำการจ่ายเงินค่ารักษาให้แม่หนูเดี๋ยวนี้! แล้วหนูจะรีบทำให้” เธอยื่นข้อเสนอให้เขาเป็นเชิงขู่
เช้าวันรุ่งขึ้น เจย่าตื่นขึ้นมาบนเตียงด้วยความรู้สึกมึนๆ อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ยังอยู่ “เรามานอนตรงนี้ได้ไง” เธอชะงักมองร่างกายของตัวเอง ที่ตอนนี้ก็ยังใส่เสื้อผ้าชุดเดิมของเมื่อวาน ไม่ทันจะคิดให้มากความหญิงสาวก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือตัวเองสั่นอยู่ในกระเป๋าสะพาย ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง เธอรีบเปิดดู ปรากฏเห็นเป็นสายค้างของพ่อกับแม่และพี่ชายที่โทรตามตั้งแต่เมื่อคืน เจย่าตาเหลือกลุกพรวดและวิ่งออกไปจากห้องอย่างไม่ได้หันกลับมาสนใจ ว่าห้องที่ตนนอนอยู่ทั้งคืนเป็นห้องของใครเสียด้วยซ้ำ ร่างเล็กวิ่งจู๊ดออกมานอกตึกแล้วเรียกแท็กซี่ไปเอารถที่บริษัทขับกลับบ้านทันที บ้านฤทธา “เจย่า!!” คนเป็นพ่อและพี่ชายที่รออยู่รีบลุกขึ้นมาสำรวจดูยัยตัวดีที่เดินเข้าบ้านมา “เมื่อคืนไปไหนต่อ ทำไมหายไปทั้งคืนโทรหาก็ไม่รับ” จิรกิตติ์เอ่ยถามกับลูกสาวเสียงดุ เจย่ายิ้มเจื่อนมองหน้าพ่อ “ก็ไปดื่มกับเพื่อนไงค่ะ พอดีเมามากกลับไม่ได้เลยค้างห้องเพื่อนนะคะ” เธอตอบแม้จะยังไม่มั่นใจว่าใช่ห้องเพื่อนจริงหรือเปล่า “แล้วทำไมไม่ส่งข้อความมาบอกกันก่อน” จอนนี่บ่นสายตาเขายังคงสำรวจน้องอย่างจับสังเกต “ก็เมาจะไปส่งมาได้ไ
“ได้ งั้นฉันจะทำให้เธอจำฉันเอง” แผนร้ายผุดขึ้นมาในหัวของเขาพร้อมรอยยิ้มแต้มมุมปาก อนาคินก้มหน้าลงจูบเธออีกครั้งรอบนี้หญิงสาวยอมเปิดปากให้แต่โดยดี เขาจึงว่าจะลองลิ้มรสจูบหยอกกับลิ้นเล็กของเธอสักครู่ ก่อนจะหยุดและทำตามแผนที่คิดไว้ แต่มันดันไม่เป็นดั่งหวังเมื่อเธอพลิกตัวเองขึ้นมาอยู่เหนือเขา หญิงสาวนั่งลงบนตักของคนใต้ล่างพลางรูดซิปเสื้อของเธอออกพร้อมถอดมันทิ้งไป “เจย่า?” เขาเรียกชื่อของเธอเสียงสั่น พลางมองหน้าสวยที่กึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ตรงหน้า อนาคินกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากลำบากเมื่อ เธอโชว์ความมหึมาเด้งดึงชูชันต่อหน้าเขา ชายหนุ่มหันหน้าหนีใบหน้าแดงก่ำ ที่เขาคิดไว้ไม่ใช่แบบนี้นะ ในระหว่างที่คิดหน้าของเขาก็ถูกเธอดึงกลับไปพร้อมโอบหัวเขาไว้จนใบหน้าคมเข้าไปซุกอยู่ที่อกอวบ “ไม่ไหวแล้วเว้ย” แล้วเช่นนี้เสือแบบเขาเหตุใดจะทนได้ อนาคินรวบเอวเล็กกอดไว้ในทันทีพลางใช้ปากดูดยอดอกเสียงดังจ๊วบ บวกกับเจ้าของร่างน้อยที่กำลังครางเสียงสั่น “อะ อ่า อือ” เจย่ากัดที่ริมฝีปากตัวเองด้วยความหวาดเสียวแววตาหลับพริ้มราวคนกำลังฝันหวาน กระโปรงตัวยาวของเธอถูกเขาถอดออกอย่างง่าย “ไม่กงไม่แกล้งมันแล้ว เอาจริงกันเล
ณ ผับ× ทุกคนในโต๊ะลุกขึ้นชนแก้วกันพวกเขามีรอยยิ้มและสนุกไปกับเสียงเพลง เจย่าเองก็เช่นกันแม้เธอจะแค่จิบๆ แต่พอดูเพื่อนๆ พี่ๆ ที่เมากันแล้วลุกดีดเต้นให้ดูก็หัวเราะชอบใจ “เบาๆ ด้วยนะพี่ซูชิอย่าไปเหยียบตีนคนอื่นเข้าล่ะ ยิ่งตัวโตๆ อยู่” วาเนียที่นั่งข้างเจย่าร้องบอกกับพี่ซูชิที่ลุกออกจากโต๊ะไปเต้นกับหนุ่ม “ว่าแต่เจย่าไม่อยากลุกเต้นหน่อยเหรอครับ เพลงกำลังมันเลยนะ” โทนี่ที่ดูจะเป็นคนรักสนุกไม่น้อยเขาถามเธอพลางโยกตัวไปตามเสียงเพลง “ไม่เป็นหรอกค่า ไม่ค่อยชอบนะ” ระหว่างที่คุยอยู่วาเนียก็จับแก้วเหล้าใส่มือให้เพื่อน “ยกๆ หมดแก้วดิวะ มานั่งตั้งนานแกยังไม่หมดแก้วเดียวเลยนะ” วาเนียจับแก้วของเธอขึ้นมาชนด้วย “แกฉันไม่ชอบดื่ม ถ้ากลับบ้านเมาทั้งพ่อทั้งพี่ชายบ่นหูชาแน่” “โอ้ย โตๆ กันแล้วนะน้องเจย่า ย้ายออกมาอยู่ข้างนอกไหมคะ ชีวิตเราจะได้ใช้คุ้มค่าขึ้นนะ” พี่อ้อมบอก หญิงสาวก็ยิ้มอ่อนให้ เพราะเธอก็แอบคิดจะหาเช่าคอนโดอยู่เหมือนกัน ก็ระยะทางจากบ้านมาที่บริษัทมันก็ไกลกันสมควร “นี่ที่เขาว่ากันว่าท่านรองคนใหม่รักสนุกนี่เป็นเรื่องจริงสินะครับ” โทนี่เอ่ยเป็นเชิงบ่นแต่ทำเอาเพื่อนทั้งโต๊ะเลิ่กลั่กหันมองตาม
[“คุณผู้ช่วยเลขาเจริยา ช่วยเข้ามาหาผมในห้องหน่อย”] เสียงจากโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้นทำให้เธอหุบยิ้มทันที กะจะหลบหน้าแล้วจะเรียกหาทำไมเนี้ย ถึงเธอจะคิดแบบนั้นแต่สุดท้ายก็ต้องลุกและเดินเข้าไปหาเขาอยู่ดี “ท่านรอง” เธอเปิดประตูเข้ามาแต่ดันไม่เห็นว่าเขานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน พอหันซ้ายจึงเห็นว่าเขายืนล้วงกระเป๋ามองทอดลงไปดูวิวทิวทัศน์ด้านล่างอยู่ “มานั่งที่โซฟาสิ” เขาบอกทั้งทียังไม่ได้หันมามองเธอ แต่เจย่าก็เลือกที่จะปฏิเสธ “ท่านรองพูดมาเลยก็ได้ค่ะ” เขาหันมาจ้องหน้าทันที ทำให้เจย่ารู้ว่าเขาไม่พอใจให้คำพูดเธอ แต่ก็หาได้แคร์เธอทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่เขา “เรื่องที่จะคุยมันยาวมากนะ บอกให้มานั่งก็มานั่งสิ” เขาเดินไปนั่งที่โซฟาเดี่ยวก่อนเธอ เอาศอกราบลงกับขอบโซฟาแล้วยกสองมือขึ้นประสานกันไว้ตรงหน้า “จะมานั่งดีๆ หรือจะให้หักคะแนนไม่ให้ผ่านงาน แล้วก็ไม่ต้องเจอคีรินปีหน้า” เขาพูดเป็นเชิงประชดแต่ก็ทำให้คนหัวดื้ออย่างเธอยอมลงมานั่งตรงโซฟาตัวข้างเขาแต่โดยดี “มีอะไรก็ว่ามาสิคะ” เธอเลิ่กลั่กเพราะเห็นว่าเขาเอาแต่จ้องหน้าจนรู้สึกใจเต้น เจย่าเลยหันหน้าหนีไปมองทางอื่น “เย็นนี้มีนัดไหม” เธอหันกลับมาจ้องเขาอีกรอบ